วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ภาคต่อของกลอนสั้น...ไร้สัมผัส สรรหาสาระอะไรก็ไม่ได้ (กรุณาอย่าจริงจัง)


จากเมื่อวาน ถึงวันนี้ มีภาคต่อ             มีคนรอ ตามดู กลอนหนูเขียน
ถึงจะบอก ออกตัว กลอนมันเกรียน       จงพากเพียร เขียนมาเถอะ กูอยากดู    

อันน้ำท่วม ถ้วนหน้า มาหนาหนัก         บ้างชะงัก จระเข้ มาจากไหน
หนูว่ายน้ำ อยู่ดีดี มาทำไม                 หรือสงสัย อยากรู้ ดูหน้าคน

พี่บอกว่า ไอ้เข้ อ๋อ..มันหลุด              แล้วยังพูด บอกให้ อย่าฉงน
อันไอ้เข้ ที่เห็น มันกลัวคน                 พอได้ยล หน้ามน เดี๋ยวก็ไป

ที่เห็นนี้ มันมี ไอ้เข้เลี้ยง                    ถ้าให้เรียง ไม่เยอะ พอนับไหว
แต่เพิ่งรู้ หลุดมาเพิ่ม ไอ้เข้ใคร            นับไม่ได้ แต่ไม่เยอะ แค่ร้อยฟาร์ม

พี่ออกมา บอกจริงจัง ให้สัมภาษณ์      ดูองอาจ ผึ่งผาย กระจายเสียง
พี่ไม่หลอก หนูรู้ ไม่เอนเอียง              พี่ยอมเสี่ยง หนูนับถือ พี่เก่งจัง

บางคนเจอ จระเข้ บ้างว่าเหี้ย              หนูไม่เคลียร์ แยกไม่ออก บอกได้ไหม
ตัวไหนเข้ ตัวไหนเหี้ย ใครเป็นใคร        พอรู้ไป ได้ชี้หน้า ว่าถูกตัว

อีกนิดหน่อย ขอพี่ จะได้มั้ย                เผื่อเอาไว้ เฉยเฉย ไม่เคยหลบ
ขอยาทา กันมันกัด ไว้ประคบ              โดนตะปบ เมื่อไหร่ จะได้ทา

มีอะไร อีกหนา นึกถึงพี่                    สิ่งดีดี พี่มอบมา พาสุขสันต์
ก็พวกเรา ออกจะรัก จะผูกพัน             ใครพากัน ว่าพี่ หนูไม่ฟัง

แล้วอีกยัง เค้าโจมตี บ้านนายก            ดูตลก มีบิ๊กแบ็ค วางกองใหญ่
หนูไม่เชื่อ เค้าหรอก นายกไทย           กลัวได้ไง ก็ เอาอยู่ รู้ทุกที

พี่บอกว่า บิ๊กแบ็ค วางสลอน               ไม่สั่นคลอน น้ำชะลอ กันน้ำไหล
พี่บอกว่า เรียบร้อยแล้ว ทั้งแถวไง        แล้วทำไม กทม. มันบอกยัง

แล้วนักข่าว ยังตาม ไปเช็คพี่              ตรงพื้นที่ เกิดเหตุ เป็นแนวใหญ่
นักข่าวบอก ไม่เสร็จนะ อีกตั้งไกล        ยังไม่ใกล้ กับคำ ว่าเสร็จเลย

นายกบอก เข้มแข็งนะ ไม่ร้องหรอก      โถพวกหอก ถ่ายหลังหาว กระทันหัน
น้ำตาไหล ออกมา เช็ดไม่ทัน              แล้วพวกมัน ก็มาว่า ท่านงอแง

แล้วยังล้อ งูน่ากลัว งู จัง โป้             โถพวกโง่ คนฉลาด มองไม่เห็น
จะแยกแยะ โง่-ฉลาด ยังไม่เป็น           ทำมาเล่น ผวนคำ ย้ำเยาะเรา                     

ถึงปิดฟ้า ด้วยมือ จะไม่มิด                 แต่หนูคิด ปิดตา หนูทั้งสอง
อะไรร้าย ไม่ดี หนูไม่มอง                  คนทั้งผอง ว่าพี่ หนูเกลียดมัน

เอ๊ะรึว่า จะฟังหู ไว้อีกหู                     เพราะดูดู ก็งงงง น่าสงสัย
หนูเชื่อพี่ แต่เกาหัว ทุกทีไป               เชื่อด้วยใจ เหตุผลไม่ สอดคล้องเลย

ครูบอกว่า ฟังใคร ก็ต้องคิด                จะถูกผิด เราแยกได้ เรียนหนังสือ
ใครบอกนก เป็นไม้ เราอออือ            ก็เสียชื่อ เราหมด เกิดเป็นคน

หนูขอเชื่อ ครูนิดหนึ่ง ได้มั้ยคะ           พวกพี่จะ ว่ามั้ย ขอสักหน
พี่ที่รัก หนูขอให้ พี่อดทน                  แล้วฝึกฝน ฝึกตน เป็นคนดี

ชีวิตนี้ เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์            ปฏิบัติ ตั้งใจทำ อย่าสับสน
เป็นแบบอย่าง ที่ดีให้ เด็กทุกคน          ฟ้าจะดล ชาติไทย เราไชโย...


เขียนมั่วๆ ขึ้นมาอีกแล้ว...โดยหนูเอง...
ยิ่งเลอะเทะ ชินซะทีสิวะ...

วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กลอนสั้น ไร้สัมผัส...By อิชั้นเอง...(ไว้อาลัยน้ำท่วม)

หนูนั่งคิด งงงง อะไรนี่                      ประเทศนี้ น้ำท่วม ทุกแห่งหน
ประชาชี เดือดร้อน แทบทุกคน            จะรวยจน เจอผล อุทกภัย

รัฐบาล ตั้งหน่วย คอยช่วยเหลือ           ไว้จุนเจือ ศปภ. รู้ใช่ไหม
เพราะมีเค้า พวกเรา ได้อุ่นใจ              เค้าอยู่ไหน อีกเดี๋ยวเดียว น้ำเชี่ยวมา

ข่าวล่าสุด พี่อยาก มาไบเทค              บางนาเลค อย่าเลย ไม่อยากได้
บ้านหนูอยู่ ละแวกนี้ ห่างไม่ไกล           หนูปลอดภัย ดีแล้ว อย่าย้ายมา

เค้าเล่าว่า พี่ตุนของ บริจาค                มันเยอะมาก ใจร้าย ทำลงหรือ
คนพวกนั้น เค้ายังว่า พี่พลิกมือ            แล้วใส่ชื่อ ‘You know who’ แปะลงไป

ของบริจาค พวกหนู ตั้งเยอะแยะ          พี่จะแกะ จะทำ ยังไงไหว
อีกทั้งพี่ ต้องขน ขึ้นรถใคร                 เหี้ยเกินไป๊ หนูว่า พี่ไม่ทำ

พี่คิดใหม่ พยายาม วางบิ๊กแบ็ค            เอาไปแทรก ชะลอ กั้นน้ำไหล
พอทำเสร็จ พี่บอก ภาคภูมิใจ              แล้วยังไง กทม. รอดูมัน

กทม. ก็บอก รัฐบาล                         การจัดการ บิ๊กแบ็ค ได้ผลมั้ย
พี่ไม่ช้า ตอบมา ในทันใด                  สูบน้ำไป เร็วซิวะ ไอ้เด็กเกรียน

หนูก็คอย เฝ้าดู พวกพี่เจ๋ง                 ส่วนคนเจ๊ง พวกหนู ไงล่ะพี่
พี่บอก อยากให้รัก สามัคคี                 พวกพี่ดี ทำให้ดู หนูได้เลียน

แต่พี่สอน ดีนะ หนูขอบอก                 พอคิดออก ถึงรู้ ว่าริบหรี่
ถ้าไม่รู้ ไม่รัก สามัคคี                       ประเทศนี้ เจ๊งแน่ เพราะพี่นำ

นายกบอก น้ำท่วม กันไม่ยาก             กันน้ำหลาก หญ้าแพรก คอยช่วยได้
ปลูกหญ้าแพรก จะแทรกตัว กั้นน้ำไว้     น้ำจะไหล ค่อยค่อย ชะลอลง

หนูฟังแล้ว ยังงงงง สงสัยอยู่              ที่เคยรู้ เคยได้ใช้ ไหว้ครูนี่
หญ้าต้นเล็ก เบรคน้ำ ยังไงดี               เฉลยที่ อ๋อพูดผิด คิดไปเอง

ฟังฟังไป ก็ได้ แต่เกาหัว                   หนูนึกกลัว วันข้างหน้า มาไม้ไหน
พี่ยิ่งทำ หนูยิ่งรู้ หนูห่วงใย                 หนูจะร้อง เพลงชาติไทย ให้ใครฟัง


(ไว้วันหลัง มีเวลา มาแต่งต่อ             วันนี้ขอ แค่นี้ พอขำขัน
หนูอยากแต่ง สรรเสริญพี่ แทบทุกวัน    พี่แบ่งปัน หนูประทับ จับจิตใจ)...





เขียนมั่วๆ ขึ้นมาโดย...หนูเอง...
ยิ่งเยอะ ยิ่งเลอะเทะ...

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เหตุเกิดในรถ Taxi

          เมื่อวานได้นั่งรถ taxi คุณลุงแก่ๆคนหนึ่ง จากแบริ่งไปโลตัสศรีนครินทร์ พอบอกจุดหมายและขึ้นรถแล้ว แกก็ถามเราว่าจะไปทางไหน เราบอกไปศรีนครินทร์ก็ได้ แกก็บอกว่าทางนั้นรถติดนะ ไปทางด่วนมั้ย ตอนนี้ไม่เสียตังค์ (เพราะเป็นช่วงน้ำท่วม) เราก็เลยเออออไป แกเล่าให้ฟังว่า บางทีรถติดๆ แต่มิเตอร์มันก็ขึ้นเรื่อยๆ แกเกรงใจผู้โดยสาร เราบอกว่า ทุกคนที่นั่ง taxi เค้าก็ต้องทำใจยอมรับอะไรตรงนี้ได้อยู่แล้ว ถ้าแกพูดจริงเราก็งงจริง ว่าทำไมแกต้องเกรงใจด้วย แกบอกว่าเหมือนแกเลือกพาเค้าไปทางที่ไม่ดี

          ลุงคนนี้ก็เหมือน taxi ส่วนใหญ่ ที่ชวนคุยไปเรื่อย แต่มันมีบางอย่างพิเศษที่น่าประทับอยู่ในใจมากกว่า เหมือนซื้อก๋วยเตี๋ยวแล้วแถมลูกชิ้นเพิ่มให้ฟรี เลยรู้สึกชอบใจ พูดเรื่องน้ำท่วม แกบอกว่าเวลาของคนที่น้ำท่วมนี่ยาวนานกว่าของเรานะ 1 วันของเค้านี่ กว่ามันจะผ่านพ้นไป คงนานกว่าเราเยอะ อาจนานเป็นอาทิตย์ของเราเลย เค้าน่าสงสารกว่าเรามากนะ ดูแกเป็นคนใจดีจริงๆ

