ปุจฉาๆ...ฉันขอถามว่า “ปัญหา” คืออะไร
ปัญหาคือช่องที่ว่าง ที่อยู่ตรงกลางของสองสิ่งใหญ่
หนึ่งคือ “สิ่งที่เป็น” อีกสิ่งไม่เห็น “สิ่งที่ควรเป็น” ไง
อะไรไม่ได้ดังว่า เค้าเรียก “ปัญหา” พบปะบ่อยไป
ตอนเด็กยังเล็กละอ่อน กินนมแล้วนอน พักผ่อนสบาย
พอหิวก็เป็นปัญหา นมไม่ลอยมาเราก็ร้องไห้
มีเพื่อน เพื่อนไม่เล่นด้วย เสียใจแทบม้วย ก็ปัญหามันใหญ่
เจ็บป่วย ปวดหัว ปวดท้อง พ่อแม่ช่ำชอง แก้ปัญหากันไป
ตัวเราไม่มีของเล่น เพื่อนมีให้เห็น เราก็เสียใจ
ปัญหามีมาเยอะแยะ ลองคุ้ยลองแคะ เด็กเจอปัญหามากมาย
ผู้ใหญ่บอกเรื่องเด็กเด็ก แต่ตอนยังเล็ก เอ๊ะ...เป็นปัญหาวุ่นวาย
โตแล้วก็เจอปัญหา ไม่รู้หรอกว่า สนิทกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่
แก้มันไม่เว้นแต่ละวัน ปัญหาสารพันก็ผ่านผ่านไป
เรียนไม่เก่งแก้ด้วยการลอก ปัญหากระจอกเราปัดทิ้งได้
ปัญหาถ้ามันดูยาก เราไม่ลำบากวิ่งหนีง่ายดาย
ทำถูกกันวันละนิด ส่วนที่ผิดไม่คิด ละไว้ในฐานที่เข้าใจ
มีปัญหาอกหักรักคุด ชีวิตชำรุด ฆ่าตัวตายซะเลยดีมั้ย
พูดมามากมายหลายหลาก ปัญหากากๆเจอกันอยู่ร่ำไป
ปัญหามากมายในชีวิต หากรู้จักคิด ชีวิตน่าจะก้าวไกล
เรียนหนังสือท่วมหัวนานมา ไม่มีหรอกวิชา แก้ปัญหาสอนให้
แต่ปัญหานำพาประสบการณ์ ขอเพียงพบพานวิธีแก้ไข
พอเจอเป็นครั้งที่สอง ทำให้ไตร่ตรอง แก้ไขเร็วไว
เราลองมองให้เห็นปัญหา แล้วมาคิดเถิดว่า จะแก้ปัญหายังไง
แก้ปัญหา ใช่ว่าวิ่งหนี แก้ให้ดีดี ไม่มีวันบรรลัย
ดูคนโบร่ำโบราณนานโคตร ชีวิตแสนโหด แต่ตอบโจทย์ได้
กลางคืนไม่มีไฟฟ้า เห็นเป็นปัญหา นำมาซึ่งหลอดไฟ
เดินทางลำบากเกวียนเข็น ลำบากยากเย็นสร้างรถยนต์ให้
เดินทางไกลก็ยิ่งลำบาก แต่ในยามยาก เขาสร้างเครื่องบินใช้
ดวงจันทร์เขาก็ไปกันมาแล้ว ชีวิตเราที่ว่าแห้ว มันลำบากมากไหม
คนเราเอาชนะอุปสรรค อย่าดูถูกตัวเองนัก ขอให้รักการแก้ไข
สิ่งยิ่งใหญ่ใช่ใช้เพียงความเก่ง ใช่ว่าเขาเฮง แต่เขาพยายามมากมาย
ขอเพียงเราพยายามพยายาม ใครที่มาหยาม ก็อย่าไปสนใจ
ดูโต๊ดเด็กเกรียนเป็นตัวอย่าง เพื่อนๆทิ้งขว้าง เด็กเกรียนเดียวดาย
โต๊ดเอยเค้าไม่ยอมแพ้ ยกครูอังคณามาแก้ แก้เกมส์ไว้ได้
ปัญหากะโหลกกะลา โต๊ดรีบทายท้าออกโซเชียลเน็ตเวิร์คไป
แป๊บเดียวโลกก็รับรู้ เด็กเกรียนเค้าอยู่แห่งหนตำบลใด
พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ครูอังคณาก็ไม่พลาด ดังโดยมิได้เต็มใจ
โต๊ดเอย น้าขอซูฮก เอ็งแก้ปัญหาได้ตก กว่าผู้ใหญ่คนไหนๆ
พูดมาใช่ว่าฉันอยากสอน ฉันแค่นอนคิดแล้วเสียดาย
พูดไปใช่ว่าฉันจะดี ปัญหามากมีก็ยังแก้ไม่ได้
วันวันฉันก็นั่งลับเขา มีเรามีเขา ดูซิจะเอายังไง
เขาของฉันหมั่นวิ่งชนปัญหา วันไหนมีปัญญาปัญหาแตกกระจาย
วันไหนปัญหามา ปัญญาไม่มี ลับเขาอีกที อยากขวิดตัวเองซะให้ตาย....
It’s me…
Kaka in trouble…
2 พฤษภาคม 2555
วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
ซ่อมได้ (มั้ยฮึ)...
มีคำพูดว่า Bad sometimes good ในสถานการณ์ที่เลวร้าย บางทีก็มีอะไรดีๆซ่อนอยู่นะ มองหาเข้าไปสิ ถึงจะมองเห็น
แล้วยังมีคำพูดอีกว่า When a door closes, a window opens เมื่อประตูบานหนึ่งปิด มันก็ต้องมีหน้าต่างเปิดไว้ให้เราปีนออกจนได้นั่นแหล่ะ ไปผลักๆดูหน่อย เดี๋ยวก็เจอ...
