วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เกาะแก้วพิสดาร




ในที่สุดก็ตัดสินใจออกเดินทางไปท่องเสม็ดกับไอ้ปุ้ยสองคน หลังจากสมาชิกชาวเอ็นจิเนียนๆ เริ่มร่อยหรอแทบจะไม่เหลือใคร เลยจะเริ่มทำตัวให้มันชินเข้าไว้ วันที่เราตลกตกลงกันไว้ มันก็ดันไปตรงกับวันเที่ยวประจำปีของบริษัทพอดี คือบังเอิญว่าปุ้ยมันก็ไม่ไป เราก็ลงชื่อไม่ไปเหมือนกัน ช่างดูบังเอิ๊นบังเอิญ บริษัทจัดท่องเที่ยวประจำปีฟรีตามธรรมเนียมปฏิบัติ โดยจัดไปที่หัวหิน แต่ตามประสาคนโง่อยากนอนเตียง ไปกับบริษัท เค้าจัดให้กินฟรีอยู่ฟรีไม่ชอบ อยากจะตะกายหาเรื่องเสียตังค์ ซึ่งก็ใช่ว่าจะมีอยู่เยอะแยะ คำพูดที่ดูสมฐานะก็คือแสนจะ “จำกัดจำเขี่ย” เสียนี่กระไร


วันศุกร์ไม่มีบอล (ยูโร) นอนไวได้...แต่ก็ไม่นอน มัวแต่นั่งเล่นคอมฯ กว่าจะเอนหลังลงเตียงก็ล่วงเข้าตีหนึ่ง หลับสนิทไม่สนใจอยากฝันอะไรเลย หกโมงเช้าแม่โทร.มาบ่นเรื่องโทรศัพท์ที่บ้าน บอกแม่ว่าขอนอนต่ออีกหน่อยก่อนนะ เดี๋ยวค่อยตื่นมาฟัง อั้นไว้ก่อนนะ มันง่วงจริงๆ


พอวางสายจากแม่ กำลังจะงีบต่อ ปรากฏว่าพี่ที่ทำงานโทร.มา พร้อมน้ำเสียงที่ยังไม่สร่างเมา บอกว่าศรีภรรยาหอบข้าวของหนีออกจากบ้านไปแล้ว เพราะทนพฤติกรรมสุดที่รักไม่ได้ เมาบ่อยจัด มันอยากให้ช่วยไปง้อหน่อย เป็นอันว่าชีวิตไม่ต้องคิดหลับนอนกัน เพราะอันหลังนี่มาเป็นมหากาพย์ มันคิดว่าเราไปหัวหินกับบริษัทด้วย คือกูจะไประยองอ่ะ ไม่ได้ไปหัวหิน จะไปตามช่วยใครยังไงไหว กินเหล้าทีไร มีปัญหาทุกที ปากก็ปากตัวเอง มือที่หยิบแก้วเหล้าก็มือตัวเอง เทเข้าปากเอง ก็ยังควบคุมตัวเองไม่ได้ พอด่าก็หาว่าสวด ไม่เข้าใจเพื่อนอีก อมิตตพุทธ...ประสกขี้แต่ไม่ต้องการล้างตูดตัวเอง...เฮ้อ...เวรกรรม...ๆ


เมื่อหมดความหวังกับการนอนต่อ เลยลุกขึ้นมาอาบน้ำ แต่งตัว ยัดข้าวของใส่เป้ โทร.เรียกไอ้ปุ้ยให้มาเจอกันที่นี่ พยายามเอาของไปให้น้อยที่สุด ไม่ต้องเผื่ออะไรทั้งนั้น จะได้เบาๆ เพราะครั้งนี้ไปแบบไม่มีแผนเอแผนบีอะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างไปงมๆเอาหมด แม้แต่แผนที่ก็ไม่มี แปดโมงก็ได้ออกเดินทางจากห้อง ไปข้างๆคอนโดเพื่อกินข้าวราดแกงคนละจาน ปุ้ยบ่นหิวมาก ทนไม่ไหวแล้ว ระหว่างกินข้าวเราโทร.ไปขอโทษท่านแม่ที่พูดจาไม่ดีเมื่อเช้า เพราะว่ามันง่วง มันไม่ใช่ตัวจริงของเราเลย แก้ตัวน้ำขุ่นๆอย่างมาก


แล้วเราก็นั่งแท็กซี่ไปแยกบางนา เพื่อนั่งรถตู้ไประยอง พอจะลงจากแท็กซี่ ก็จะมีเด็กรถตู้ (ไม่รู้ว่าภาษาทางการเรียกอะไร) มาเปิดประตูแท็กซี่ให้ ถามเราด้วยความหวังดีแต่ตะคอกว่าเราจะไปไหน เราตอบว่าไประยอง เวร...เป็นรถที่มันเรียกพอดี ความซวยมาเยือนแล้วไง


เคยมีอคติกับเด็กพวกนี้ จนถึงบัดเดี๋ยวนี้ก็ยังคงมีอคติอยู่ เพราะว่าความที่เค้าชอบเข้ามาชาร์จ เดินมาจะชนกูอยู่แล้ว จะถามกันดีๆก็ไม่ได้ว่าไปไหน ต้องตะโกนใส่ อย่างกับเราหูตึง (แม้ว่าความจริงจะตึงบ้างนิดหน่อยก็ตาม) แถมพยายามยัดเยียดจุดหมายปลายทางให้ คือถ้ากูตั้งใจอยากไปสุรินทร์ แล้วมึงบอกให้กูไประยองเนี่ย กูจะเปลี่ยนที่ไปเพราะโดนตะคอกใส่มั้ย ตรรกะง่ายๆ แล้วถ้ารถมันจอดอยู่ไม่กี่คัน จะต้องมาเรียกให้เปลืองแรงทำไม คนจะไปไหน เดี๋ยวเค้าก็เดินไปหาเองแหล่ะ วู้! จะ นำเสนออะไรนักหนาฟะ


และแล้วพอเราขึ้นรถตู้มา เราก็ได้พบกับความสนุกที่เราไม่ได้ร้องขอ เหมือนนั่งรถในสวนสนุกที่เพิ่มความหวาดเสียว หวาดผวา หวาดกลัวแถมให้ด้วย เด็กรถตู้นี่ก็พยายามเปิดกระจกหน้าต่าง ขู่กรรโชกผู้คนแถบถนนบางนา-ตราดจะให้ไปด้วยให้ได้ คนนั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์ แต่แกเล่นเดินไปชาร์จถามเค้าทีละคนเลย ไปไหน ไปไหน เอ๊า...เค้านั่งรอรถอะไรซักอย่างอยู่ดีๆ...แต่ไม่ใช่รถแกแน่ๆ จะไปบีบคั้นเค้าทำไม มีป้าคนหนึ่งดันเดินเงอะงะตามขึ้นมาจริงๆ แกจะไปวัดไม่ไกลจากตรงนั้น พอรถออกไปแป๊บหนึ่ง เด็กบอก “ป้าๆ 30 บาท” ป้าทำหน้างง ถามว่าทำไมแพง ปกติป้าไปรถเมล์ (ที่เค้าตั้งใจรออยู่) ราคา 10 บาทเอง ไอ้เด็กทำหน้าไม่ใส่ใจ บอกว่าขึ้น-ลงก็ 30 บาทแล้ว แถมทำท่ารำคาญที่โดนป้าตำหนิ โอ้...นี่หรือเมืองพุทธ เราสามารถทำให้ใครเดือดร้อนก็ได้ หากทำให้เราได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ...


 อุปกรณ์สำคัญในการขับรถของคนขับคือ “แตร” หากรถนี้ไม่มีแตรแล้วไซร้ อย่าหวังเลยว่าจะไปไหนได้ พ่อใช้ไปตลอดทาง กูอยู่ในรถ กูยังหนวกหูเลย คนอยู่ข้างนอกเค้าจะรู้สึกยังไงฟะ ที่ซ้ำร้ายก็คือพอรถเต็มแล้ว แต่เด็กเก็บตังค์ ก็ยังเปิดกระจกเพื่อเรียกผู้คนตามทางอยู่ พยายามแก้ปัญหาด้วยการหลับหนีแม่งเลย รู้สึกตัวอีกทีมีคนมายืนเบียด ตื่นมาแบบงงๆ เค้าเรียกคนขึ้นมายืนบนรถตู้ได้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงจรรยาบรรณข้อไหนทั้งสิ้น ปวดกบาลและไม่สามารถระบายออกได้


สิ่งที่ทำได้ก็คือหันไปสบตาไอ้ปุ้ย แล้วบอกมันว่า “ถ้าใครเอาซอสมะเขือเทศมาราดตัวกูตอนนี้ กูก็จะนึกว่าตัวเองเป็นปลาซาร์ดีน ถูกอัดกระป๋องเรียบร้อยแล้ว” พอถึงชลบุรีพี่คนขับ คุยโทรศัพท์เสียงดัง พูดกับคนปลายทางว่า “เออเนี่ย เมื่อคืนเมาชิบหายยังไม่สร่างเลย นอนตีห้า แปดโมงต้องออกมาขับรถแล้ว” โอย...ได้ยินแล้วปวดตับ จะเห็นใจมันดีมั้ย แต่เราก็ไม่ได้ลงไปจากรถเค้าหรอก มันรับรองไม่ได้จริงๆว่ารถส่วนใหญ่เป็นกันอย่างงี้รึเปล่า ไปถึงบขส.ก็บ่ายแล้ว เป็นการไประยองที่งงดี เพราะรถก็ขับเร็ว แต่ไปถึงช้ามาก เพราะมีการแวะรับ-ส่งตลอดทาง จริงๆรถตู้มันมีเยอะนะ แต่เพียงแค่เราไม่รู้ไงว่าอันไหนดี อันไหนไม่ดี ถือซะว่าเป็นบทเรียนราคา 160 บาท ดีที่ราคาไม่แพง