          แกบอกว่าแกได้ยินผู้โดยสารเค้าบอกว่า รถโตโยต้าที่แกขับมันเกรดต่ำ มันจริงมั้ยเหรอ ถ้าเป็นรถฮอนด้า เค้าจะไม่ยอมให้เอามาทำ taxi เลย เราพูดบอกแกว่า ก็จริงอยู่ที่รถฮอนด้าเค้ามีนโยบายนั้น แต่เรื่องเกรดรถนี่ไม่น่าจะเกี่ยวหรอกค่ะ เค้าก็ผลิตแข่งกันเป็นรุ่นๆ ฮอนด้ามีแอ็คคอร์ด โตโยต้าก็มีแคมรี่ ซีวิคก็แข่งกับอัลติส ซิตี้ก็แข่งกับวีออส มันอยู่ที่ว่าเรามีเงินเท่าไหร่ ชอบแบบไหน ไม่ใช่ว่าโตโยต้าจะต่ำกว่าฮอนด้าหรอกนะคะ คนในสังคมนี้มันก็ประหลาดนะ ชอบตัดสินอะไรกันที่การแบ่งชนชั้น วรรณะ ไอ้นี่ต่ำ ไอ้นั่นสูง ลุงอย่าไปสนใจเลยค่ะ แก่แล้วทำบุญดีกว่านะคะ 

          แกก็เลยพูดกับเราเรื่องธรรมะ สิ่งที่เราเคยรู้ตอนเด็ก แล้วก็ลืมมันเข้าหลืบไหนไปแล้วก็ไม่รู้ แกบอกว่า ชีวิตนะครับ เค้าถึงว่าสี่คนหาม สามคนแห่ คนหนึ่งนั่งแคร่ สองคนพาไป สี่คนหามก็คือธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ประกอบกันเป็นตัวเรา สามคนแห่คือโลภ โกรธ หลง ที่คอยพาทำให้เราเขว ทำให้จิตใจเราตกต่ำ หนึ่งคนที่นั่งแคร่ก็คือจิตของเรา สองคนพาไปก็คือบุญและบาป สองคนนี้เค้าเป็นเพื่อนแท้นะครับ ไม่ทอดทิ้งเราแน่นอน เราไปไหนเค้าก็ไปด้วย ตามเราไปทุกที่ ตอนตายแล้วยังอยู่กับเราเลย นี่ไม่ได้เขียนให้รู้สึกดีนะ แต่ตอนที่ฟังก็อึ้งๆ แล้วก็รู้สึกดีจริงๆ

          รู้สึกว่าชอบฟัง แต่รถดันมาถึงที่หมายแล้ว ฟังแกพูดไม่ยักกะเบื่อแฮะ ต้องลงแล้ว ราคาก็ถูกกว่าอีกทางจริงๆด้วย หมายความว่าแกไม่ได้หลอกเรา ให้ตังค์แกเกินๆไป แล้วก็บอกขอบคุณมาก รู้สึกว่าบางที ปราชญ์เนี่ยเค้าก็ชอบปลอมตัวมาอยู่ตามที่ต่างๆนะ เป็นคนง่ายๆ ให้เรามีโอกาสได้บังเอิญเจอ ได้พูดคุย ได้ฉุกคิด ที่สำคัญถ้าฟังแล้วยังเก็บมาใส่ใจล่ะก็ มันก็จะเป็นผลดีกับชีวิตเอาได้ง่ายๆเลย ถ้าคนเรามีธรรมะในใจจริงกันเยอะๆ สังคมมันคงไม่วุ่นวายอย่างนี้

          ว่าแล้วก็ส่องกระจกดูตัวเราดีกว่า ว่า สองคนพาไปของเรา เราสนิทกับบุญหรือบาปมากกว่ากัน...



 
It's me...
คนที่พยายามถีบบาปออกไป...จะมาทำตัวสนิทสนมอะไรนักหนาวะ...

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ครั้งหนึ่งซึ่งไปดูดวง...

เขียนตอนไปดูดวงที่ปากน้ำ...


วันนี้ไปดูดวงมาด้วยความบังเอิญ ขอเล่านะขอเล่า ช่วยอ่านหน่อย...


            เดี๋ยวนี้ตอนเย็นๆชอบไปกินข้าวที่ตลาดราชา เป็นตลาดขายอาหารรถเข็นตอนเย็นที่ปากน้ำ แล้ววันนี้เพื่อนที่แผนกจัดซื้อมันก็มาชวนเหมือนเคย ก็เลยไป แล้วทีนี้ก็มีน้องคนนึงที่ไปด้วย มันอยากดูดวงที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองที่ปากน้ำ ไปกันทั้งหมด 6 คน 4 คนเคยดูไปแล้ว...ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ภูมิใจนำเสนอมาก ว่าแม้น...แม่น... ก็เหลือน้องคนที่อยากดู กับกูอีก 1 คนที่ไม่เคยดู ตอนแรกกูก็บอกว่า เฮ้ย! ไม่ดูดีกว่า เพราะดูเสร็จแม่งต้องโม้ เอามาล้อ ทำให้วิชาชีพเค้าเสื่อมเสีย มันรู้สึกบาปๆ แต่ก็ไปนะ ตั้งใจไปกินข้าว


            ทีนี้พอไปถึงตลาดปากน้ำ เค้าก็พากันไปที่ศาลเจ้าพ่อ เข้าไปจุดธูปไหว้ศาลฯ แล้วกูก็ไม่รู้ว่าจะไปยืนเด๋ออยู่ที่ไหน ถ้าไม่เข้าไปด้วย คนอื่นเค้าก็ไหว้ศาลกัน ด้วยความที่กูขี้เกียจจุดธูป ก็เลยไม่อยากเข้าไป แต่มันไม่เหมือนห้างที่เราจะไปเดินรอที่อื่นได้ มองเข้าไป เห็นอาแปะ...แปะแกก็นั่งอยู่หน้าเด๋อๆ รอเหยื่ออยู่ข้างในศาลนั่นแหล่ะ อาแปะแก่มาก นั่งตาปรือๆ กูก็ว่าง ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร สบตาแปะหน่อยหนึ่ง แล้ววิญญาณก็โดนแปะดูด กูเดินเข้าไปหาแก แล้วบอกแกว่า...ดูดวงค่ะ...ชะตากูก็เลยเจออาแปะลิขิตซะอย่างงั้น...(มึงต้องอ่านให้ถูกอักขระนะเว้ย...จะเล่าตามที่ประทับใจ...)