อีกคำยังตามมาพูดว่า The time to repair the roof is when the sun is shining. เมื่ออาทิตย์สาดส่องก็ได้เวลาซ่อมหลังคา
ยังมีอีกเพียบ...แต่อย่าเลย จะกดดันตัวเองไปถึงไหน แค่นี้ก็น่วมไปหมดแล้ว
ที่ผ่านมา เพราะมีเหตุการณ์อันทำให้ต้องประสบพบเจอหน้าฝรั่ง แทนที่เค้าจะถามเราว่า “เอาเม็ดมั้ยลูก” แล้วเฉาะใส่ถุงให้เราตามหน้าที่ แต่เค้าดันเป็นฝรั่งสูง ขาว หน้าตาดี (ชิบเป๋ง) พ่นภาษาอังกฤษอิงลิชฟอร์ยูสำเนียงประเทศตัวเองใส่เราไม่ยั้ง จะพูดจะคุยอะไรด้วยก็ติดขัด ตะขิดตะขวงใจไปหมด ไม่สามารถถ้อยอธิบายอะไรงามๆออกมาได้แม้แต่ประโยคเดียว เมื่อไหร่ที่คนพูดมากๆ เจอสภาพพูดไม่ออก บอกไม่ถูกอย่างงี้ จะเข้าใจในหัวอกเราได้เป็นอย่างดี
กลายร่างเป็นเขมรน้อยหัวตีบตันในทันใด อยากจะเก็บกระเป๋าหนีหน้าไปพักใจอยู่ยุโรปซักปีสองปี แต่พอเหลียวมองตังค์ในกระเป๋า ว้า...ทำได้แค่ ไปเหมาซื้อฝรั่งในตลาดมาปาเป้าด้วยความแค้น มันจะยากเย็นอะไรนักหนาวะ แต่เพราะว่าในสถานการณ์ที่แย่ๆ ก็มีอะไรดีๆซ่อนอยู่ มันทำให้เรามีโอกาสในการนั่งมองตัวเองให้ชัดๆ
ถามตัวเองว่า ยังอยากพูดภาษาอังกฤษอีกมั้ย หรือว่าจะหลบลี้หนีหน้าเข้าป่าไปเลยดี ตอบตัวเองได้ว่า “อยากพูด” เพราะรู้สึกว่าถ้าพูดได้คงสนุกดี และเสียดายเวลาที่ตอนเด็ก ประถม มัธยม ที่นั่งเรียนหน้าห้องมาตลอด...เพราะว่าตัวเล็ก (หลีกเลี่ยงการใช้คำว่า “เตี้ยตะแมะแคะ”) ก็เลยได้ทำเลนี้ ทำให้กลายเป็นเด็กที่อยู่ในสายตาคุณครู ไวยกง ไวยกรณ์ภาษาอังกฤษที่พวกเด็กสายวิทย์มักจะมีปัญหา เราก็พอจะจดจำได้บ้าง ถึงไม่เก่งเก๋าขนาดท่องมหาสมุทรแปซิฟิกได้ แต่ถ้าเป็นเจ้าพระยาก็น่าจะพอไหว เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ป.5 จนถึงม.6 รวมเวลาทั้งสิ้น 8 ปี บวกกับในมหาลัยอีกเล็กน้อย แล้วมันควรมั้ยที่เราจะโยนมันทิ้ง ทำเป็นไม่ใยดี ตอบได้ง่ายๆว่า “ไม่ควร”
ความจริงตอนอยู่มหาลัยปีสุดท้าย ต้องเลือกทำโปรเจ็คท์เป็นงานก่อนจบ ใช้เวลาปีสุดท้ายทั้งปี เราได้ทำโปรเจ็คท์กับอาจารย์ฝรั่งอเมริกัน เป็นอาจารย์ฝรั่งคนเดียวในคณะ อาจารย์พูดไทยไม่ได้ ไม่มีใครเลือกทำโปรเจ็คท์กับแก เพราะว่าเดี๋ยวจะส่งผลกับเกรดเฉลี่ย และมันน่าจะง่ายกว่าถ้าอาจารย์เป็นคนไทย แต่เราเลือกแกเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา เพราะเห็นใจอาจารย์หนึ่งอย่าง อีกอย่างก็โดนเพื่อนยุ ก็เห็นว่าเกรดนิยมอยู่แล้ว คงไม่แย่ไปกว่าที่เป็นอยู่ (เกรดนิยมนะ ไม่ใช่เกียรตินิยม เดี๋ยวจะเข้าใจผิด คิดว่าอีนี่มาเขียนอวดอะไร) และมันก็น่าสนุก ทำก็ได้วะ เห็นแก่ความสนุกอย่างเดียวเลย เลยได้เจอหนึ่งปีแห่งความท้าทายที่ถูกบีบให้อยู่ในภาวะเอาตัวรอดอย่างมาก ทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองรอด
ด้วยความที่ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษถึงขั้นพาออกงานได้ มันก็เลยเกร็ง จำได้ว่าครั้งแรกที่ทำงานทดลอง อาจารย์ยื่นมือมา แล้วบอกว่า “Give me the screwdriver” เครื่องมือช่างวางอยู่เต็มโต๊ะ แกจะเอาอะไรวะ เลือกกรรไกรยื่นให้แกแล้วกัน...แว้ก...ปรากฏอาจารย์เค้าขอไขควง หน้าแหกแตกเพล้ง...กอบขึ้นเกือบไม่ทัน อาจารย์เป็นดอกเตอร์ด้านโลหะวิทยา เป็นคนเอื้อเฟื้อมาก ใจเย็น หลายๆอย่างแกเป็นคนสอน ไม่เคยตำหนิที่เราพูดภาษาเค้าผิดๆถูกๆ แกสอนเราทำกราฟใน Excel ด้วย ทุกวันนี้ถ้าต้องสอนเด็กคนไหนทำกราฟ ก็ยังนึกถึงอาจารย์อยู่ และสงสัยตะหงิดๆว่าตัวเองรอดมาได้ยังไง
จากที่เกร็งก็ค่อยๆคุ้นชินมากขึ้น แต่ก็ไม่ค่อยกล้าคุยกับแกมากเท่าไหร่ เพราะตอนนั้นก็ไม่ได้เห็นความสำคัญของการพูดคล่องว่าจะดีต่ออนาคตอะไรเลย รู้สึกว่าเงียบไว้ดีกว่า พูดมากก็อาจหน้าแตกมาก ทำไมถึงได้ไม่รู้จักคิดขนาดนั้นก็ไม่รู้ สู้อุตส่าห์มีโอกาสได้ฝึกฝน เราก็ทิ้งโอกาสงามๆไป ทิ้งไปอย่างหน้ามึนๆ เราต้องส่งรายงานโปรเจ็คท์เป็นระยะๆ เวลาเอาไปส่ง แกก็แก้ด้วยปากกาแดงเถือกไปทั่วหน้า แต่แกก็ไม่เคยตำหนิหรือด่าเราเลย เราเคยถามแกโง่ๆว่า รู้ได้ไงว่าต้องเขียนแบบนี้ แกบอกว่า แกก็ไม่รู้ไวยกรณ์หรอก อาจรู้น้อยกว่าเราด้วยซ้ำ แต่มันเป็นภาษาของแกไง ก็แค่รู้ว่า มันเขียนอย่างงี้เท่านั้นเอง แกใจดี ให้กำลังใจเราตลอด มีแต่เรานี่แหล่ะที่ชอบวิ่งหนีแก แกบอกว่าเวลาอ่านตำราภาษาอังกฤษ อ่านเสร็จให้ปิดหนังสือ แล้วเขียนสิ่งที่ตัวเองเข้าใจออกมา แต่พอเอาเข้าจริงมันก็ทำไม่ได้นะ มันเป็นภาษาขี้เหร่เกินไป เราก็เลยต้องเปิดเอาศัพท์งามๆมาใส่ ไปๆมาๆ ก็เอาทั้งประโยค ที่จริงก็ใกล้เคียงกับคำว่า ‘ลอก’ มากเลยทีเดียว