เราขึ้นรถสองแถวที่บขส.ไปเพื่อไปท่าเรือบ้านเพ มีผู้ชายผู้หญิงคู่หนึ่งเป็นแฟนกันน่ารักดี เค้าพูดจาช้งเช้งไปตลอดทาง ไม่แน่ใจว่าเป็นเกาหลีหรือจีน พอถึงบ้านเพแต่ยังไม่ถึงท่าเรือ เค้าหันมาทำหน้างงๆใส่เราแล้วพูดว่า “บา-เผ” (คือได้ยินอย่างงี้แหล่ะ) เราทำหน้างงกว่า ซักพักพอคิดออก ก็บอกเค้าใหม่ว่า “บ้าน-เพ ใช่แล้ว” เค้าทำท่าจะกดกริ่ง เราบอกว่าอย่าเพิ่ง เราจะไปถึงท่าเรือเลย เค้าถามว่าจะไปเหมือนกันเหรอ เราก็บอกว่าใช่ ไปพร้อมกันก็ได้นะ...แอบดีใจที่ได้ช่วยเค้า นิดๆหน่อยๆ แถมได้ทดสอบภาษาอังกฤษที่ต่ำตี้ยของตัวเองไปด้วย


พอไปถึงบ้านเพ ลงไปจ่ายตังค์ เราก็บอกราคาเค้า 2 คนก็ 50 บาท ข้ามถนนไปที่ท่าเรือ บอกเค้าว่า ซื้อตั๋วก่อนนะ คือจริงๆเราก็นับว่าไม่รู้เรื่องหรอก เพราะเคยมาเมื่อชาติปางก่อน มันนานเกินกว่าจะจำอะไรได้ ก็กวาดๆตาดูให้เร็วๆ แล้วก็บอกเค้า บอกด้วยว่าเรือออกตอนไหน ลำไหน เดินไปที่ท่าแล้วต้องเอาไปแลกตั๋วขากลับก่อนนะ ค่าเรือคนละ 100 บาท (ไป-กลับ) ด้วยความหิวแต่ขี้กียจกินข้าว ไอ้ปุ้ยและเรานิสัยใกล้เคียงกันคือโลภมาก ซื้อผลไม้ไปกิน ก็ซื้อสละ มะม่วง และส้มโอ คิดเอาเองตอนหิวว่ายังไงก็กินหมด พวกเราซื้อสละที่ปอกแล้วสีคล้ำๆ ราคา 50 บาท ตอนซื้อก็ไม่คิดอะไร อยากกินก็ซื้อ พอซื้อเสร็จมองเห็นร้านข้างๆ สดกว่า เยอะกว่า และราคา 40 บาท หันไปมองหน้าไอ้ปุ้ย “นายเห็นเหมือนที่ฉันเห็นมั้ย B1” ไอ้ปุ้ยหัวเราะส่งสัญญาณกลับมา “ฉันก็เห็นเหมือนนายนั่นแหล่ะ B2


พอลงไปนั่งเรือ เราสองคนลงเรือก่อนชาวบ้าน เลยสามารถเลือกที่นั่งได้ตามสบาย เราเลือกนั่งเก้าอี้ใกล้กราบขวาเรือ สิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นคือเรือลำนี้ไม่มีเสื้อชูชีพ ตามประสาคนว่ายน้ำไม่เป็นทั้งคู่ ก็ต้องฝากความหวังไว้กับโชคชะตา ซึ่งเราก็ได้วางแผนไว้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าจะใช้ชีวิตยืนยาวให้มันคุ้มค่าก่อน เพราะฉะนั้นโชคก็ควรจะเข้าข้างเราบ้างในเรื่องง่ายๆอย่างนี้ สองคนที่เราเห็นว่าน่ารัก เค้าก็นั่งอยู่เก้าอี้ใกล้ๆกัน


ไอ้ปุ้ยคว้าผลไม้ออกมากิน มันกินสละ แล้วถามเราว่าทิ้งเม็ดลงทะเลได้มั้ย พอเราพยักหน้าอนุญาต มันก็โยนลงไป เป็นเด็กดีจริงๆ ต้องมาถามให้กูอนุญาตก่อนด้วย เป็นที่รู้กันว่าข้าพเจ้าเกลียดการทิ้งขยะไม่เป็นที่อย่างมาก ใครที่อยู่รอบๆตัวจึงมักไม่อยากเป็นเหตุให้ตัวเองหูชา ถูกด่าเพราะเรื่องนี้ คืออาจโดนสวดโอวาทปาติโมกข์ยาวเป็นกิโล แค่เพราะความมักง่ายในเสี้ยววินาที


หนทางที่เห็นไม่ไกลเลย ตอนแรกที่ลุงคนขับแกออกเรือ มันยังไปไม่พ้นสันเขื่อนกั้น แต่แกชิวๆ สละพังงา (พวงมาลัยเรือ) ที่หัวเรือ เดินออกมาข้างๆเรือ ดึงล้อยางขึ้นมา แล้วก็เดินช้าๆไปข้างหลัง ค่อยๆดึงล้อยางขึ้นมาเหมือนกัน ทุกคนเริ่มทำหน้าเลิ่กลั่ก เพราะไม่มีใครช่วยดูหัวเรือ ที่นั่งกันอยู่นี่ก็มาเที่ยวทั้งสิ้น จะไปทำอะไรเป็นกันเล่า แต่แกก็ชิวๆของแกไป ไม่สน ยิ้มๆดูชำนาญอ่ะนะ เราเลยหัวเราะแล้วทักแกว่า ถ้าลุงเดินแล้วเกิดสะดุดล้ม ลุงจะไปทันมั้ย แกก็ยิ้ม แล้วเดินกลับไป หาสนใจกับปากหอยปากปูไม่


 ใช้เวลาเดินทางนานกว่าครึ่งชั่วโมง เพราะว่าคลื่นมันสูง พวกเราโต้คลื่นกันจนคิดถึงยาดม ค่อยๆไป เห็นสปีดโบ๊ทแล่นฉิวผ่านไป ก็อิจฉาเล็กๆ แต่เราอยากทำอะไรลุยๆไง อย่างงั้นมันสบายไป คนเราทำอะไรก็ต้องให้สมฐานะ คือเงินไม่ถึงน่ะ ต้องว่ากันไปตามระบบชนชั้นฉะนี้แล ผู้ชายคนนั้นถามเราว่าเกาะนั่นคือเสม็ดเหรอ เราหันมองไปรอบๆ เออ....ก็เห็นอยู่อันเดียว เลยพยักหน้าเออออว่าใช่แล้น แหม...ดูดีมีภูมิเชียวนะ แฟนเค้าที่เป็นผู้หญิงพูดอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่ยิ้มน่ารักเชียว ยิ้มตลอดและดูพยายามจะพูด คนที่พยายามจะทำอะไร ก็ดูน่ารักดี แต่ผู้ชายพูดคล่องทีเดียวเชียว


เราถามว่ามีห้องพักแล้วเหรอ เค้าบอกว่าจองไว้แล้ว เค้าเลยถามเราบ้าง เราบอกว่าเราไม่มีนะ เค้าถามว่าเรามีแผนยังไง หือ...ตูไม่มีแผนอ่ะ...แผนตูคือเดี๋ยวไปเช่ารถมอเตอร์ไซด์ ขับไปเรื่อยๆ ค่อยไปหาเอา ว่าแต่ขับไปเรื่อยๆ มันพูดเป็นภาษาอังกฤษว่าไงฟะ เวรแล้วไง...ต้องตัด adverb ที่ตัวเองไม่รู้ออกไปก่อน ช่างหัวมัน...เค้าบอกว่าเค้าอยากเช่ามอไซด์ด้วยนะ ก็เลยได้พาเค้าไป ทั้งๆที่เราก็ไม่เคยมาเหมือนกัน


เราไม่ไปร้านที่มีรถให้เช่าเยอะๆ ที่อยู่ด้านหน้าท่าเรือ เค้าถามเราว่าไม่เอาเหรอ เราหันหัวหาไอ้ปุ้ยทันที ปุ้ยทำท่าเป็นผู้เยี่ยวนานพร้อมเชี่ยวชาญในเกาะเสม็ด ส่ายหน้าบอกว่าไปอีก เราไม่รู้ว่าไปอีกทำไม แต่หันไปยิ้มให้สองคนนั้น บอกเค้าว่า แถวนี้อาจแพง ไปอีกดีกว่า โห...สัญชาตญาณ...ไปได้ขุ่นๆ ทั้งๆที่ก็ไม่รู้อะไรเลย