            วัง...เดือง...ปีเกิก...เวลาเกิก

            “24 ตุลาคม 2520 สามทุ่มสามสิบสามค่ะ

            แล้วอาแปะก็จับยามสามตา นับนิ้ว เปิดตำรา เขียนตัวเลขสะเปะสะปะยุกยิกของแกไป

            ลื้อเป็งคงขยัง...แล้วก็อกทงมั่กๆ ลวงเป็งคงมีคางสามาก ชา...เพาะตัว อาแปะพูดเหมือนเห็นจริง กูนั่งยิ้ม...

            ลวงบอกว่า จะต้องทำงางไปตาหลอกชิวิก แต่จะล่ำลวยตองแก่ มีกิงมีใช้เอาเป็นตอนนี้เลยไม่ได้หรือแปะ

            อายุจะยืงยาวจงถึงเจ็กสิกก่าๆเลย

            ลื้อทำงางที่หนาย หัวหน้าก็ลัก ผู้จักกางลัก เจ้าของโลงงางก็ลักแปะเริ่มเดาสั่วไปเรื่อยๆ

            เป็งคงที่ไปอยู่ที่ไหลๆ ก็มีแต่ผู้ชายมาลักค่ายพัวพังอยู่...ตาหลอก...ชีวิก จะมีผู้ชายมาชอกเยอะ...มั่กๆแปะแกหลับหูหลับตาดู โดยไม่ประเมินบรรทัดฐานจากหน้าตาท่าทางกูเล้ย...แม่งรู้สึกอายมาก...ดีนะที่กูนั่งอยู่คนเดียว ไม่มีใครมาคอยกวนตีน...ถ้ามีใครมาคอยนั่งต่อคิว กูคงอายกว่านี้อีก

แล้วอยู่ๆ แปะก็ทำเสียงเหมือนตกใจ  นี่ลื้อแต่งงางยัง

             “ยังค่ะ อาแปะทำตาโต เหมือนเจอของประหลาด ฮ้า...จริงๆเหลอ

            จริงค่ะ

            “แล้วมีคงมาชอกลื้อม้าย

            ไม่มีค่ะ ไม่มีเลย คืองี้ค่ะ ส่วนใหญ่หนูก็อยู่กับพวกผู้ชายก็เยอะ แต่ไม่ชอบกันหรอกค่ะ ก็เป็นเพื่อน แก้ตัวอย่างกับเป็นดาราเลยกู พยายามทำหน้าซื่อ ตาใส ว่ากูไม่ได้โกหกนะเว้ยแปะ...กูพูดจริงๆ แต่อาแปะกลับตะโกนใส่กู
           
ซา...หลก  ซา...หลก น่าซา..หลกแล้วแกก็ส่ายหัวใหญ่เลย ประมาณว่าตำราแกมันจะพลาดได้ไง

           “ลื้อนี่เป็งคงใจแข็งมั่กๆ เพาะลวงว่าถ้าลื้อไม่ใจเหล็ก ลื้อต้องเจ้าชู้มั่กๆ อ้าว...แปะ!

แล้วแปะยังไม่หยุดพูดเสียงดัง ม่ายมีคงมาชอกจิงๆเหลอ” แกก็พยายามไถๆไป...

 ไม่มีค่ะ ไม่มีจริงๆ

            แล้วเพื่องลื้อ มังมีเมียกังหมกเลยเหลอ แม่ง...ไม่ยอมแพ้...สู้จริงๆ

            ก็ไม่หรอกค่ะแปะ บางคนก็ยังไม่มี แปะก็เลยแสดงทัศนะเพื่อช่วย (เหยียบ) กูต่อไป ด้วยการใช้เสียงดังๆ พยายามให้กูฟังชัดๆ จ้องตากูตลอด ให้แน่ใจว่ากูจะทำตามคำชี้แนะแก

            งั้งเอางี้...ลื้อ...กักไป...แต่งงางเลย

             ฮ้า!!!” (+ echo ด้วย)...กูนี่หัวเราะเกือบตกเก้าอี้ ถามแกว่า แล้วหนูจะไปหาใครที่ไหนมาแต่ง

            นี่! ลวงลื้อต้องแต่งงางเลี้ยวนะ ต้องแต่งงาง ต้องมีลูก ปีนี้กักปีหน้าคอกลูกล่าย ไม่ปีนี้ก็ปีหน้า ถ้าช้ากว่านี้...หมกเลี้ยว...ไม่ล่ายๆ

             กูไม่รู้ว่าจะให้มันจบลงได้ยังไง ก็เลยบอกแกไปว่า

            หนูก็กะว่าจะไม่แต่งอยู่แล้วล่ะค่ะ ก็คงไม่มีคู่หรอก อาแปะร้องเสียงหลงเลยทีนี้

            ฮ้า!!!!!!!ซา...หลก....ซา...หลก น่า...ซา...หลก (แปลออกมั้ย เค้าว่า น่าสลดน่ะ!)