เราเป็นเด็กไทย เราถูกปลูกฝังให้เรียนภาษาอังกฤษเยอะแยะ แต่มันไม่ได้ใช้พูด ก็เลยไม่คืบคลานไปไหน ตอนทำงานก็ดันได้ทำงานกับบริษัทญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษก็เลยได้ใช้เฉพาะการเขียน การอ่าน(ในใจ) เวลาพูดกับญี่ปุ่น ก็ใช้แค่คำง่ายๆ สั้นๆ บวกภาษาใบ้ บวกภาษาไทย เพราะเค้าฟังไทยได้บ้าง เราก็เลยอาศัยทำตัวเนียนๆ ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษในการพูดอีกเลย
ตอนกลับไปรับปริญญา เราเจอหน้าอาจารย์ฝรั่ง เราก็หลบ ทำตัวให้เล็กลีบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ได้โปรดอย่ามามองสบตากันเลย นอกจากไปไหว้แล้วถามว่าสบายดีมั้ย เราก็ไม่ไปใกล้ชิดแกเลย เพราะว่าไม่รู้จะคุยอะไรด้วย สิ่งที่ทำแล้วเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้คือหนีหน้าอาจารย์ ไม่รับความหวังดีที่เค้าหยิบยื่นให้ แกก็คงไม่สบายใจนักที่มีลูกศิษย์แบบนี้ ตอนนี้รู้แต่ว่าแกกลับประเทศตัวเองไปแล้ว แกมาอยู่ไทยไม่กี่ปี มากับศรีภรรยาคนไทยที่เป็นอาจารย์สอนวิศวะที่อีกภาควิชาหนึ่ง ได้ลูกสาวน่ารัก 1 คน แล้วพากลับไปโตที่บ้านเกิดตัวเอง เราจะติดต่อแกอีกก็ไม่ได้แล้ว แกเป็นคนดีจริงๆ ส่วนเรามันก็ใช้ไม่ได้เอาซะเลยจริงๆ
12 ปี ในบริษัทญี่ปุ่นของเราผ่านไปไวเหมือนโกหก ชีวิตเรื่อยเฉื่อยเหมือนรถขายโอ่งบนเรือเกลือ พอมาเจอฝรั่งตัวเป็นๆเข้า รู้สึกว่าเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง แต่ว่า...แต่ว่าเอ๋อแดก พูดอะไรไม่ออก เรียบเรียงอะไรออกไปจากสมองน้อยๆได้น้อยมาก ทั้งๆที่วัตถุดิบมีอยู่เยอะมาก ทำให้รู้สึกเศร้าจากใจได้จริงๆ จากที่ไม่เคยต้องขอคำปรึกษาปัญหาชีวิตกับใคร ต้องไปนั่งระบายให้เพื่อนฟัง ทั้งๆทีเพื่อนเก่งภาษาอังกฤษ แต่เราก็ปากหนัก ไม่ออกปากให้มันช่วยซักคำ น้องเพื่อนเรียนเมืองนอกมา บอกว่าหัดพูดกับมันก็ได้ เราก็โง่ปฏิเสธไปอีก อยากเขกหัวตัวเองนัก
ตัดสินใจไปเรียนที่สถาบันสอนภาษาใกล้ๆ อาจารย์ฝรั่งสอน เพิ่งไปมา 2 ครั้ง นักเรียนมี 5 คน (รวมเราด้วย) แต่อีก 4 คนเค้าเรียนมานานแล้ว และดูเค้าไม่เสียดายเงินเท่าไหร่ เค้าสนุกกับการพูดภาษาไทยในชั้นเรียนภาษาอังกฤษ เค้าบอกว่าเค้าเรียนเอาสนุก ฮือๆ เราเสียดายตังค์ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ควักกระเป๋าจ่ายค่าเรียนพิเศษห้าพันกว่าบาท เพื่อบังคับตัวเอง อีก 4 คนเรียนมาหลายคอร์สแล้ว มีพี่คนหนึ่งเรียนมา 2 ปีแล้ว ไม่อยากจะคิดว่าเป็นเงินกี่บาท แต่เราผู้เข้าไปทีหลังก็ต้องเจียมตัว และมองในแง่ดี ว่าเราได้เพื่อนเพิ่มมาตั้ง 4 คนนะ เราต้องพยายามเข้าห้องก่อนเวลา เผื่อหาเรื่องคุยกับอาจารย์ เราพยายามถามเค้า ให้เค้าตอบ พอเค้าถามเราบ้าง มันอึ้ง ในหัวคิดเยอะ แต่พูดยาวไม่ได้ เพราะคิดเป็นไทยทั้งนั้น ดูวกวนเวิ่นเว้อ ประสาทในหัวตัวเอง
อย่างเมื่อวานไปถามเค้าว่าทำไมมาอยู่ไทยล่ะ เค้าเล่าให้เราฟัง พอเค้าถามกลับมาบ้าง เราบอกว่า ก็เราเกิดทีนี่ แล้วเราเสือกอยากจะเล่าต่อ ไปเล่าให้เค้าฟังว่าอยากเปลี่ยนบริษัท อยากทำงานกับฝรั่ง แล้วหนักกว่านั้นเสือกไปบอกเค้าว่าอยากย้ายประเทศด้วย คือในใจไม่ได้คิดอย่างงี้เลย คิดว่าเผื่อได้ไปช่วงสั้นๆ มันก็น่าสนุกดี ได้เห็นอะไรใหม่ๆ ได้เรียนรู้อะไรบ้าง จะได้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง แต่มันคิดนาน ต้องคิดเป็นไทย แปลเป็นอังกฤษ กลัวพูดออกไปไม่ได้ กลัวนั่นกลัวนี่ กลัวอาจารย์นั่งตบแมลงหวี่ เลยพูดส่งเดชออกไป แล้วบอกเค้าอีกว่าตอนนี้ต้องพูดภาษาให้มันมั่นใจกว่านี้ก่อน พูดแล้วก็นั่งหน้าแดง อายตัวเอง เค้าคงเข้าใจว่าเรามาเรียนเพื่อจะไปเมืองนอก เวรกรรม...