เราไปร้านเล็กๆข้างๆ ที่มีรถจอดอยู่ 2 คันพอดี รถเช่าราคาคันละ 300 บาท 24ชม. น้ำมันเต็มถัง สงสัยเล็กน้อยว่าทำไมล้อรถถึงถูกเปลี่ยนเป็นล้อหนามใหญ่ๆเหมือนล้อรถแข่ง แต่ก็ไม่ติดใจอะไร เราต้องทิ้งบัตรประชาชนไว้เป็นตัวประกัน เค้าเป็นคนต่างชาติต้องทิ้งพาสปอร์ตไว้ เค้าบอกว่าเค้าต้องใช้เช็คอินห้องด้วย เราเลยหัวเราะ กวนตีนเค้าไปว่า คุณสองคนมีพาสปอร์ต 2 อันใช่มั้ยล่ะ ก็ทิ้งไว้อันหนึ่งไง เค้าก็ขำ อาจอยากเตะเราแต่ทำไม่ได้ แล้วเราก็ได้แผนที่เกาะจากร้านนี้แหล่ะ
เราถามเค้าว่าพักอยู่ไหน แล้วไปถามที่ร้านว่าตอนนี้เราอยู่ไหน พอได้พิกัด ก็พบว่าเค้าจะไปทางขวา ระบบอัตโนมัติเราทำงานทันที เราชี้...เราจะไปทางซ้ายแหล่ะ...ไม่ได้อยากหนีแต่อย่างใด แค่ขอตัวไปตั้งหลักเล็กน้อย ก่อนร่ำลากัน เราถามชื่อและที่มา ขอรู้หน่อยเถอะวะ ไหนๆก็มาถึงขนาดนี้แล้ว เลยได้รู้ว่าเค้ามาจากจีน แล้วเค้าก็บอกชื่อ เราต้องรีบแคะขี้หูโดยด่วน เอาใหม่ซิ เราพยายามพูดตาม ในที่สุดก็ได้มาแบบใกล้เคียง แต่ไม่ใช่ชื่อเค้าแน่ๆ เค้าคงหยวนๆ (หยวนๆ เป็นภาษาจีนมั้ยนะ) เข้าใจว่าเราทำได้ดีที่สุดแค่นี้ ปล่อยให้ผ่านไป เรียกอะไรก็เรียกไปเถอะมั้ง ตกลงว่าน้องผู้ชายชื่อ พีฉี น้องผู้หญิงชื่อ ฉง เราขอโทษเค้าบอกว่าเราทำซาวด์แบบนั้นไม่ได้จริงๆ


ฉงบอกว่าขอเบอร์เราด้วย (พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ควัก iPhone มาทำท่าชี้ๆ) เราเลยบอกหมายเลขไป เค้าเม็มแล้วมันโทร.ออกไม่ได้ เลยให้เราเม็มเบอร์พีฉีแทน เวร...กูต้องควักโทรศัพท์ออกมาจริงๆเหรอวะ เป็นซัมซุงรุ่นเก่าเก็บ จับแรงๆฝาหลังจะหลุดทันที ปกติอยู่กับน้องๆที่ทำงานก็เป็นที่โดนล้อเลียน ตอนนี้ต้องเป็นตัวแทนประเทศไทย โชว์วัตถุมงคลโบราณให้ชาวต่างชาติอึ้งตะลึงงัน เราควักออกมา ภาวนาว่าฝาอย่าหลุดนะ อายเค้า...แล้วก็เม็มเบอร์เค้า มือสั่นๆ ไอ้ปุ้ยแอบเห็น เอามาหัวเราะทีหลังด้วย ก็มันไม่มั่นใจในการพูดจาของตัวเองนี่นา ปกติชอบพยายามตลก พอจะพูดอังกฤษนี่ ตลกหางจุกตูดไปเลย มันก็หวั่นๆ ถ้าจะให้อ้างต้องบอกว่า เหนื่อยด้วย หิวข้าวด้วยไง


 พอเม็มเสร็จ ลองโทร.ดูก็โทร.ติดใช้ได้ เลยบ๊ายบายกัน ขอให้เค้าโชคดี ส่วนคู่ของเราซึ่งไม่มีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาว ก็ได้ทำการตกลงกัน เราสองคนแปลงร่าง ปุ้ยกลายเป็นแว้นบอย ถึงแม้อายุจะน้อยกว่าเราสิบปี แต่ด้วยรูปร่างที่กำยำกว่า ต้องทำหน้าที่ปกป้องสก๊อยเกิร์ลหัวหน้าแก๊งค์คนนี้ให้ดีที่สุด ว่าแล้วก็แบกเป้ขึ้นมอไซด์ปุเลงๆจากมาตามแผนที่


ขับเลยออกมาหน่อยเป็นเขตเข้าอุทยาน เราจอดรถ ปล่อยให้เจ้าหน้าที่เก็บตังค์ เราเห็นป้ายเขียนว่า ผู้ใหญ่ คนละ 40 บาท
พี่เค้าบอกเราว่า “ทั้งหมดร้อยบาทครับ” เรางงๆ หยิบตังค์ให้ไป
พี่เค้าให้ตั๋วมา 3 ใบ เราทำหน้าเอ๋อๆ ทำไม 3 ใบ ก็มา 2 คนนี่หว่า เด็กก็ไม่มีนะ...ไม่มีมาด้วยจริงๆ...
เค้าเลยอธิบายว่า “ผู้ใหญ่ 2 คน คนละ 40 ค่ายาน 20 ครับ”
เราเกาหัวไม่รู้ว่าเพราะโง่หรือหิว เดินมาหาไอ้ปุ้ยแล้วเปรยออกมาว่า “ยานอะไรวะ”
เค้าได้ยิน เลยตะโกนบอกเราว่า “ยานพาหนะไงครับ”
เราหันกลับมาหัวเราะแฮ่ะๆแก้เก้อให้เค้า แล้วบอกว่า “นั่นสิเนอะ ไม่ได้ขับยานอวกาศมาซักหน่อย...แหม...” หน้าแหกกระจุย...
จบด้วยการหันไปหัวเราะกับไอ้ปุ้ยสองคน...ไอ้โง่เอ๊ย...


ลองไปอ่าวไผ่เป็นที่แรก ถนนขรุขระ ขี่ไปไส้ก็คลอนไป ลิ้นปี่ กระเพาะ ลำไส้ ตับ ม้าม ไต คลุกกันมั่วไปหมด พอเลยออกไปไกลอีกยิ่งขรุขระหนักว่าเก่า ชายหาดเป็นโขดหิน ก็สวยอยู่หรอก แต่ก็ยังไม่เหมาะกับผู้หญิงตัวเล็กๆ บอบบางอ่อนโยนอย่างพวกเรา ไอ้ปุ้ยน่าจะปวดแขน เพราะต้องเกร็งตลอดเวลา เริ่มมีเกี่ยงว่าให้เรามาขี่บ้าง เราบอกว่าขี่ก็ได้นะ แต่ถนนแบบนี้รับรองได้ว่ามีล้มแน่นอน คือคิดไม่ทันว่าจะไปไลน์ไหนดี มันเป็นหลุมเป็นบ่อไปหมด เราบอกปุ้ยว่าถ้ามันขี่ ขี่คนเดียวปลอดภัย 2 คน ถ้าเราขี่ ขี่คนเดียว แต่ล้มสองคนนะ ถึงแม้จะทนพิษบาดแผลไหว แต่คงต้องได้วัดยางอายกัน ปุ้ยเลยยอมขี่ต่อไปคนเดียวอย่างซื่อสัตย์ ขี่ไปหัวเราะกันไป ทำใจไม่ได้กับถนน แต่ก็สนุกดี สนุกแบบระทมๆ  แล้วเลยได้ถึงบางอ้อว่า เค้าเปลี่ยนล้อรถมอเตอร์ไซด์เป็นล้อหนามแบบนี้ทำไม


มีที่พักตรงอ่าวไผ่ ราคาไม่แพง ปุ้ยเห็นเบอร์โทร.บอกว่า พี่โทร.เลย แหม...มันช่างเกี่ยงดีจริงๆ เราโทร.ไป ห้องพักก็ราคาถูกดี แค่ 800 บาท แต่ตรงด้านหน้าทะเล เค้าปิดปรับปรุงอยู่ เราเลยไม่เอา พอขี่ไปได้ไกลไปถึงระดับหนึ่ง เราเลยสรุปกันว่า ไปต่อแบบนี้ ไม่ใครก็ใครคงตายห่ากันไปข้าง มีหวังลำไส้หลุดจากขั้ว นอกจากต้องพยุงลำไส้บนถนนที่ขรุขระแล้ว ยังมีสองแถวสีเขียวแป๋น ที่เรียกว่าแท็กซี่ เป็นรถยนต์ชนิดเดียวบนเกาะ ที่มีแตรเป็นอาวุธ โดนบีบแตรใส่ตลอด ก็มันหนีไม่ได้นี่นา ถ้าทำได้ก็อยากจะหายตัวหลบให้เหมือนกัน ขำก็ขำ หนวกหูก็หนวกหู คิดว่าถ้ารถเค้าไม่มีล้ออาจจะพอขับได้นะ แต่ถ้าขาดแตรเนี่ย บรรลัยจักรแน่ อาจสูญเสียความมั่นใจในการขับขี่ไปเลย...