            พ่อแม่ลื้อไม่ห่วงไลลื้อเหลอ

            พ่อ แม่ไม่บังคับค่ะ แล้วแต่เรา

            “ม่ายช่ายบังคัก แต่ห่วงไล แนะนังคงลีๆให้

            “อ๋อ..ไม่หรอกค่ะ พ่อแม่ก็อยู่ที่อีสานด้วย อยู่คนละที่ คนละจังหวัด แปะสวนกลับทันทีด้วยความตกใจกว่าเก่า

            ฮ้า!!! พ่อแม่ลื้ออยู่ศาง อ้าว...คิดว่าพ่อแม่กูตายแล้วอีก...ใครก็ด๊ายมาช่วยกูที!!! แล้วไอ้เอกที่พามา มันก็มาช่วยอธิบายให้แปะเข้าใจด้วยภาษาไทยชัดๆ อยู่...อี...สาน...แปะ...อยู่...อี...สานแปะเลยพยักหน้าหงึกๆ เอกบอกถ้าแปะยังไม่เข้าใจ จะอธิบายเป็นภาษาจีน...เฮ้อ...ชีวิตกู นอกจากไม่ได้คู่แล้ว ยังจะกำพร้าอีก!

            เออ...แต่ลื้อห้างแต่งงางกักคงปี..., ..., ..., ..., แปะบอกมาเกือบครึ่งปีนักษัตร ตัดอนาคตกูเสร็จสรรพเลย ใครจะไปจำวะ ได้แต่พยักหน้าสมยอมไป

            “ปีนี้ลื้อแย่อย่างเลียว กางงางติกขักนะ แต่สุขภากแข็งแรง ไม่เป็นลาย

            เลี้ยวมีอะไลจะถามเพิ่งเติงมั้ย

เอาซะหน่อยก็ล่ายวะ อยากย้ายงานค่ะ ทำได้มั้ยเสียใจเลย...ที่พูดออกไป

            ย้ายทังมาย...ลีอยู่เลี้ยว มังม่ายลียังงาย

             กูก็อ้อมแอ้มไป ไม่ค่อยดีแล้ว เลยอยากเปลี่ยน อาแปะเลยเทศน์กูเรื่องเสก-ทา-กิก กางงางหายาก สารพัดจะสวดกู แล้วแกก็บอกว่า

             “แต่ถ้าลื้ออยากเปี่ยงจริงๆ ก็สะเหลาะเคาะ แล้วค่อยมาลูกังอีกทีอาแปะทำตาเจ้าเล่ห์

  ซื้อเลย ข้างๆ ล้อยเลียว เอามา เหลี๋ยวจักกางให้ แล้วแกก็ย้ำซ้ำๆ เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง ล้อยเลียวๆ สายตาคนแก่ๆ มึงจะทำร้ายจิตใจเค้าได้ยังไง


            กูเลยไปซื้อมา เป็นกระดาษปึ๊งโตๆ ที่คนจีนเค้าเอาไว้สะเดาะเคราะห์กัน แปะก็เขียนชื่อ นามสกุลกูเป็นภาษาจีน แล้วกูก็ต้องไปจุดธูป...ในที่สุด กูก็ต้องทำสิ่งที่กูขี้เกียจทำตอนแรกจนได้...จุดเทียน ไหว้ศาลเจ้าพ่อ ขอให้ชีวิตสงบสุข อยู่รอดปลอดภัย และอธิษฐานขออนาคตสดใส (แต่ไม่ได้ขอเนื้อคู่!) แล้วก็เอากระดาษปึ๊งนั้นปัดทุกข์ออกจากตัว ตั้งแต่หัวจรดตีน 12 ครั้ง แล้วเอามันไปเผาในเตา


ไม่อยากจะบอกเลยว่า จุดไฟได้แล้ว พอเอาไปโยนที่เตา เป็นเตาที่หน้าตาเหมือนเมรุเตี้ยๆ เห็นมีแต่ขี้เถ้าเต็มเตาเลย เลยคิดว่าโยนเข้าไปมันก็คงเผาได้หมดเป็นขี้เถ้าแบบที่เห็นแหล่ะ คิดได้ดังนั้นก็โยนเข้าไป ปรากฎว่าไฟดับพรึ่บ กระดาษกองทุกข์ของกูที่ยังมีชื่อกู นามสกุลกู นอนแอ้งแม้งแน่นิ่งไม่ไหวติง อยู่ท่ามกลางกองขี้เถ้า ไฟไม่มีแล้ว จะติดตัวเองยังไง ยืนอึ้งอยู่คนเดียว ไม่รู้จะทำไง เลยเอามือสั้นๆ ล้วงเข้าไป พยายามจะเอาไปจุดไฟมาใหม่ กระดาษครึ่งหนึ่งเสือกร่วงไปอยู่ใต้เตา...เวรแล้วไงทีนี้ ช่วยไม่ได้แล้ว ทำเป็นไม่รู้เรื่อง แล้วเดินออกมาดีกว่า...ถ้าอาแปะเห็นเข้า คงต้องส่ายหัวเซ็งกู...แล้วบอกว่า....ซา...หลก...ซา...หลก....สนนราคาค่าจ้องหน้าแปะวันนั้น รวมเท่ากับ ร้อยหกสิบบาทถ้วน!

           
          นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าหากรู้ว่าเราไม่ใช่คนใจแข็งพอ ก็อย่าไปมองตาใครส่งเดชเชียว...


วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เราได้อะไรจากน้ำท่วม...2011...