อาจารย์ถามว่าเราอ่านหนังสืออะไรอยู่ตอนที่เค้าเข้ามา เราชูให้ดูบอกว่าสตีฟ จ๊อปส์ ตามนิสัยถ้าเป็นภาษาไทย ใครมาถามอย่างงี้ แม่จะนั่งโม้ให้คนฟังนั่งตาแป๋วเลย แต่นี่...ครึ่งเล่มสะระตะหลายร้อยหน้าที่อ่านมา สรุปได้ว่า ชอบเพราะว่าเค้าเป็นคนสร้างสรรค์นะ นิสัยไม่ดี แต่สร้างสรรค์และเก่ง แค่เนี้ยะ อาจารย์เล่าในมุมของแก เราสามารถออกความเห็นสั้นๆง่ายๆได้ แต่เล่ายาวไม่ได้ อยากจะบ้า...ถ้าจะบอกเค้าแค่นั้น มึงไม่ต้องนั่งอ่านเยอะแยะก็ได้นะ เค้ารู้กันทั้งโลกอยู่แล้ว
จริงๆอยากเล่าในรายละเอียดมาก คนหอกอะไรน่าทึ่ง เกิดมาพ่อแม่ก็ทิ้ง แต่พ่อแม่บุญธรรมก็รักมาก รู้ตัวว่าเจ็บเรื่องนี้ครั้งแรกตอน 7 ขวบ เพื่อนทักว่า “งั้นพ่อแม่จริงๆก็ไม่ต้องการเธอน่ะสิ” น่าสงสารมาก เด็กน้อยที่เจอสายฟ้าฟาดกบาลวิ่งร้องไห้ หนีเข้าบ้านไปเลย ตอนเด็กคิดอยากประดิษฐ์เครื่องวัดความถี่ แล้วหน้ามึนโทรไปหา CEO ของ HP เพื่อขออะไหล่บางตัว จนเค้าให้ไปเป็นเด็กฝึกงานที่นั่น เป็นสายงานประกอบ วางน็อตวางสกรูไป แต่ชอบไปเล่นกับวิศวกรมากกว่า มีคนข้างบ้านเป็นวิศวกรไฟฟ้าเก่งๆ ที่เค้าชอบไปเล่นด้วย พ่อบุญธรรมก็เป็นช่าง ชอบซ่อมรถยนต์ ซื้อรถเก่ามาซ่อมแล้วเอามาขาย ทำกำไร ทำอะไรก็สอนให้เค้าทำด้วยความเนี้ยบ ถึงแม้ในส่วนที่คนอื่นมองไม่เห็น อย่างทำตู้ หลังตู้ (ที่ไม่มีใครเห็น) ก็ยังเนี้ยบ อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้มาตลอด ได้อิทธิพลจากคนรอบข้างสูงมาก
แต่นิสัยแย่มาก ชอบดูถูกคนอื่น ตอนหนุ่มๆ ไม่ใส่รองเท้า อาบน้ำอาทิตย์ละครั้ง สังคมรังเกียจ เรียนมหาลัยศิลปะ ตอนทำงาน ทำงานสายวิศวะ ทำงานเก่งแต่ไม่มีใครชอบ แต่เค้าก็ไม่แคร์ใครเหมือนกัน เค้าบอกว่าที่เค้าเก่ง ก็เพราะว่าคนอื่นโง่ ก็แค่นั้นเอง ช่างมีปากที่พาไปหาส้นเท้าได้ไม่ยาก กินมังสวิรัติ พี้ยา ดูค้านๆในตัวเองมาก มีครั้งหนึ่งบอกแม่บุญธรรมว่าตัวเองกินแต่ใบไม้ที่สาวพรหมจรรย์เด็ดกลางแสงจันทร์เท่านั้น แม่อึ้งพูดไม่ออกไปเลย เพื่อนชื่อสตีฟเหมือนกันเป็นคนคิด Apple อยากแจกความคิดฟรี แต่จ๊อบส์อยากเอาไปทำขายจริง พูดกล่อมจนเพื่อนยอม เพื่อนเก่งกว่ามาก มีพ่อเป็นวิศวกรสร้างขีปนาวุธ ศรัทธาในศาสตร์วิศวกรรม อยากให้ทุกอย่างฟรี เป็นพ่อพระ ขี้อาย อยู่ในกรอบ แต่จ๊อบส์เห็นแก่ตัว ทรหด โคตรโกง หน้าด้าน หน้ามึน เปิดบริษัทด้วยกัน ขนาดเอาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ไปขายครั้งแรก ไปบริษัทใหญ่โต ยังกล้าไม่ใส่รองเท้าไป เอาตีนยกขึ้นไปวางบนโต๊ะผู้บริหารด้วย จะหาญกล้าไปไหน นอกจากเค้าจะไม่ซื้อแล้ว ยังโดนด่าอีก พอได้คำสั่งซื้อจากคนที่มองเห็นคุณค่าผลิตภัณฑ์จริงๆ โดยไม่สนใจรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเอง ก็เริ่มผลิตงานในโรงจอดรถพ่อบุญธรรมนั่นแหล่ะ พอมีบริษัทใหญ่โต บีบคั้นลูกน้อง จนโดนแบนบีบออกจากบริษัทตัวเอง โอวววว...และอีกมากมาย
การอ่านชีวิตคนอื่นนี่มันสนุกจริงๆ พอเค้าตายแล้วมันก็กลายเป็นตำนาน เรื่องของสตีฟ จ๊อปส์ ตัวเค้าไม่อ่านหรือเซ็นเซ่อร์ต้นฉบับด้วยซ้ำไป ปล่อยให้ความจริงมันไหลไป คนที่ทำงานด้วย แม้แต่เพื่อนๆก็ออกมาด่าเพียบ แต่เค้าเก๋าจริงๆนะ อยากเล่าให้อาจารย์ฟังอย่างงี้แหล่ะ แต่พูดไม่ได้เลย ทำได้แค่ร้องไห้เป็นภาษาอังกฤษในใจ อยากมองเห็นวันที่ตัวเองอยากโม้อะไร ก็พูดออกไปได้ ไม่ติดคาลูกกระเดือกอยู่ มันจะเป็นยังไงน้า เขมรน้อยอย่างเราคงเบิกบานใจไม่น้อยเลย คงสวยขึ้นมาอีกหนึ่งกองเห็นจะได้