เราตัดสินใจกลับไปที่หาดทรายแก้วแถวใกล้ประตูอุทยาน มีตลาดร้านค้าด้วย พยายามหาเหตุผลมาสนอง need ตัวเอง ว่าถ้าอยู่ห่างๆแล้วชีวิตกลางคืนเราจะใช้กันยังไงวะ เราไม่ได้มาสวีทกัน ไม่ต้องการมีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง ตัดไม่ตายขายไม่ขาด แล้วมันก็มืด ขี่มอเตอร์ไซด์ไปไหนก็ไม่ได้หรอก ไปหาเอาแถวหาดทรายแก้วดีกว่า ดูเป็นในเมืองดี มีชีวิตกลางคืน มีธรรมชาติและแสงสี เห็นเหมือนกันทั้งคู่ มาสองคนเรื่องมันก็ไม่เยอะ คิดอะไรก็ง่ายๆ เลยขี่รถปุเลงๆ เป้เต็มหลัง ไส้คลอนอีกรอบกลับไปที่หาดทรายแก้ว เอามอร์ไซด์ไปจอด เดินเข้าไปบริเวณร้านค้าทั้งหลาย ทะลุออกไปที่หน้าหาด เห็นแล้วมันชื่นใจ ทรายมันละเอียดนิ่มตีนดีแท้ ร้านรวงเยอะแยะ แต่มันน่าดีใจที่สุดตรงที่ไม่มีขยะเกลื่อนเกะกะมาขวางลูกกะตา ตกลงใจรอบที่สองว่าเราจะนอนที่นี่แหล่ะ


เดินกลับออกมาบริเวณร้านค้า หาห้องที่สมฐานะเราสองคน มีรีสอร์ทใหญ่พอสมควร 2 ที่หันข้างชนกัน ด้านหน้าหันหาชายหาด ที่แรกห้องพัดลมราคา 750 บาท ราคาใช้ได้ แต่ไม่มีคนอยู่ที่โต๊ะให้ติดต่อ โทร.ไปตามเบอร์ที่โต๊ะ ก็ไม่มีคนรับ ไม่ง้อก็ได้วะ เดินไปอีกที่ราคาเริ่มต้นที่ 1,700 บาท เราไม่สน คือมันแพงเกินไปสำหรับคนเยี่ยงเราเวลานี้ (ถ้าเวลาอื่นก็ไม่แน่)


เดินเข้าตลาดอีกที เค้ามีห้องพักบนตึกรายวันให้เช่า ขึ้นไปดู มันก็มาตรฐานปกติ มีแอร์ ทีวี ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น ราคา 1,000 บาท ยินดีเป็นอย่างยิ่ง แถมมองออกมาจากหน้าต่างก็ไม่มีอะไรบัง เห็นหาดด้วย เค้าทำผ้าเช็ดตัวเป็นรูปหงส์จูบปากกัน เรากับไอ้ปุ้ยถ่ายรูปสนุกสนานกันใหญ่ ปุ้ยอยากจะเป็นนางพญาหงส์ให้ได้ ถ่ายออกมากี่รูปๆ พวกเราก็กลายเป็นลูกเป็ดขี้เหร่โคตรๆอยู่ดี รับกันไม่ค่อยได้ เลยทำเป็นลืมๆ แล้วไปหาข้าวกินดีกว่า อ้อ...ปุ้ยมันไม่ลืมคอนเส็ปท์ส่วนตัว “พี่นุ้ย ปุ้ยจองนอนติดฝาผนังนะ” มองไปรอบห้อง อุตส่าห์คิดว่า มันไม่น่าจะมีอะไรที่ จอง ได้แล้วเชียว มันยังหา จอง อะไรจนได้


ขี่รถออกไปอีกฟากหนึ่งที่ถนนดี ซึ่งเป็นฟากที่น้องน่ารักสองคนจากไป ฟากนี้รีสอร์ทจะค่อนข้างไฮโซ เราจอดรถที่ร้านอาหารบรรยากาศดีร้านหนึ่ง เราสองคนตลกตกลงกันว่าจะกินข้าวคนละจาน ปุ้ยบอกว่า “เฮ้ย...หน้าตาเหมือนจะแพงเลยพี่” ไปเปิดเมนูหน้าร้าน ราดหน้าจานละ 85 บาท ข้าวก็ราคาประมาณนี้ เราบอกว่า ก็รับได้อยู่ กินข้าวคนละจานเอง คือจริงๆ อยากถ่ายรูป เพราะมันดูดี เราสั่งราดหน้าทะเล ปุ้ยสั่งทะเลผัดผงกระหรี่ แล้วเราสองก็ลั้นลาถ่ายรูปกันใหญ่


พออาหารมา พวกเราตาโต พบว่าถ้าเปรียบกับราคาจะพบว่าถูกมาก จานใหญ่ ไม่งก ทะเลเป็นทะเล ไม่ได้มาเฉพาะวิญญาณ พวกเราชอบ อยากแนะนำชาวบ้าน แต่ว่าจำชื่อร้านไม่ได้ อยู่ตรงอ่าวกลาง ทางขวามือ มีต้นมะขามใหญ่ๆอยู่หน้าร้าน (คิดเอาเองว่าเป็นต้นมะขาม) เด็กเสิร์ฟหน้าบึ้ง และทำหน้าไม่ไว้ใจเรา คงเนื่องจากเราไม่ใช่ฝรั่ง แถมยังหน้าออกเขมรเหมือนเค้าอีกต่างหาก แต่เรายิ้มแป้นออกนอกหน้า หาสนใจไม่ พากันกินข้าว กินบรรยากาศ กินลมทะเล เหมือนหิวกระหาย ชื่นชมความคิดตัวเองที่คิดถูก ที่มาที่นี่กันแบบไม่ต้องรอใคร ไม่ต้องมานั่งกดดันคนเยอะๆ ให้มากับเรา แค่เลือกมากับคนที่ถูกจริต ชีวิตก็ดีมากแล้ว


กินอิ่มเราก็กลับมาที่หาดทรายแก้ว เพื่อจะไปเดินเหยียบทราย ให้มันนุ่มตีนไปมา นุ่มตีนไปแล้วก็นุ่มตีนมา ถึงแม้เราจะไม่ใช่วัยรุ่นละอ่อนแล้ว แต่หัวใจเราใช่ว่าจะทำใจได้ พยายามถ่ายรูปกระโดดกัน ไม่รู้แหล่ะ เราต้องถ่ายให้ได้ กระโดดไป ตลกไป กระโดดจนมีเด็กน้อยมายืนดูว่าป้าพวกนี้มันทำอะไรกัน จนเด็กอยากกระโดดด้วย ถึงจะดูเขินๆ แต่ก็เข้ามาเล่นกับเรา


ฝนเริ่มลงเม็ด เราตกลงกลับไปนอนดูทีวีที่ห้อง ก่อนขึ้นห้องซื้อชาเขียวร้านที่มันกล้าเขียนใส่แผนที่ว่าดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาที่อยู่ข้างล่าง ร้านก็น่ารักดี มีเพ้นท์ฝาผนังสวยๆด้วย เหลือบไปเห็นตรงปลั๊กไฟ หากเผลอเสียบเมื่อไหร่ จะถูกเก็บ 30 บาททันที ติดโน้ตไว้บนปลั๊กเลย คนขายเดินมาหาเราทำหน้าบึ้งสุดๆ เหมือนโกรธเราที่เข้ามารบกวนเวลา เราซื้อชาเขียว 1 แก้ว ราคา 99 บาท ไม่มีการยิ้มต้อนรับขับสู้เราแต่อย่างใด ร้านที่ดูดีดูแย่ลงในทันใด เมื่อเจอคนขายกากๆ พยายามคิดว่า เค้าอาจปวดขี้ ต่อไปเราจะไม่เข้าร้านเค้าอีก เพราะถ้าปวดขี้ก็อย่าเพิ่งมาขายเลย ส่วนรสชาติชาเขียวก็พอจะไปวัดไปวาได้นะ แต่ก็ยังไม่ใกล้เคียงกับคำว่า “ดีที่สุด” แต่ก็ไม่สามารถแก้แผนที่ได้หรอก


กลับขึ้นห้องไป ไอ้ปุ้ยบอก “จองดูเรื่องลูกพี่ลูกน้องนะ” เอาเข้าไปมึง...เราไม่ติดทีวี ก็เลย...จะดูอะไรก็เรื่องของมึงเถอะ กูจะนอนซักงีบ ก่อนตื่นมาใช้ชีวิตอีกรอบ ขึ้นไปบนห้อง พวกเราก็ดีใจ “เออๆ ดีว่ะ นอกจากมีทีวี ยังมีดาวเทียมด้วย” คือมีกล่องรับสัญญาณ PSI วางอยู่ข้างๆ แหม...คุ้มจริงๆเลย ปุ้ยถาม “เปิดไงวะพี่” เราเอารีโมท 2 อันมาเปิดให้มันดู “นี่ไง แค่นี้เอง” ภาพหน้าจอเป็นภาพณเดชน์และญาญ่าคู่ขวัญที่ผู้คนกรี๊ดกันสลบทั่วบ้านทั่วเมือง ยิ้มให้กันอยู่ นัยว่าโฆษณาอะไรซักอย่างนี่แหล่ะ


แล้วหลังจากนั้น จอมันก็กลายเป็นสีดำ มีกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆที่กลางจอ เขียนประโยคที่ทิ่มแทงทำร้ายไอ้ปุ้ยว่า “ไม่มีสัญญาณ” พวกเราลองกันหลายรอบ ขยับทีวี พยายามจะถอดสาย สุดท้ายก็ถอดใจ เรากินผลไม้ที่แบกมาจากฝั่งกระนู้น กินได้นิดเดียว กระเพาะมันไม่มีที่เหลือ เลยเอาใส่ตู้เย็นไว้ ไอ้ปุ้ยนอนฟังเพลง เราก็นอนอ่านหนังสือและดูแผนที่ ปล่อยเวลาผ่านไปท่ามกลางแอร์เย็นๆ ซักพัก โงหัวขึ้นมาก็มืดซะแล้ว เรานั่งพิจารณาแผนที่ คิดถึงคนจีนคู่นั้น เค้าจะเหงามั้ยนะ ก็ที่ตรงเค้าไป มันน่าจะไม่ค่อยมีกิจกรรม ถึงแม้เค้าจะเป็นแฟนกันและมาทำอะไรบ้างไม่รู้ก็ตาม