กว่า 1 เดือนมาแล้ว ที่ประเทศสารขันธ์ที่รักของพวกเราได้มีโอกาสพบกับบทพิสูจน์อภิมหาอุทกภัย เดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า ทั้งคนที่บ้านโดนน้ำท่วมไปและแห้งแล้ว บางคนที่น้ำท่วมและกำลังแช่น้ำอยู่ รอดูว่าน้ำจะแห้งเมื่อไหร่ และพวกที่รอลุ้น ใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆ ว่ากูจะได้เป็นคิวต่อไปมั้ย พวกสุดท้ายก็คือพวกที่ถูกบังคับให้รับผิดชอบร่วมกันโดยอัตโนมัติ ที่อยู่พื้นที่ข้างเคียงที่ไม่มีคิวน้ำท่วมถึง แต่คนกทม.ได้แทรกตัวท่วมเข้าไปถึง


มีเพื่อนๆผู้คนรอบข้าง อยู่ในสถานะอย่างที่ว่ามาทั้งหมดเลย เพื่อนคนหนึ่งมีบ้านอยู่นครสวรรค์ มันมีลูกและภรรยาสุดที่รักอย่างละ 1 คน ให้หอบหิ้วหนีน้ำยามลำเค็ญ ตอนโทร.ไปถามไถ่ครั้งแรกที่สงสัยว่าบ้านมันจะได้รับสิทธิ์พบมวลน้ำมหาศาลเป็นลำดับต้นๆ อยากรู้...มากกว่า...เป็นห่วง มันคงเกรงใจเรา มันบอกว่า มึงโทร.มาตอนเย็นได้มั้ย เออ...ได้ดิ แต่กูแค่อยากจะถามว่ามึงโดนน้ำท่วมมั้ย มันบอกกลับมาทันใด นี่ไง กำลังไหลเข้าบ้านเลย กูกำลังขนของขึ้นข้างบนอยู่เนี่ย เออๆ มึงรีบขนเถอะ กูขอโทษที่โทร.มาไม่รู้เวล่ำเวลา...ไม่รู้กาลเทศะ...


ในขณะที่หนีน้ำ มันพาลูกเมียไปอยู่บ้านญาติที่น้ำไม่ท่วม แต่ลูกอายุ 3 ขวบ ป่วยได้ง่ายๆ ลูกมันไม่สบายแต่ไม่มีโอกาสได้ไปหาหมอ เพราะถนนถูกตัดขาด ดีที่ไม่เป็นอะไรมาก ตอนนี้น้ำแห้งแล้ว กลับมาดูที่บ้านตัวเอง กลายเป็นสีโคลน ไม่ได้มีแต่สี แต่มีโคลนจริงๆ เต็มไปหมด มันบอกตามถนนอยากได้เฟอร์นิเจอร์แบบไหน ให้ไปเลือกเอาได้เลย แต่พอกโคลนแถมมาด้วยนะ ระบุความเป็นเจ้าของไม่ได้แน่ๆ รถมันก็จมน้ำ ค่าซ่อมน่าจะเป็นแสน ซ่อมรถคันแรก...รัฐบาลก็ไม่มีโครงการช่วยเหลือด้วย บ้านก็คงต้องขัดสีฉวีวรรณกันใหม่หมด ข้าวของในห้างก็คงหาซื้อลำบาก สำคัญก็นมลูกนี่แหล่ะ ตอนนี้ต้องไปไหนมาไหนด้วยรถทหาร ฟรีนะ...ดีตรงไหนวะ ราคาที่จ่ายล่วงหน้าไป เทียบกันไม่ได้เลย เหตุการณ์นี้ทำให้มันได้รับบทพิสูจน์เรื่องความเป็นผู้นำในครอบครัว พาลูกเมียเอาตัวรอดได้ดีเมื่อถึงคราวอับจนจำเป็น


เพื่อนที่อยู่อยุธยา ทำงานอยู่บริษัทใหญ่โตในนิคมโรจนะ บางคนอยู่นิคมไฮเทค ตอนนี้ยังไม่รู้
ชะตากรรมว่าเมื่อไหร่น้ำมันละแห้ง ดีทีหาทางหนีทีไล่ ไปซุกตัวอยู่ที่อื่นได้ แต่ก็ยังสับสนกับอนาคตการงาน ยิ่งบริษัทร่วมทุนต่างประเทศ ไอ้ที่เคยคิดว่ามั่นคงถาวร ก็กลายเป็นสั่นคลอนแล้ว ต้องมานั่งลุ้นต่ออีกว่าเค้าจะย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นมั้ยนะ


ส่วนคนกรุงเทพฯ แค่มีข่าวว่าน้ำจะท่วม ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นก็หายไปหมดห้างแล้ว อะไรตุนได้ก็เอาไปกักตุนกันซะ เรามีพื้นฐานความสุขสบายจนเคยตัว มีน้ำ มีไฟ มีสาธารณูปโภค เครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน พอวันหนึ่งเราจะไม่มีมัน ก็เลยเหมือนจะทนไม่ได้ มือใครยาวสาวได้สาวเอา กลายเป็นว่าคนเดือดร้อนจริงๆ ก็ไม่ต้องกินต้องใช้กัน เราชินที่จะต้องแย่งกันกินแย่งกันใช้ ยามลำบากก็เลยยากที่จะหันมาเห็นอกเห็นใจหรือแบ่งบัน