ได้ถามเพื่อนคนหนึ่งที่ไปเรียนเมืองนอกว่า เราจะพ้นสภาพอย่างงี้ไปได้ยังไง โดยที่เราไม่ต้องไปเมืองนอก...ด้วยเหตุผลของคนไม่มีตังค์ เพื่อนบอก ไปโบสถ์ (เพราะฟรี) เดินหน้าหาฝรั่ง แก้อาการตัวเอง ดูหนังอย่าใช้ซับไทย ฟังเทป พูดตาม หัดคิดบ่อยๆ สำคัญต้องพูดบ่อยๆ นั่นสินี่แหล่ะสำคัญนัก พูดบ่อยๆ จะไปพูดกับผีฝรั่งที่ไหนดี หันไปหันมาก็มีแต่หน้าเพื่อนๆลอยมา
เพื่อนๆรอบตัวหลายคนไปเรียนเมืองนอกมา หรือเก่งอังกฤษ ถ้าเราวนๆไปคุยกับไอ้คนพวกนี้ มันน่าจะกรุณาเราได้ ตามหลักตรรกะ ถ้าเราได้พูดบ่อยๆแล้ว ทักษะมันก็ควรจะเกิดขึ้นมาได้บ้าง มันจะย่ำต๊อกอยู่ที่เดิมก็คงจะไม่ใช่ สำคัญที่ต้องฝ่าด่านแรกไปขอร้องเพื่อนๆให้ได้นี่แหล่ะ ถึงจะเขินจะอายขนาดไหนก็ควรทำ แค่คิดยังนั่งกัดเล็บแล้วเลย เฮ้อ...
ในสถานการณ์ที่เลวร้าย ยังมีอะไรดีๆ ซ่อนอยู่นะ
มีหน้าต่างบานหนึ่งเปิดรอเราปีนออกไปอยู่นะ
ได้เวลาที่แสงอาทิตย์จะสาดส่องแล้ว ช่วยซ่อมหลังคาบ้านด้วยล่ะ รูโบ๋ใหญ่เบ้อเริ่มเลย
กดดันตัวเองเข้าไปเหอะ...
It’s me...Nervous Kaka!
11 พฤษภาคม 2555
แล้วยังมีคำพูดอีกว่า When a door closes, a window opens เมื่อประตูบานหนึ่งปิด มันก็ต้องมีหน้าต่างเปิดไว้ให้เราปีนออกจนได้นั่นแหล่ะ ไปผลักๆดูหน่อย เดี๋ยวก็เจอ...
อีกคำยังตามมาพูดว่า The time to repair the roof is when the sun is shining. เมื่ออาทิตย์สาดส่องก็ได้เวลาซ่อมหลังคา
ยังมีอีกเพียบ...แต่อย่าเลย จะกดดันตัวเองไปถึงไหน แค่นี้ก็น่วมไปหมดแล้ว
ที่ผ่านมา เพราะมีเหตุการณ์อันทำให้ต้องประสบพบเจอหน้าฝรั่ง แทนที่เค้าจะถามเราว่า “เอาเม็ดมั้ยลูก” แล้วเฉาะใส่ถุงให้เราตามหน้าที่ แต่เค้าดันเป็นฝรั่งสูง ขาว หน้าตาดี (ชิบเป๋ง) พ่นภาษาอังกฤษอิงลิชฟอร์ยูสำเนียงประเทศตัวเองใส่เราไม่ยั้ง จะพูดจะคุยอะไรด้วยก็ติดขัด ตะขิดตะขวงใจไปหมด ไม่สามารถถ้อยอธิบายอะไรงามๆออกมาได้แม้แต่ประโยคเดียว เมื่อไหร่ที่คนพูดมากๆ เจอสภาพพูดไม่ออก บอกไม่ถูกอย่างงี้ จะเข้าใจในหัวอกเราได้เป็นอย่างดี
กลายร่างเป็นเขมรน้อยหัวตีบตันในทันใด อยากจะเก็บกระเป๋าหนีหน้าไปพักใจอยู่ยุโรปซักปีสองปี แต่พอเหลียวมองตังค์ในกระเป๋า ว้า...ทำได้แค่ ไปเหมาซื้อฝรั่งในตลาดมาปาเป้าด้วยความแค้น มันจะยากเย็นอะไรนักหนาวะ แต่เพราะว่าในสถานการณ์ที่แย่ๆ ก็มีอะไรดีๆซ่อนอยู่ มันทำให้เรามีโอกาสในการนั่งมองตัวเองให้ชัดๆ
ถามตัวเองว่า ยังอยากพูดภาษาอังกฤษอีกมั้ย หรือว่าจะหลบลี้หนีหน้าเข้าป่าไปเลยดี ตอบตัวเองได้ว่า “อยากพูด” เพราะรู้สึกว่าถ้าพูดได้คงสนุกดี และเสียดายเวลาที่ตอนเด็ก ประถม มัธยม ที่นั่งเรียนหน้าห้องมาตลอด...เพราะว่าตัวเล็ก (หลีกเลี่ยงการใช้คำว่า “เตี้ยตะแมะแคะ”) ก็เลยได้ทำเลนี้ ทำให้กลายเป็นเด็กที่อยู่ในสายตาคุณครู ไวยกง ไวยกรณ์ภาษาอังกฤษที่พวกเด็กสายวิทย์มักจะมีปัญหา เราก็พอจะจดจำได้บ้าง ถึงไม่เก่งเก๋าขนาดท่องมหาสมุทรแปซิฟิกได้ แต่ถ้าเป็นเจ้าพระยาก็น่าจะพอไหว เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ป.5 จนถึงม.6 รวมเวลาทั้งสิ้น 8 ปี บวกกับในมหาลัยอีกเล็กน้อย แล้วมันควรมั้ยที่เราจะโยนมันทิ้ง ทำเป็นไม่ใยดี ตอบได้ง่ายๆว่า “ไม่ควร”