เรามองผ่านกระจกหน้าต่างไปที่ชายหาด เจอร้านหน้าหาดเปิดโคมไฟ บรรยากาศดีมาก แถมมีคนจุดพลุให้เราดูฟรี (หน้าด้านๆ) อีกต่างหาก ก็เลยอยากให้สองคนนั้นได้เจอบ้าง เพราะรู้สึกผิดที่เป็นตัวแทนประเทศไทย ทำหน้าที่ทูตสันถวไมตรีได้ไม่ดีเท่าที่ควร เค้าอุตส่าห์ส่งหมีแพนด้ามาบ้านเรา ให้คนไทยได้เห่อทั้งประเทศ เอาเป็นว่าบอกเค้าหน่อยดีกว่า


 เลย sms ไปบอกเค้าว่าเราได้ที่พักที่นี่ หาดทรายกว้างที่สุดในเสม็ด สวยดี และมีชีวิตกลางคืนด้วยแหล่ะ ถ้าอยากมาก็แวะมานะ เค้าก็ตอบกลับมาตอนสองทุ่มว่า เค้าขี่มอเตอร์ไซด์ไปไกลเลยวันนี้ สุดทางใต้ คนน้อย แต่มีหาดทรายเหมือนกัน เค้าบอกว่าเค้าดีใจที่เราบอกเค้าและเค้าก็มาถึงแล้ว


เราสองคนล้างหน้าล้างตาแล้วเดินเอ้อระเหยลอยชายลงมา คิดว่าเราควรจะไปเจอเค้าอีกดีมั้ย เจออีกก็ดีนะ แต่ก็เกรงใจไอ้ปุ้ย คนพูดเก่งอยู่ดีๆ แปลงร่างกลายเป็นใบ้ในทันใดเมื่อเจอภาษาอังกฤษของแสลง ส่วนเราหน้าด้าน พูดๆมันออกไปก่อน เดี๋ยวค่อยตามไปรับผิดชอบทีหลังเอา


เราใส่รองเท้าเดินลงมาด้วย ทั้งสองคนเลย ไม่มีใครทำตัวตีนติดติน เลยไม่ได้เตือนกัน พอมาถึงหาดทรายก็รู้ตัวว่ารองเท้าเกะกะซะแล้ว แต่จะเอาขึ้นไปเก็บก็ขี้เกียจ ปุ้ยเสนอว่า “เอาไว้ฝังไว้กันมั้ยพี่” เรารีบสนอง “เออว่ะแก...แหมฉลาดนะเนี่ย ฝังเลยๆ ที่ไหนดี” ปุ้ยชี้ไปที่ใต้ต้นไม้หน้ารีสอร์ทใหญ่ เราก็วิ่งไป ขุดหลุมเอาทรายกลบ แล้วเดินตัวปลิวออกมากัน พากันไปถ่ายรูป แต่เนื่องจากกล้องไม่เทพ เลนส์ก็ไม่เทพ มันก็เลยเป็นรูปมืดๆโทรมๆ เลิกสนใจแล้วไปเดินเล่นดีกว่า


อากาศตอนกลางคืนสดชื่น เสียงคลื่นก็เสนาะหู  เกือบสามทุ่มแล้ว มีร้านหนึ่งโชว์กระบองไฟ เป็นไฮไลท์สวยๆอีกอย่างของหาด เราก็ไปยืนทึ่งๆ สวยดี อยากให้สองคนนั้นได้ดูบ้าง ส่งข้อความไปบอกดีกว่า ก้มลงหยิบมือถือ เงยหน้าขึ้นมา เจอสองคนนั้นยืนจังก้าหันหลังอยู่หน้าเรา นี่ไง...เจอกันจนได้ ก็ละล้าละลัง เอาไงดีวะ จะชวนกินข้าว เค้าจะกินกับเรามั้ย เค้าจะอยากกินสองคนมั้ย แต่เราควรเป็นตัวแทนที่ดีของประเทศไทยนะ


เค้าถามเราขึ้นมาพอดี ฉงทำท่ากินข้าว (ภาษาใบ้ต่างหาก ที่เป็นภาษาสากล) ตัวแทนประเทศไทยตอบไปว่า ไม่หิว เราอยากเดินเล่น...ฮึ...งงตัวเอง พูดอะไรออกไป แล้วไอ้ที่คิดเมื่อกี๊ล่ะวะ เราออกเดินจากกันอีกครั้ง เราหันไปถามไอ้ปุ้ย “หรือเค้าจะอยากกินกับเราวะฮึแก”...ไอ้ปุ้ยบอก “ก็ได้นะ ยังไงก็ได้ ก็ดีเหมือนกัน” เราวิ่งไปแตะๆเค้า แล้วถามว่า “แล้วคุณกินข้าวรึยัง” เค้าบอกว่ายัง เราสวนเลย “งั้นกินด้วยกันนะ”...เค้ายิ้มบอกว่าได้ๆ คงงงๆว่า อีนี่เอาไงแน่ ไหนตะกี๊ มึงบอกไม่หิว อยากเดินไง หลายใจจริงๆ

สุดท้ายเลยได้ไปนั่งกินข้าวกัน ร้านอาหารปิดแล้วทุกร้าน ร้านที่ยอมรับเราเป็นลูกค้ามีป้ายกันผีที่ชื่อร้าน ห้อยสรรพคุณว่า Pub & Restaurant เลยไปนั่งสั่งอาหารกินได้ แล้วก็ต้องกินเบียร์ด้วย เพราะเค้าสองคนกินเบียร์ เราจะมาทำเป็นกินน้ำส้มก็ดูผิดกาลเทศะนะ อาหารรสชาตจืดชืดเล็กน้อย แต่ฉงบอกว่าอร่อยและทำท่าเผ็ดตลอด ถ้ามาเจอส้มตำปูปลาร้าที่เราซัดกันเป็นสรณะล่ะก็ ทนพิษบาดแผลไม่ไหวขาดใจตายแน่ อาหารเลยดูอร่อยขึ้น เพราะมีอะไรแปลกใหม่ให้เล่น พยายามถามว่ากินได้ใช่มั้ย มีหนึ่งจานเราเป็นคนสั่ง และสั่งก่อนคิดว่าจะกินเบียร์ เสือกสั่งสลัด เลยได้กินสลัดกับเบียร์ ได้รู้ว่าสลัดแกล้มเบียร์ไม่อร่อยนะ ไม่แนะนำเลย


พอคุยกันเลยได้รู้ว่าสองคนมาจากหูหนาน พีฉีเป็นวิศวกรไฟฟ้า อายุ 30 ปี ดูแลพวกเรื่องระบบแอร์ตามไซท์งาน ขึ้นเหนือล่องใต้ตามแต่ที่จะถูกบัญชา อยู่ไทยมา 1 ปีแล้ว ฉงเป็นแฟนสาวอายุเท่าไอ้ปุ้ยคือ 25 ปี ตอนนี้ตกงาน เลยมาเที่ยวไทย 2 เดือน  เค้าถามว่าพวกเราเรียนหนังสือกันอยู่เหรอ อยากจะบอกว่าถ้ายังเรียนอยู่ ปริญญาเอกใบที่สามก็เอาข้าพเจ้าไว้ไม่อยู่แล้วล่ะ พอบอกอายุไปว่า 35 ปีแล้วนะ เค้าทำท่าเหมือนจะตกใจหงายหลังตึง หาว่าเราหลอก แหม...สองคนนี้น่ารักแนบเนียนจริงๆเห็นมั้ยล่ะ ขอเป็นตัวแทนประเทศไทยเลี้ยงข้าวแกสองคนซักมื้อได้มั้ย จะเป็นเกียรติอย่างมาก (หลังจากงกมาตลอดทาง)


ก็ชวนกันคุยสัพเพเหระกันไป เราโชว์ว่าเรารู้จักร้องเพลงจีนด้วยนะ ว่าแล้วก็ร้องเพลงเป้าบุ้นจิ้นสามสี่ท่อนเพี้ยนๆให้เค้าฟัง “ไคฟงเหยอเคอ เป่าชิงเทียน เถี่ยเมี้ยหูซือ เปี๊ยนจ่งเจียน ตือตื่อดือตือ ไหลเชี่ยงจือ หวังเฉาเฮ่อหม่าฮั่น ไช้เชี่ยนเปี่ยน” คือตรงที่จำไม่ได้ก็ทำเป็นเนียนๆไป เค้าดีใจใหญ่ ร้องพร้อมกับเราด้วย ความจริงไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าฮ่องกงหรือจีนกันแน่ แต่ปากหนอปาก พูดออกไปแล้วนี่นา