มีคลิปๆหนึ่งใน youtube ดูแล้วก็น่าสนใจดี เป็นคนไทยชาย-หญิงคู่หนึ่งยืนจองที่จอดรถ มีฝรั่งขับรถมาถึงก่อนแล้วจะจอด เค้าไม่ให้จอด นอกจากไม่ให้จอดแล้ว ยังด่าตะคอกใส่ฝรั่งด้วย ว่านี่คือเมืองไทย ฝรั่งไม่มีสิทธิ์ ไปไหนก็ไปเลย แล้วก็ตะคอกซ้ำๆ เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง น่าอับอายมาก ที่ประเทศเรา the land of smile วันนี้ดูกร่างและไร้มารยาทมาก คิดว่าคุณฝรั่งแกไม่น่าจะฟังออกว่าเค้าด่าอะไรแก เจอมุข...แผ่นดินนี้กูจองเข้า...ไปไม่เป็นเลยทีเดียว...มันก็น่าสงสัยว่าบรรพบุรุษพี่เค้าคงกู้ชาติมาคนเดียว เลยหวงของขนาดนี้ ถ้ากลับไปดูที่บ้านพี่เค้า เครื่องใช้ในบ้านคงจะใช้ของของไทยทั้งหมด วิทยุ ทีวี ตู้เย็น หม้อหุงข้าว พัดลม ฯ ไม่รู้ว่าทุกวันนี้ยังมียี่ห้อธานินทร์อยู่รึเปล่า ความจริงน่าจะได้เห็นด้วยว่าพี่เค้าขับรถยี่ห้ออะไร ใช้มือถือยี่ห้ออะไร ของไทยทั้งหมดมั้ย...


จริงๆแล้ว ถ้าวันนั้น...พี่คนนี้เค้าเลือกที่จะทำอีกแบบหนึ่ง คือยิ้มให้ฝรั่ง แล้วบอกฝรั่งว่าคุณมาก่อน จอดตรงนี้ก็ได้ครับ สิ่งที่ได้รับกลับมามันคงเป็นคำขอบคุณ ความรู้สึกดีๆ และผลพลอยได้อาจเป็นการบอกต่อ ว่าคนไทยมีน้ำใจ น่าคบหาเป็นอย่างยิ่ง มันอาจเป็นการบอกเล่าที่ไม่รู้จบ คนหนึ่งคนรู้จักคนตั้งเท่าไหร่ ถ้าใครต่อใครพากันพูดถึงประเทศเราในทางที่ดี มันจะเกิดอะไรขึ้นกันนะ ส่วนพี่ไทยคนนี้...เค้าก็น่าจะอิ่มเอมใจ เดินยิ้มออกไปหาที่จอดรถใหม่ได้ แค่นั้นเอง ถึงแม้ไม่มีใครถ่ายคลิปมาอวดความดีความชอบของพี่ แต่คนทำความดี ยังไงมันก็รู้ตัวเองวันยังค่ำนั่นแหล่ะ แต่สิ่งที่พี่เลือกที่จะทำในวันนั้น มันคือทางสายลบ อาจลืมคิด หรือนี่แหล่ะผ่านการคิดมาแล้ว ทำให้ผู้คนได้เห็นและมีโอกาสได้ร่วมประณามความเป็นเค้า ซึ่งไม่อยากจะคิดเลยว่า...นี่คือความเป็นไทยหรือ...


กลับมาที่เรื่องน้ำท่วม คนที่ตุนอาหารไว้เนี่ย พอถึงตาตัวเอง ปรากฎว่าไม่ได้ใช้หรอก เพราะบางพื้นที่ ไฟฟ้าถูกตัด อยู่ไม่ได้ ยังไงก็ต้องอพยพออก แล้วใครมันจะแบกเสบียงที่ตัวเองตุนไว้ออกมา แค่เอาตัวรอดก็ลำบากแล้ว ถึงวันนี้ผ่านไปเป็นเดือน มาม่า ปลากระป๋อง น้ำดื่ม ไข่ ก็ยังเป็นของหายากอยู่ แม้ในจังหวัดข้างเคียง ที่คนกรุงเทพหนีไปอาศัยอยู่ เพื่อนๆน้องๆที่อยู่ชลบุรี เพชรบุรีเล่าว่า หอพัก อพาร์ตเม้นท์เต็มหมด ห้างก็คนเยอะมาก รถก็ติด ไปไหนก็เจอแต่รถทะเบียนกรุงเทพฯ และเหมือนเคย ยังคงความแย่งกันกินแย่งกันใช้ต่อไป และยังมีคนที่ยืนจองที่จอดรถให้เห็นได้อีกด้วย คงจะเป็นญาติๆกัน...


ว่าที่จริงแล้ว การที่น้ำท่วม มันก็มีอีกมุมหนึ่งนะ เป็นมุมดีๆ กับผู้คนอีกกลุ่มที่ร่วมทำงานจิตอาสา ช่วยเหลือคนอื่นที่ลำบากกว่า ได้เห็นดอกไม้งามยามน้ำท่วม บางคนที่โดนน้ำท่วมเหมือนกัน แต่กูยังไปช่วยคนอื่นได้ อย่างโรงงานชาของคุณตัน ทำเอาเราคิดจะกินชาของเค้าไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว คนอย่างงี้ขายอะไร ถ้ามีปัญญาก็จะตามไปซื้อ ถือว่าใจใหญ่มาก บางคนยังมาว่าเค้า 'เอาหน้า' อีก...เฮ้อ...คนที่เค้าทำบุญจากใจจริง หากเค้าจะได้ 'หน้า' เป็นผลพลอยได้บ้าง มันจะเป็นไรไป


ในใจหวังอยากให้คนดีๆ ท่วมเมืองมากกว่านะ ถ้าคนดีท่วมเมือง อย่าว่าแต่น้ำท่วมเลย มากกว่านี้ก็ยังไหว ครั้งนี้อุตส่าห์มีวิกฤติมาให้เราได้แสดงตัวแล้ว น่าจะลองพิสูจน์ ทำให้รู้ว่า สามัคคีคือพลังมันมีจริง ถ้าความคิดเห็นแก่ตัวมันเป็นแค่ของคนรุ่นเก่าคงจะดี เพราะถ้าเราปลูกฝังเด็กรุ่นใหม่ๆ ให้ดีได้ทั้งหมด เมื่อคนรุ่นเก่าหายไป จะมีแต่สิ่งดีที่ถูกส่งถ่าย ปลูกฝังให้คนรุ่นต่อไป เราก็จะได้สังคมที่สงบสุข อยู่เย็น...มั้ยฮึ...