ความจริงตอนอยู่มหาลัยปีสุดท้าย ต้องเลือกทำโปรเจ็คท์เป็นงานก่อนจบ ใช้เวลาปีสุดท้ายทั้งปี เราได้ทำโปรเจ็คท์กับอาจารย์ฝรั่งอเมริกัน เป็นอาจารย์ฝรั่งคนเดียวในคณะ อาจารย์พูดไทยไม่ได้ ไม่มีใครเลือกทำโปรเจ็คท์กับแก เพราะว่าเดี๋ยวจะส่งผลกับเกรดเฉลี่ย และมันน่าจะง่ายกว่าถ้าอาจารย์เป็นคนไทย แต่เราเลือกแกเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา เพราะเห็นใจอาจารย์หนึ่งอย่าง อีกอย่างก็โดนเพื่อนยุ ก็เห็นว่าเกรดนิยมอยู่แล้ว คงไม่แย่ไปกว่าที่เป็นอยู่ (เกรดนิยมนะ ไม่ใช่เกียรตินิยม เดี๋ยวจะเข้าใจผิด คิดว่าอีนี่มาเขียนอวดอะไร) และมันก็น่าสนุก ทำก็ได้วะ เห็นแก่ความสนุกอย่างเดียวเลย เลยได้เจอหนึ่งปีแห่งความท้าทายที่ถูกบีบให้อยู่ในภาวะเอาตัวรอดอย่างมาก ทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองรอด
ด้วยความที่ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษถึงขั้นพาออกงานได้ มันก็เลยเกร็ง จำได้ว่าครั้งแรกที่ทำงานทดลอง อาจารย์ยื่นมือมา แล้วบอกว่า “Give me the screwdriver” เครื่องมือช่างวางอยู่เต็มโต๊ะ แกจะเอาอะไรวะ เลือกกรรไกรยื่นให้แกแล้วกัน...แว้ก...ปรากฏอาจารย์เค้าขอไขควง หน้าแหกแตกเพล้ง...กอบขึ้นเกือบไม่ทัน อาจารย์เป็นดอกเตอร์ด้านโลหะวิทยา เป็นคนเอื้อเฟื้อมาก ใจเย็น หลายๆอย่างแกเป็นคนสอน ไม่เคยตำหนิที่เราพูดภาษาเค้าผิดๆถูกๆ แกสอนเราทำกราฟใน Excel ด้วย ทุกวันนี้ถ้าต้องสอนเด็กคนไหนทำกราฟ ก็ยังนึกถึงอาจารย์อยู่ และสงสัยตะหงิดๆว่าตัวเองรอดมาได้ยังไง
จากที่เกร็งก็ค่อยๆคุ้นชินมากขึ้น แต่ก็ไม่ค่อยกล้าคุยกับแกมากเท่าไหร่ เพราะตอนนั้นก็ไม่ได้เห็นความสำคัญของการพูดคล่องว่าจะดีต่ออนาคตอะไรเลย รู้สึกว่าเงียบไว้ดีกว่า พูดมากก็อาจหน้าแตกมาก ทำไมถึงได้ไม่รู้จักคิดขนาดนั้นก็ไม่รู้ สู้อุตส่าห์มีโอกาสได้ฝึกฝน เราก็ทิ้งโอกาสงามๆไป ทิ้งไปอย่างหน้ามึนๆ เราต้องส่งรายงานโปรเจ็คท์เป็นระยะๆ เวลาเอาไปส่ง แกก็แก้ด้วยปากกาแดงเถือกไปทั่วหน้า แต่แกก็ไม่เคยตำหนิหรือด่าเราเลย เราเคยถามแกโง่ๆว่า รู้ได้ไงว่าต้องเขียนแบบนี้ แกบอกว่า แกก็ไม่รู้ไวยกรณ์หรอก อาจรู้น้อยกว่าเราด้วยซ้ำ แต่มันเป็นภาษาของแกไง ก็แค่รู้ว่า มันเขียนอย่างงี้เท่านั้นเอง แกใจดี ให้กำลังใจเราตลอด มีแต่เรานี่แหล่ะที่ชอบวิ่งหนีแก แกบอกว่าเวลาอ่านตำราภาษาอังกฤษ อ่านเสร็จให้ปิดหนังสือ แล้วเขียนสิ่งที่ตัวเองเข้าใจออกมา แต่พอเอาเข้าจริงมันก็ทำไม่ได้นะ มันเป็นภาษาขี้เหร่เกินไป เราก็เลยต้องเปิดเอาศัพท์งามๆมาใส่ ไปๆมาๆ ก็เอาทั้งประโยค ที่จริงก็ใกล้เคียงกับคำว่า ‘ลอก’ มากเลยทีเดียว
เราเป็นเด็กไทย เราถูกปลูกฝังให้เรียนภาษาอังกฤษเยอะแยะ แต่มันไม่ได้ใช้พูด ก็เลยไม่คืบคลานไปไหน ตอนทำงานก็ดันได้ทำงานกับบริษัทญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษก็เลยได้ใช้เฉพาะการเขียน การอ่าน(ในใจ) เวลาพูดกับญี่ปุ่น ก็ใช้แค่คำง่ายๆ สั้นๆ บวกภาษาใบ้ บวกภาษาไทย เพราะเค้าฟังไทยได้บ้าง เราก็เลยอาศัยทำตัวเนียนๆ ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษในการพูดอีกเลย
ตอนกลับไปรับปริญญา เราเจอหน้าอาจารย์ฝรั่ง เราก็หลบ ทำตัวให้เล็กลีบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ได้โปรดอย่ามามองสบตากันเลย นอกจากไปไหว้แล้วถามว่าสบายดีมั้ย เราก็ไม่ไปใกล้ชิดแกเลย เพราะว่าไม่รู้จะคุยอะไรด้วย สิ่งที่ทำแล้วเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้คือหนีหน้าอาจารย์ ไม่รับความหวังดีที่เค้าหยิบยื่นให้ แกก็คงไม่สบายใจนักที่มีลูกศิษย์แบบนี้ ตอนนี้รู้แต่ว่าแกกลับประเทศตัวเองไปแล้ว แกมาอยู่ไทยไม่กี่ปี มากับศรีภรรยาคนไทยที่เป็นอาจารย์สอนวิศวะที่อีกภาควิชาหนึ่ง ได้ลูกสาวน่ารัก 1 คน แล้วพากลับไปโตที่บ้านเกิดตัวเอง เราจะติดต่อแกอีกก็ไม่ได้แล้ว แกเป็นคนดีจริงๆ ส่วนเรามันก็ใช้ไม่ได้เอาซะเลยจริงๆ