เราบอกเค้าด้วยว่าเราชอบอ่านนิยายจีน เค้าถามว่าชอบใครแต่ง ชั่งใจว่าเค้าจะรู้ที่เราบอกมั้ยวะ คือไม่รู้ว่าไอ้ที่เราอ่านๆมาตลอดเนี่ยมันเป็นชื่อที่ถูกแปลงมาให้ง่ายต่อการเรียกของคนไทยแล้วรึเปล่า เอาวะ...บอกเค้าไปแล้วนี่  พูดไม่รู้จักคิดให้ดีๆก่อนก็ช่วยไม่ได้ บอกไปว่า “ชอบกิมย้ง หวงอี้ โกวเล้ง” เค้าถามว่าเรื่องอะไร ซวยเลยทีนี้ เลยบอกเค้าไปว่า เราอ่านภาษาไทยอ่ะ มันไม่มีชื่อจีนหรือชื่ออังกฤษ จะอธิบายตัวเรื่องก็น่าจะพาเค้าลงทะเลมากกว่า จะอธิบายยังไง ฤทธิ์มีดสั้น มังกรหยก มังกรคู่กู้สิบทิศ เดชเซียวฮื่อยี้ ชอลิ้วเฮียง มันจะไปกันใหญ่มั้ย บอกให้เค้าลืมมันไปเถอะ อธิบายยากเกิน อารมณ์ว่าสามคนนี้เป็นคนจีนหรือฮ่องกงก็ไม่รู้อีกต่างหาก มีปากก็ได้แต่พูดไป เค้ารู้จักสามคนนี้เหมือนกัน อธิบายเรื่องของสามคนนี้ให้เราฟังด้วย ออกเสียงเรียกต่างจากเรานิดหน่อยเอง แต่เราจำเรื่องที่เค้าเล่าไม่ได้แล้ว ว้า...แย่จัง


ฉงเป็นคนน่ารัก และรักแมวมาก เอาแมวแถวนั้นมาอุ้มเล่น ถ้าเป็นเรา เราจะเตะมัน (เบาๆพอ) ให้มันไปห่างๆ แมวมีน้ำตาคลอเบ้าตลอด เราทักเพราะสงสัย ฉงทำท่าบอกว่าแมวแพ้อากาศจากทะเล ตามันก็เลยเป็นอย่างงี้ โห...รู้ได้ไงฟะ ทำหน้าจริงจังด้วย ไม่โกหกแน่นอน เราถ่ายรูปด้วยกันเป็นที่ระทึก อันนี้ระทึกจริง เพราะหน้าเรามันเหียกโคตร (เหมือนตัวจริงเกินไป) และไม่มีรูปซ่อมด้วย ก่อนจากกันคืนนั้น เราขอ E-mail เค้าไว้ บอกว่าเราจะส่งรูปไปให้ดู (พูดตอนที่ยังไม่ได้ดูรูปในกล้อง) แล้วก็อยากจะแนะนำที่เที่ยวดีๆด้วยนะ เค้าขอไลน์กับว้อทสแอ๊ฟ เราหัวเราะแล้วบอกเค้าว่า ขอโทษมากๆเลยนะ แต่ว่าโทรศัพท์เรามัน low technology น่ะ เมล์มาแล้วกันเนาะๆๆ...ไอ้ปุ้ยมี แต่คุยไม่เป็น เลยยอมโลวเทคเหมือนเราก็ได้ ถ้าเป็นภาษาไทยละก็ มันไม่ยอมแพ้แน่ๆ แล้วก็บ๊ายบายกันอีกทีสี่ทุ่มกว่าๆ...อ้อ...แล้วเราก็ไม่ได้เลี้ยงข้าวเค้าหรอกนะ เค้าไม่ยอมน่ะ...


ก่อนออกจากร้าน เด็กในร้านถามเราว่า พี่เป็นคนจีนเหรอ (คนที่ถามพูดไม่ชัดหรอก) เราชี้หน้าตัวเองแล้วหัวเราะ บอกว่าพี่นี่ไทยแท้ๆเลยแหล่ะ สองคนนั้นเป็นคนจีน เจอกันตอนมาที่เกาะ ถ้าพี่จะพอมีเชื้ออยู่บ้าง ก็น่าจะเป็นเขมรล่ะมากกว่า แล้วถามเค้าว่าเค้ามาจากที่ไหน เด็กบอก “ขะแมร์ครับ” นั่นไง...ชัดเลย ถ้ากูจะมีญาติ ก็มึงนี่แหล่ะที่เหมาะไอ้น้องเอ๋ย ก็เลยบอกเค้าไปว่า “บ้านพี่อยู่สุรินทร์ อยู่ติดขะแมร์เรยยย” เค้ายิ้มแล้วบอกว่าเค้ารู้จัก แหม่...ก็ป๊อบปูล่ามิใช่น้อยนะ สุรินทร์เนี่ย เราอวยพรให้เค้าขยันทำงาน และสวัสดีลาก่อน...


เราชวนปุ้ยเดินกลับไปร้านที่แสดงกระบองไฟ ซึ่งเป็นร้านเดียวที่เปิดอยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าเส้นใหญ่หรือเป็นตัวแทนหาดนี้ ให้นักท่องเที่ยวได้ระบายออก กระบองไฟไม่มีแล้ว เหลือแต่ฝรั่งขึ้นไปเต้นกระแด่วๆอยู่บนเวทีเป็นเบือ มันส์กันขนาด ตอนแรกเราเดินไปดูเฉยๆ แต่เสียงเพลงช่างเรียกร้อง เรายืนตรงริมทะเล มีคลื่นซัดใส่ขาเป็นระลอกๆ เหลือบตาดูไอ้ปุ้ย แล้วเลยบอกมันว่า “แดนซ์กันมั้ย ที่นี่ไม่มีใครรู้จักเรา พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว ไม่มีใครจำเราได้หรอก”


ว่าแล้วเราสองคนก็เลยแดนซ์กระจาย วาดสเต็ปท์กลายเป็นไส้เดือนโดนน้ำร้อนลวกกันที่ริมทะเลนั่นแหล่ะ การเต้นริมทะเล ท่ามกลางน้ำทะเลซัดใส่เป็นระยะๆเนี่ย มันสนุกกว่าเต้นในผับในบาร์เยอะเลย ลมทะเลก็เย็น เสียงคลื่นกับเสียงเพลง เราว่ามันเข้ากันได้ดีมาก ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นจังหวะเดียวกันก็ตาม พวกเราเต้นกันจนหมดแรง เราคิดถูก เราไม่รู้จักใคร ไม่มีใครรู้จักเรา ไม่ต้องอาย หลังจากที่เราเดินออกมา ก็มีคนมาเต้นแบบเราอีกหลายคน


เราเดินออกมานั่งเก้าอี้ หาที่คุยกัน คุยเรื่องอะไรก็ตามที่พากันนึกออก การไปเที่ยวกับคนที่จริตตรงกันนี่มันดีจริงๆด้วย ตอนแรกเรากลัวมันเบื่อที่เราจะต้องคุยกับคนอื่นซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ มันบอกว่าสนุกดี ได้หัดฟังด้วย ฟังไปเหอะ กูก็มั่ว การกล้าพูดออกมามันดีจริงๆ พอเราพูดอะไรไม่ถูก เค้าก็จะถามย้ำว่าเราหมายถึงอันนี้ใช่มั้ย นั่นแหล่ะๆ ใช่เลยๆ บ่อยเข้าจะชินและไม่อายในที่สุด เหอะๆๆ...


เรานั่งคุยกัน โม้นินทาชาวโลกกันไปเท่าที่เราจะคิดออก คุยเรื่องทัศนะในการใช้ชีวิต แล้วซักพักก็มีคนต่างประเทศที่ออกแขกๆ เดินเข้ามาหา...เอ่อ...โปรดละไว้ในฐานที่เข้าใจให้หน่อยว่า เราไม่ได้มาเที่ยวกันด้วยจุดประสงค์ในการมาหาคู่ชู้ชื่นหรือพยายามอ่อยใครแต่อย่างใด แต่ถ้าใครมาขอให้ช่วยอะไร ถ้ามันไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ยินดี...ในกรณีพี่ผู้ชายคนนี้ (ดูจากหน้าตา) มาถามจะให้เราช่วยอะไรนี่แหล่ะ ฟังไม่ออก ทวนไปทวนมา เดาจนถูก คือเค้าอยากโทร.กลับบ้านหาพ่อแม่...ตอนเกือบ 6 ทุ่มเนี่ยนะ...สงสัยจะธุระด่วนจริงแฮะ เค้าบอกว่าเค้าใช้ แบนเลสซึ่งเราไม่รู้จัก เราบอกเค้าว่าไปซื้อการ์ดโทร.ต่างประเทศที่เซเว่นฯได้มั้ยล่ะ เค้าว่า ลองดูก็ได้


เราเลยบอกทางไปเซเว่นฯ แล้วหันมาคุยกันต่อ...ซักพักก็ใจอ่อน เออ...เกิดเค้าที่ร่างกายถึกแสนถึกไปโดนฉุดกลางทาง เราก็จะรู้สึกผิดรึเปล่า เลยวิ่งตามไปบอกว่า จะให้ไปเป็นเพื่อน คือให้ไปช่วยซื้อมั้ย เค้าก็ยินดีมาก ก็เลยได้คุยกันระหว่างทาง เค้ามาจากปากีสถาน เค้าถามว่ารู้จักมั้ย เราว่ารู้ๆ ประเทศที่มีปัญหากับตาลีบันไง...เออ...เลือกพูดได้ถูกเรื่องดีแท้หนอ...เค้าบอกว่าใช่ ดูยิ้มแย้มและไม่ว่าอะไรดี เลยเอาใหญ่เลยตู เราบอกว่าได้ยินข่าวเยอะ ดูน่ากลัวนะ แล้วมาทำอะไรที่ไทยล่ะเนี่ย (นัยว่ามึงไม่ได้มาก่อการร้ายใช่ไหม)...