ถ้าหากมีโอกาส ลองหันกลับมามองที่ครอบครัวเรานะ ว่าเราสอนลูกหลานให้รู้จัก 'แบ่งปัน' หรือ 'แย่งชิง'...


It's me!
คนที่กำลังลุ้นอยู่ว่า น้ำจะมามั้ย...และหาไข่ใน Lotus ไม่เจอ...


วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สุขสันต์วันเกิด blog....

มันเริ่มต้นที่ความอยาก


ผ่านมาไม่เท่าไหร่ อายุก็ปาเข้าไปสามสิบสี่ รู้อยู่แก่ใจว่าตอนอายุสามสิบยังรับไม่ค่อยได้เลย เผลอชะแว้บเดียวมันเล่นบวกเข้าไปอีกสี่ปีแล้วเค้าว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข แต่ความจริงมันคือตัวเลขที่ทำให้เรารู้สึกสลดได้ง่ายๆเลยต่างหาก ก็พอคนเราอายุมากขึ้น ความเป็นผู้ใหญ่มันก็มากลบหัวใจเด็กของเรา ยิ้มยากขึ้น  คิดมากขึ้น เรียนรู้ที่จะทุกข์ได้เร็วขึ้นแถมผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ก็มักเลือกที่จะจมปลักกับเจ้าตัวทุกข์นานๆซะอีก


มานั่งนึกๆดู มีอะไรบ้างในชีวิตที่ชอบทำ เวลาอยู่คนเดียว ชอบอ่านหนังสือหรือดู dvd  เวลาอยู่กับเพื่อน ชอบได้นั่งโม้ ก่อเรื่องราวร่วมกัน ชอบหัวเราะอ้าปากกว้างๆ ชอบไปเที่ยวแต่ว่าได้ไปแค่ปีละ 2-3 ครั้งเอง เวลาไปเที่ยวเหมือนได้เดินออกจากกะลาใบเดิมที่คุ้นเคย ได้ยิ้ม ได้หัวเราะสมใจอยาก ได้เจอเรื่องราวที่ไม่ได้คาดคิดเสมอๆ…แล้วพอวันหนึ่งมานั่งนึกถึงวันเก่าๆ ก็พบว่าเราจำมันไม่ได้แล้ว สุดแสนจะเสียดาย ความทรงจำมันหลอๆ เว้าๆ แหว่งๆ ไปหมด จำได้แค่ภาพลางรวมๆ หนังสือหรือหนังที่ชอบ เราลืมมัน เราก็หยิบมาดูใหม่ได้ แต่เรื่องราวในชีวิตไม่เหมือนกัน ชีวิตมันไม่มี re-run มัน re-start ใหม่ไม่ได้ 


บางอย่างที่ฟลุ้คเขียนเอาไว้ได้ พอกลับมานั่งอ่าน แทบจะมองเห็นภาพในตอนนั้นผุดขึ้นมาเลย ตัวหนังสือของเรา ทำให้ตัวเองปะติดปะต่อความทรงจำได้อย่างลื่นไหล ทำไมเราถึงได้ไม่พยายามเก็บมันเอาไว้นะ ถ้าเขียนเก็บทุกครั้ง มันคงจะช่วยได้มาก ตอนนี้อยากลองเขียนดู เคยอ่านเจอว่า ถ้าเราอยากวิ่งแต่ไม่รู้จุดหมาย แล้วเราจะวิ่งได้มั้ย เราแค่ต้องเริ่มจากการก้าวขาออกมาแค่นั้นเอง การเขียนก็ไม่น่าจะแตกต่าง แค่มีมือ อ่านออกเขียนได้มาตั้งแต่ปีมะโว้แล้วส่วนเรื่องโม้ ก็เป็น package ติดตัวมาตั้งแต่จำความได้


ต่อไปนี้เราว่าจะเริ่มออกวิ่งแล้วล่ะ วิ่งสะเปะสะปะไปเรื่อยๆ ยังไม่มีจุดหมายหรอกนะ รู้แต่ว่า เราจะแวะเก็บเรื่องราวสารพันต่างๆนานาที่อยู่ระหว่างทางไปด้วย ถึงมันจะเล็กๆน้อยๆ เราจะพยายามไม่ให้มันหลุดมือไปอีก หวังว่าวันหนึ่งเมื่อคิดได้ว่าจุดหมายในชีวิตคืออะไร แล้วมีโอกาสวิ่งไปถึง เราจะมีเรื่องราวเหล่านี้ไว้หล่อเลี้ยง ให้ได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้ทำให้หัวใจภาคที่เป็นเด็กยังคงอยู่กับเราตลอดไป ก็ตอนที่เป็นเด็กน่ะ…เรามองเห็นโลกด้านที่สวยงามก่อนเสมอ ยิ้มง่าย เวลาร้องไห้ก็ลืมง่าย เผลอแป๊บเดียวก็หัวเราะได้แล้ว


Happy blog's birthday ขอให้ใครที่แวะเข้ามา ได้มีรอยยิ้มกลับออกไป... ^_^


it’s me…
a kero in the coconut shell