12 ปี ในบริษัทญี่ปุ่นของเราผ่านไปไวเหมือนโกหก ชีวิตเรื่อยเฉื่อยเหมือนรถขายโอ่งบนเรือเกลือ พอมาเจอฝรั่งตัวเป็นๆเข้า รู้สึกว่าเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง แต่ว่า...แต่ว่าเอ๋อแดก พูดอะไรไม่ออก เรียบเรียงอะไรออกไปจากสมองน้อยๆได้น้อยมาก ทั้งๆที่วัตถุดิบมีอยู่เยอะมาก ทำให้รู้สึกเศร้าจากใจได้จริงๆ จากที่ไม่เคยต้องขอคำปรึกษาปัญหาชีวิตกับใคร ต้องไปนั่งระบายให้เพื่อนฟัง ทั้งๆทีเพื่อนเก่งภาษาอังกฤษ แต่เราก็ปากหนัก ไม่ออกปากให้มันช่วยซักคำ น้องเพื่อนเรียนเมืองนอกมา บอกว่าหัดพูดกับมันก็ได้ เราก็โง่ปฏิเสธไปอีก อยากเขกหัวตัวเองนัก
ตัดสินใจไปเรียนที่สถาบันสอนภาษาใกล้ๆ อาจารย์ฝรั่งสอน เพิ่งไปมา 2 ครั้ง นักเรียนมี 5 คน (รวมเราด้วย) แต่อีก 4 คนเค้าเรียนมานานแล้ว และดูเค้าไม่เสียดายเงินเท่าไหร่ เค้าสนุกกับการพูดภาษาไทยในชั้นเรียนภาษาอังกฤษ เค้าบอกว่าเค้าเรียนเอาสนุก ฮือๆ เราเสียดายตังค์ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ควักกระเป๋าจ่ายค่าเรียนพิเศษห้าพันกว่าบาท เพื่อบังคับตัวเอง อีก 4 คนเรียนมาหลายคอร์สแล้ว มีพี่คนหนึ่งเรียนมา 2 ปีแล้ว ไม่อยากจะคิดว่าเป็นเงินกี่บาท แต่เราผู้เข้าไปทีหลังก็ต้องเจียมตัว และมองในแง่ดี ว่าเราได้เพื่อนเพิ่มมาตั้ง 4 คนนะ เราต้องพยายามเข้าห้องก่อนเวลา เผื่อหาเรื่องคุยกับอาจารย์ เราพยายามถามเค้า ให้เค้าตอบ พอเค้าถามเราบ้าง มันอึ้ง ในหัวคิดเยอะ แต่พูดยาวไม่ได้ เพราะคิดเป็นไทยทั้งนั้น ดูวกวนเวิ่นเว้อ ประสาทในหัวตัวเอง
อย่างเมื่อวานไปถามเค้าว่าทำไมมาอยู่ไทยล่ะ เค้าเล่าให้เราฟัง พอเค้าถามกลับมาบ้าง เราบอกว่า ก็เราเกิดทีนี่ แล้วเราเสือกอยากจะเล่าต่อ ไปเล่าให้เค้าฟังว่าอยากเปลี่ยนบริษัท อยากทำงานกับฝรั่ง แล้วหนักกว่านั้นเสือกไปบอกเค้าว่าอยากย้ายประเทศด้วย คือในใจไม่ได้คิดอย่างงี้เลย คิดว่าเผื่อได้ไปช่วงสั้นๆ มันก็น่าสนุกดี ได้เห็นอะไรใหม่ๆ ได้เรียนรู้อะไรบ้าง จะได้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง แต่มันคิดนาน ต้องคิดเป็นไทย แปลเป็นอังกฤษ กลัวพูดออกไปไม่ได้ กลัวนั่นกลัวนี่ กลัวอาจารย์นั่งตบแมลงหวี่ เลยพูดส่งเดชออกไป แล้วบอกเค้าอีกว่าตอนนี้ต้องพูดภาษาให้มันมั่นใจกว่านี้ก่อน พูดแล้วก็นั่งหน้าแดง อายตัวเอง เค้าคงเข้าใจว่าเรามาเรียนเพื่อจะไปเมืองนอก เวรกรรม...
อาจารย์ถามว่าเราอ่านหนังสืออะไรอยู่ตอนที่เค้าเข้ามา เราชูให้ดูบอกว่าสตีฟ จ๊อปส์ ตามนิสัยถ้าเป็นภาษาไทย ใครมาถามอย่างงี้ แม่จะนั่งโม้ให้คนฟังนั่งตาแป๋วเลย แต่นี่...ครึ่งเล่มสะระตะหลายร้อยหน้าที่อ่านมา สรุปได้ว่า ชอบเพราะว่าเค้าเป็นคนสร้างสรรค์นะ นิสัยไม่ดี แต่สร้างสรรค์และเก่ง แค่เนี้ยะ อาจารย์เล่าในมุมของแก เราสามารถออกความเห็นสั้นๆง่ายๆได้ แต่เล่ายาวไม่ได้ อยากจะบ้า...ถ้าจะบอกเค้าแค่นั้น มึงไม่ต้องนั่งอ่านเยอะแยะก็ได้นะ เค้ารู้กันทั้งโลกอยู่แล้ว
จริงๆอยากเล่าในรายละเอียดมาก คนหอกอะไรน่าทึ่ง เกิดมาพ่อแม่ก็ทิ้ง แต่พ่อแม่บุญธรรมก็รักมาก รู้ตัวว่าเจ็บเรื่องนี้ครั้งแรกตอน 7 ขวบ เพื่อนทักว่า “งั้นพ่อแม่จริงๆก็ไม่ต้องการเธอน่ะสิ” น่าสงสารมาก เด็กน้อยที่เจอสายฟ้าฟาดกบาลวิ่งร้องไห้ หนีเข้าบ้านไปเลย ตอนเด็กคิดอยากประดิษฐ์เครื่องวัดความถี่ แล้วหน้ามึนโทรไปหา CEO ของ HP เพื่อขออะไหล่บางตัว จนเค้าให้ไปเป็นเด็กฝึกงานที่นั่น เป็นสายงานประกอบ วางน็อตวางสกรูไป แต่ชอบไปเล่นกับวิศวกรมากกว่า มีคนข้างบ้านเป็นวิศวกรไฟฟ้าเก่งๆ ที่เค้าชอบไปเล่นด้วย พ่อบุญธรรมก็เป็นช่าง ชอบซ่อมรถยนต์ ซื้อรถเก่ามาซ่อมแล้วเอามาขาย ทำกำไร ทำอะไรก็สอนให้เค้าทำด้วยความเนี้ยบ ถึงแม้ในส่วนที่คนอื่นมองไม่เห็น อย่างทำตู้ หลังตู้ (ที่ไม่มีใครเห็น) ก็ยังเนี้ยบ อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้มาตลอด ได้อิทธิพลจากคนรอบข้างสูงมาก