เค้าบอกว่าเค้ามาเรียนหมอที่มหิดล เพราะมันมีหลักสูตรนานาชาติด้วย อ้อ...เป็นนักเรียนหมอ อายุ 22 ปี...หน้านำไปไกลมากแล้วนะน้อง เราล้อเรียกเค้าหมอๆ และปล่อยมุข ‘Trust me I’m a doctor’ เค้าบอกไม่ใช่นะ ยังไม่ใช่ เรียนอยู่เลย เราบอกว่าเดี๋ยวก็ใช่แล้ว หรือว่ามีโครงการจะเรียนไม่จบเหรอ ยังไงก็จบใช่มั้ยล่ะ เค้าเลยเล่าให้ฟังว่าพ่อเค้าก็เป็นหมอ เค้าได้ทุนจากญี่ปุ่นมาเรียนที่นี่หนึ่งปี เค้าว่าที่ไทยก็ดีนะ เค้ามาแล้วก็ชอบ แต่พ่อแม่เค้าคิดว่าที่ไทยอันตรายมาก คือได้ยินข่าวไม่ดีจากบ้านเราในทีวีตลอด เราก็ อ้าว...บ้านแกสิ...อันตรายจะตาย มีกองทัพอเมริกาไปลงด้วย น่ากลัวกว่าอีก


เค้าบอกว่าบ้านเค้าอยู่ใกล้อัฟกานิสถาน ไม่อันตรายอย่างงั้นหรอก พ่อแม่เค้าห่วงมากที่เค้ามาไทย...(เวร) ด้วยเหตุนี้จึงต้องโทร.กลับบ้านทุกวันให้แม่สบายใจ เหอะๆๆ ตลกดี เราบอกว่าเราเคยอ่านนิยาย (อีกแล้วตู!) เกี่ยวกับอัฟกานิสถานเรื่องเดียวในชีวิต ชื่อ Kite Runner เป็นนิยายที่ดีมาก แล้วก็เศร้ามากด้วย เค้าทำหน้างง บอกว่าไม่รู้จัก โอเคเป็นอันว่าปิดประเด็น แต่เราพยายามบอกว่า ไม่รู้จักเหรอ ดังนะ (ยังไม่ยอมเลิก...)


เค้าบอกสาขาที่เค้าเรียนเพราะเราถาม แล้วเราก็ฟังไม่ออก แต่ยังพยายามให้เค้าอธิบาย ปรากฎว่ามันเกี่ยวกับการใส่แขนเทียม ขาเทียมนี่แหล่ะ (ประเทศแกไม่อันตรายจริงๆรึ) เราชื่นชมว่า ดูดีมีประโยชน์จัง เค้าถามว่าเราเรียนอะไรกันอยู่ แถวนั้นมันมืดมากหรือเปล่าวะ แหม...ถามซะไม่กล้าตอบเลย เราเลยบอกว่าเราเรียนจบมา 12 ปีแล้ว...อีหมอนี่ ทำท่ากระโดดถอยหนี เอามือทาบอก แล้วบอกว่าเป็นไปไม่ได้ พูดเล่นๆใช่มั้ย เลยไม่รู้ว่าจะเชื่อมันดีมั้ย ตกใจโอเวอร์แอ๊คติ้งอย่างแรง อยากจะเอามือตบบ่ามัน (แต่ไม่ถึงอ่ะ T_T) แล้วบอกว่า ไอ้น้องเอ๋ย กระดูกเรามันคนละเบอร์ กระดูกกูนี่ ตรวจคาร์บอน 14 อายุได้เยอะเลย แต่ไซส์เด็กชัดๆ คิดแล้วเศร้า...


 เราบอกว่าส่วนไอ้ปุ้ยก็จบมา 2 ปีแล้ว อายุน้อยกว่าเรา 10 ปีเลยนะ เป็นเพื่อนสนิทกัน พวกเราเป็นเอ็นจิเนียร์ ไม่มีประโยชน์ใดๆต่อชาวโลก ไม่เคยช่วยใครซักกะปิ๊ด...หมอบอกเราว่า หมออาจจะได้ยีนส์หมอมาจากพ่อ ทำให้หมอเก็ทเรื่องที่เรียนได้ง่ายขึ้น หมอคงมียีนส์หมอจริงๆนั่นแหล่ะ เพราะดูเป็นคนจริงจัง ถามเราเรื่องการเมืองเฉยเลย เรื่องที่เราเอามาเล่าต่อทางหน้ากระดาษไม่ได้แต่อย่างใด แต่อย่ามาชวนคุยเรื่องนี้เชียว ถึงแม้ภาษาจะกระท่อนกระแท่น แต่ความเห็นมีอย่างกับตาน้ำผุด เราถามเค้าไปว่า อยากฟังจริงๆใช่มั้ย (งั้นมึงก็แคะขี้หูรอฟังดีๆเถอะ) พยักหน้าปุ๊บ ก็จัดไปซะหลายกัณฑ์เลย ส่วนตัวล้วนๆ


เค้าบอกว่า เค้าชอบคนไทยนะ ใจดี แล้วก็ยิ้มเก่งด้วย เราเลยบอกว่า มันก็แน่อยู่แล้ว เรายิ้มเพราะเราไม่รู้จะพูดอะไรต่างหากเล่า แล้วเราก็ฟังไม่ออกด้วย การยิ้มคือการแก้ปัญหาของเรา มันเป็นสไตล์ เค้าถามว่าเราแต่งงานยัง เราบอกความจริงเศร้าๆว่าเราโสด เค้าทำท่าตกใจอย่างแรงอีกครั้ง แล้วย้ำถามว่าเราอายุเท่าไหร่นะ ถ้ากูกระโดดถีบยอดอกแขก มันจะผิดมั้ยวะเนี่ย หนอย...เราบอกอายุตัวเองไปอีกรอบ


เค้าบอกว่า ถ้าเป็นคนที่ประเทศเค้านี่ลูกสองแล้ว เวร...ไม่พอ ยังถามเราอีกว่าทำไมเรายังโสดล่ะ...หนักนะเนี่ย ยังอยากจะมีชีวิตอยู่เป็นหมอต่อมั้ยวะฮึ เราบอกว่าเป็นคำถามที่ง่ายมาก แต่ตอบยากมาก ทำเสียงตะคอกแกมหัวเราะใส่มันไปว่า “กูจะไปรู้ได้ยังไงวะ แม่งเอ๊ย...” (“แม่งเอ๊ย” ไม่ได้พูด พูดไม่เป็น เปลี่ยนภาษา สถานะก็กลายเป็นคนสุภาพด้วย)


คุยกันจนถึงตี 1 พวกเราก็บอกเค้าว่า เราง่วงแล้วแหล่ะ กลับก่อนนะ เค้าขอเฟซบุ๊ค เราบอกว่าเอา mail ไปเหอะ เข้ามาได้ก็อ่านไม่ออกหรอก แต่ก็ยินดีที่ได้เจอนะ เค้าขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของพวกเรา ก็ร่ำลากันด้วยประการฉะนี้ กลับขึ้นห้องไปอาบน้ำ ทรายที่แสนละเอียดน่าชื่นชม ติดกางเกงติดตูดเราไปเป็นล้านเม็ด เพราะเรานั่งบนพื้นทราย มันก็เลยตามไปละเอียดโปรยปรายในห้องด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ กว่าจะได้หลับได้นอนปาเข้าไปเกือบตีสอง...อิ่มและง่วง...


ตื่นมาเจ็ดโมง อาบน้ำอาบท่า แล้วไปเดินเล่นที่หน้าหาดคนเดียว เพราะไอ้ปุ้ยมันหลับไหลลืมตื่น ไม่มีแดด ฟ้าครึ้มๆ ทะเลก็สวย ตรงไหนที่คลื่นซัดถึง ทรายตรงนั้นก็จะแน่น เหยียบแล้วเดินง่าย เหมือนคนเราเลยนะ ผ่านประสบการณ์ เจออะไรเยอะๆ ชีวิตมันก็จะแน่น เวลามีปัญหา เราก็เหยียบได้ง่าย สบายตีนขึ้น


รีสอร์ทติดหน้าหาด จะเป็น รีสอร์ทสวยๆ แน่นอนว่าราคาก็คงแพงไปด้วย แต่ของเค้าก็สวยจริงอะไรจริง มีคนสองคน เดินถือเครื่องเหมือนที่ใช้ตรวจวัตถุระเบิดตามรถยนต์ เค้าเดินๆไป พอตรงไหนน่าสงสัย เครื่องมันน่าจะ alarm ให้รู้ แล้วเค้าก็จะขุดโดยใช้ด้ามอีกอัน ที่หน้าตาคล้ายที่ลวกเส้นก๋วยเตี๋ยว แต่ด้ามยาวกกว่าไม้กวาด มาตักแล้วเขย่าๆ เราเดินของเราไปตั้งนาน แหม...แต่มันก็อยู่ในสายตา และอยากรู้จริงๆ ว่าเค้าหาอะไรวะ อะไรกันที่ซ่อนอยู่ในทราย และมีค่าพอ ก็ไม่เห็นเค้าจะมีถังเถิงมาใส่ผลิตภัณฑ์กุ้งหอยปูปลาที่ขุดได้เลย แล้วก็ดูว่าตั้งอกตั้งใจมาก