แต่นิสัยแย่มาก ชอบดูถูกคนอื่น ตอนหนุ่มๆ ไม่ใส่รองเท้า อาบน้ำอาทิตย์ละครั้ง สังคมรังเกียจ เรียนมหาลัยศิลปะ ตอนทำงาน ทำงานสายวิศวะ ทำงานเก่งแต่ไม่มีใครชอบ แต่เค้าก็ไม่แคร์ใครเหมือนกัน เค้าบอกว่าที่เค้าเก่ง ก็เพราะว่าคนอื่นโง่ ก็แค่นั้นเอง ช่างมีปากที่พาไปหาส้นเท้าได้ไม่ยาก กินมังสวิรัติ พี้ยา ดูค้านๆในตัวเองมาก มีครั้งหนึ่งบอกแม่บุญธรรมว่าตัวเองกินแต่ใบไม้ที่สาวพรหมจรรย์เด็ดกลางแสงจันทร์เท่านั้น แม่อึ้งพูดไม่ออกไปเลย เพื่อนชื่อสตีฟเหมือนกันเป็นคนคิด Apple อยากแจกความคิดฟรี แต่จ๊อบส์อยากเอาไปทำขายจริง พูดกล่อมจนเพื่อนยอม เพื่อนเก่งกว่ามาก มีพ่อเป็นวิศวกรสร้างขีปนาวุธ ศรัทธาในศาสตร์วิศวกรรม อยากให้ทุกอย่างฟรี เป็นพ่อพระ ขี้อาย อยู่ในกรอบ แต่จ๊อบส์เห็นแก่ตัว ทรหด โคตรโกง หน้าด้าน หน้ามึน เปิดบริษัทด้วยกัน ขนาดเอาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ไปขายครั้งแรก ไปบริษัทใหญ่โต ยังกล้าไม่ใส่รองเท้าไป เอาตีนยกขึ้นไปวางบนโต๊ะผู้บริหารด้วย จะหาญกล้าไปไหน นอกจากเค้าจะไม่ซื้อแล้ว ยังโดนด่าอีก พอได้คำสั่งซื้อจากคนที่มองเห็นคุณค่าผลิตภัณฑ์จริงๆ โดยไม่สนใจรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเอง ก็เริ่มผลิตงานในโรงจอดรถพ่อบุญธรรมนั่นแหล่ะ พอมีบริษัทใหญ่โต บีบคั้นลูกน้อง จนโดนแบนบีบออกจากบริษัทตัวเอง โอวววว...และอีกมากมาย
การอ่านชีวิตคนอื่นนี่มันสนุกจริงๆ พอเค้าตายแล้วมันก็กลายเป็นตำนาน เรื่องของสตีฟ จ๊อปส์ ตัวเค้าไม่อ่านหรือเซ็นเซ่อร์ต้นฉบับด้วยซ้ำไป ปล่อยให้ความจริงมันไหลไป คนที่ทำงานด้วย แม้แต่เพื่อนๆก็ออกมาด่าเพียบ แต่เค้าเก๋าจริงๆนะ อยากเล่าให้อาจารย์ฟังอย่างงี้แหล่ะ แต่พูดไม่ได้เลย ทำได้แค่ร้องไห้เป็นภาษาอังกฤษในใจ อยากมองเห็นวันที่ตัวเองอยากโม้อะไร ก็พูดออกไปได้ ไม่ติดคาลูกกระเดือกอยู่ มันจะเป็นยังไงน้า เขมรน้อยอย่างเราคงเบิกบานใจไม่น้อยเลย คงสวยขึ้นมาอีกหนึ่งกองเห็นจะได้
ได้ถามเพื่อนคนหนึ่งที่ไปเรียนเมืองนอกว่า เราจะพ้นสภาพอย่างงี้ไปได้ยังไง โดยที่เราไม่ต้องไปเมืองนอก...ด้วยเหตุผลของคนไม่มีตังค์ เพื่อนบอก ไปโบสถ์ (เพราะฟรี) เดินหน้าหาฝรั่ง แก้อาการตัวเอง ดูหนังอย่าใช้ซับไทย ฟังเทป พูดตาม หัดคิดบ่อยๆ สำคัญต้องพูดบ่อยๆ นั่นสินี่แหล่ะสำคัญนัก พูดบ่อยๆ จะไปพูดกับผีฝรั่งที่ไหนดี หันไปหันมาก็มีแต่หน้าเพื่อนๆลอยมา
เพื่อนๆรอบตัวหลายคนไปเรียนเมืองนอกมา หรือเก่งอังกฤษ ถ้าเราวนๆไปคุยกับไอ้คนพวกนี้ มันน่าจะกรุณาเราได้ ตามหลักตรรกะ ถ้าเราได้พูดบ่อยๆแล้ว ทักษะมันก็ควรจะเกิดขึ้นมาได้บ้าง มันจะย่ำต๊อกอยู่ที่เดิมก็คงจะไม่ใช่ สำคัญที่ต้องฝ่าด่านแรกไปขอร้องเพื่อนๆให้ได้นี่แหล่ะ ถึงจะเขินจะอายขนาดไหนก็ควรทำ แค่คิดยังนั่งกัดเล็บแล้วเลย เฮ้อ...
ในสถานการณ์ที่เลวร้าย ยังมีอะไรดีๆ ซ่อนอยู่นะ
มีหน้าต่างบานหนึ่งเปิดรอเราปีนออกไปอยู่นะ
ได้เวลาที่แสงอาทิตย์จะสาดส่องแล้ว ช่วยซ่อมหลังคาบ้านด้วยล่ะ รูโบ๋ใหญ่เบ้อเริ่มเลย
กดดันตัวเองเข้าไปเหอะ...
It’s me...Nervous Kaka!
11 พฤษภาคม 2555
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)