มันอยู่ในสายตาเรานานมากแล้ว ก็เลยตัดสินใจเดินถามในที่สุด พอรู้คำตอบแล้วอยากจะเคาะหัวตัวเองแล้ววิ่งลงทะเล เพราะคำตอบคือ...พี่เค้าหาเหรียญ เหรียญที่เผื่อว่ามีใครทำร่วงทำหล่น โหพี่...เครื่องมือพี่แม่งโคตรอลังการเลยอ่ะ มันคือที่ตรวจวัตถุระเบิดชัดๆ แต่ใช้หาเหรียญ หน้าพี่สองคนนี่ก็โคตรโหดเลยนะ เราถามเค้าต่อว่ามันมีเยอะเลยเหรอ เค้าบอกว่าเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีแล้ว...เราคิดว่าอาจเป็นเพราะพี่แกเก็บไปหมดแล้วก็ได้นะ


เดินเรื่อยๆไปอีกฟากหนึ่ง มีลุงกะป้าฝรั่งแก่ๆคู่หนึ่ง สมมติว่าเป็นลุงจอร์จและป้ามาร์ธ่า ป้ามาร์ธ่าใส่บิกินี่สีฟ้าสด เป็นบิกินี่ไซส์สามเอ็กซ์แอล รับน้ำหนักร้อยกว่ากิโลของตัวป้าไว้ ป้ามาร์ธ่าโพสต์ท่าด้วยความช่ำชอง แกคงมีความเกี่ยวพันบางอย่างกับชมพู่ อารยา ท่าสวยงามมากคล้ายกันเลย ลุงจอร์จก็ตั้งใจถ่าย ดูทั้งคู่มีความสุขมาก สังเกตได้จากแกลั่นชัตเตอร์ไม่เลี้ยง อย่างกะมืออาชีพ หันไปดูรอบๆไม่มีใครสนใจแกหรอก มีแต่เรานี่แหล่ะที่ไปถ้ำมองแก ว่าแล้วก็เก็บรูปแกสองคนไว้เป็นที่ระลึกดีกว่า


เดินไปจนสุดปลายหาด มีพระอภัยมณีนั่งเป่าปี่ให้นางเงือกฟัง ผู้ชายหลงรูปคนนี้ ทิ้งแม่ผีเสื้อสมุทรตัวเบ้อเริ่มยืนตัวดำเป็นเหนี่ยงร้องไห้รอ อยู่ที่ท่าเรือทางเข้าเกาะ ตัวเองก็มาเสพสุขเริงร่ากับหญิงที่รูปโฉมโนมพรรณงดงามกว่าอยู่หน้าหาดทรายแก้ว  ทางเดินไปดูแม่ผีเสื้อฯยังสร้างไม่เสร็จ เราเลยอดไปแสดงความเห็นใจใกล้ๆ หวังเอาไว้ว่า เมื่อทางเดินสร้างเสร็จ จะเปิดให้เดินเข้าไปดูฟรี ระหว่างการเดินเล่นทอดหุ่ย (ทำไมต้องทอดหุ่ย) มีขยะตามริมหาดอยู่บ้างนิดหน่อย คงเป็นผลจากนักท่องเที่ยวเมื่อคืนแหล่ะ ถ้าขยะมันอยู่ในเส้นทางที่เราเดินผ่าน เราก็จะเก็บมันไปทิ้งถังขยะ เมื่อวานตอนมาแล้วไม่เห็นขยะเลย รู้สึกดีใจมาก ไม่อยากให้ตัวเองดีใจลดลง


เดินกลับไปห้อง ไอ้ปุ้ยตื่นนอน อาบน้ำ ไปหาข้าวกินแถวๆข้างล่าง หมดตังค์ไปสามร้อย ได้กินกระเพราปลาหมึกแว่นใหญ่ๆ ปุ้ยกินหมึกทอดกระเทียม มีแกงจืดไข่น้ำร้อนๆ อีกหนึ่งถ้วยใหญ่ที่เราจำชื่อไม่ได้ เลยบอกเค้าว่าเอาแกงจืดที่มันมีไข่เจียวอยู่ในน้ำแกงกับผักกาดขาวนะคะ ลุงคนขายบอกแกงจืดไข่น้ำเหรอ ใช่เลยๆ  ตามด้วยน้ำปั่น ซัดกันจนราบคาบ แล้วไปซื้อส้มตำที่เค้าหาบขายตามริมหาดไปกินบนห้องอีกถุง แดดมันร้อนแล้วเลยขี้เกียจนั่งริมทะเล เค้าไม่มีตำปูปลาร้าขาย สงสัยคนที่นี่ไม่ถูกจริตกับปลาร้า หรือแบกแล้วจะหนักกว่าก็ไม่รู้ จะกินตำปูม้าแทนก็ไม่มีอีก เลยได้ตำปูที่รสชาติหวานๆ มากินแทน อีกทั้งพยายามจะกำจัดผลไม้ที่แบกมาจากฝั่งบ้านเพด้วย ในที่สุดก็ไม่สำเร็จ กลัวว่าทุกอย่างจะตีกันในท้องตอนนั่งเรือกลับ มันจะซวยเปล่าๆ ยอมทิ้งก็ได้วะ


ปุ้ยบอกว่าอยากซื้อเสื้อ เราบ่นว่าเอาไปทำไมวะ จะกลับแล้วนะ มันบอกว่าก็เป็นที่ระลึกไง จะได้ใส่มาครั้งหน้าด้วย เราเออออกับมัน แล้วบอกว่าเราไม่ซื้อนะ แต่จะรอ เช็คเอ๊าท์ออกตอนเที่ยง ขี่มอเตอร์ไซด์จะเอาไปคืน เสียดายน้ำมัน ขี่ไปทั้งหมดคงใช้น้ำมันไม่ถึงสามเป๊กด้วยซ้ำ และแล้วเราก็เหลือบเห็นร้านขายเสื้อสวยๆข้างทาง ที่เค้าทำที่พักเก๋ๆให้เช่าด้วย พวกเรากลับรถมาที่ร้านนี้ แล้วเข้าไปดู


เจอลุงเจ้าของร้านอัธยาศัยดี เป็นทหารอากาศเก่า เป็นนักกีฬาและเคยเป็นครูฝึกทหารด้วย พอบอกว่าเรามาจากสมุทรปราการ ลุงก็มีตำนานชีวิตรักกับสาวสมุทรปราการมาให้ฟัง แกเกษียณแล้ว ลูกสาวเคยมาเที่ยวเสม็ดแล้วชอบ เค้าเลยอยากมาขายของที่นี่  ลุงก็เลยได้ย้ายสำมะโนครัวมาโดยปริยาย ที่ร้านทำเสื้อขายส่ง ลุงคุยกับเราเพลิน อย่างกับเราจะนอนที่นี่อีกคืน เราบอกว่าต้องขอตัวไปขึ้นเรือก่อนนะ แกบอกให้แวะไปที่แหลมลูกโยนที่อยู่ข้างๆโรงเรียนก่อน สวยนะ (อ้อ...ตกลงว่าเราได้เสื้อมามาหนึ่งตัวพร้อมโปสการ์ดอีกหลายใบ ไอ้ปุ้ยล้อว่าไหนใครบอกว่าจะไม่ซื้อๆไง ก็แหม...ลุงแกคุยเก่งซะขนาดนั้น....และตอบแทนมิตรไมตรีของเราด้วยการลดราคาให้เท่ากับที่แกขายส่งด้วย ใจดีจริงๆ)


เรากับไอ้ปุ้ยสวัสดีลาก่อนลุง ออกมาจากร้านมุ่งหน้าไปแหลมลูกโยนตามคำบอก เป็นสะพานไม้เปลือยๆ ยื่นเข้าไปในทะเล สวยจริงๆด้วย มีป้ายติดว่าอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า หมู่เกาะเสม็ด ไม่มีใครมา คงเพราะทางเข้ามันดูไม่โดดเด่นและไม่มีภาษาอังกฤษ ถ่ายรูปทิ้งทวน อำลาเสม็ดกันที่นี่ ไม่ลืมที่จะ sms บอกฉงและพีฉีให้แวะมาถ่ายรูปที่นี่เหมือนเราหากมีเวลา เค้าตอบกลับมาในอีกเกือบชั่วโมงว่าสวยจริงๆ ขอบคุณและดีใจที่ได้เจอเราสองคน เค้าบอกว่าเราสองคนน่ารักมาก (เค้าคงหมายถึงทางด้านจิตใจ)


นั่งเรือกลับออกมา ต่อด้วยสองแถวไปบขส. ปุ้ยบอกให้เลือกนั่งรถตู้อีกบริษัทหนึ่งกลับ คนขับขับดีมาก ไม่มีแวะรับใครกลางทาง ไม่บีบคั้นผู้โดยสาร ไม่บีบแตร มารยาทเป็นเลิศ ต่างจากขาไปราวฟ้ากับเหว พวกเราเลยหลับสบาย มาลงที่บางนา จบทริปด้วยการแวะกินสุกี้บุฟเฟ่ต์ที่ไม่อร่อยคนละ 199 บาท ก่อนนั่งแท็กซี่กลับสู่โลกแห่งความจริง....

It’s me…Kaka lost for a while…
30-6-12 ~ 1-7-12