เขียนตอนไปดูดวงที่ปากน้ำ...
วันนี้ไปดูดวงมาด้วยความบังเอิญ ขอเล่านะขอเล่า ช่วยอ่านหน่อย...
เดี๋ยวนี้ตอนเย็นๆชอบไปกินข้าวที่ตลาดราชา เป็นตลาดขายอาหารรถเข็นตอนเย็นที่ปากน้ำ แล้ววันนี้เพื่อนที่แผนกจัดซื้อมันก็มาชวนเหมือนเคย ก็เลยไป แล้วทีนี้ก็มีน้องคนนึงที่ไปด้วย มันอยากดูดวงที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองที่ปากน้ำ ไปกันทั้งหมด 6 คน 4 คนเคยดูไปแล้ว...ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ภูมิใจนำเสนอมาก ว่าแม้น...แม่น... ก็เหลือน้องคนที่อยากดู กับกูอีก 1 คนที่ไม่เคยดู ตอนแรกกูก็บอกว่า เฮ้ย! ไม่ดูดีกว่า เพราะดูเสร็จแม่งต้องโม้ เอามาล้อ ทำให้วิชาชีพเค้าเสื่อมเสีย มันรู้สึกบาปๆ แต่ก็ไปนะ ตั้งใจไปกินข้าว
ทีนี้พอไปถึงตลาดปากน้ำ เค้าก็พากันไปที่ศาลเจ้าพ่อ เข้าไปจุดธูปไหว้ศาลฯ แล้วกูก็ไม่รู้ว่าจะไปยืนเด๋ออยู่ที่ไหน ถ้าไม่เข้าไปด้วย คนอื่นเค้าก็ไหว้ศาลกัน ด้วยความที่กูขี้เกียจจุดธูป ก็เลยไม่อยากเข้าไป แต่มันไม่เหมือนห้างที่เราจะไปเดินรอที่อื่นได้ มองเข้าไป เห็นอาแปะ...แปะแกก็นั่งอยู่หน้าเด๋อๆ รอเหยื่ออยู่ข้างในศาลนั่นแหล่ะ อาแปะแก่มาก นั่งตาปรือๆ กูก็ว่าง ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร สบตาแปะหน่อยหนึ่ง แล้ววิญญาณก็โดนแปะดูด กูเดินเข้าไปหาแก แล้วบอกแกว่า...ดูดวงค่ะ...ชะตากูก็เลยเจออาแปะลิขิตซะอย่างงั้น...(มึงต้องอ่านให้ถูกอักขระนะเว้ย...จะเล่าตามที่ประทับใจ...)
“วัง...เดือง...ปีเกิก...เวลาเกิก”
“24 ตุลาคม 2520 สามทุ่มสามสิบสามค่ะ”
แล้วอาแปะก็จับยามสามตา นับนิ้ว เปิดตำรา เขียนตัวเลขสะเปะสะปะยุกยิกของแกไป
“ลื้อเป็งคงขยัง...แล้วก็อกทงมั่กๆ ลวงเป็งคงมีคางสามาก ชา...เพาะตัว” อาแปะพูดเหมือนเห็นจริง กูนั่งยิ้ม...
“ลวงบอกว่า จะต้องทำงางไปตาหลอกชิวิก แต่จะล่ำลวยตองแก่ มีกิงมีใช้” เอาเป็นตอนนี้เลยไม่ได้หรือแปะ
“อายุจะยืงยาวจงถึงเจ็กสิกก่าๆเลย”
“ลื้อทำงางที่หนาย หัวหน้าก็ลัก ผู้จักกางลัก เจ้าของโลงงางก็ลัก” แปะเริ่มเดาสั่วไปเรื่อยๆ
“เป็งคงที่ไปอยู่ที่ไหลๆ ก็มีแต่ผู้ชายมาลักค่ายพัวพังอยู่...ตาหลอก...ชีวิก จะมีผู้ชายมาชอกเยอะ...มั่กๆ” แปะแกหลับหูหลับตาดู โดยไม่ประเมินบรรทัดฐานจากหน้าตาท่าทางกูเล้ย...แม่งรู้สึกอายมาก...ดีนะที่กูนั่งอยู่คนเดียว ไม่มีใครมาคอยกวนตีน...ถ้ามีใครมาคอยนั่งต่อคิว กูคงอายกว่านี้อีก
แล้วอยู่ๆ แปะก็ทำเสียงเหมือนตกใจ “นี่ลื้อแต่งงางยัง”
“ยังค่ะ” อาแปะทำตาโต เหมือนเจอของประหลาด “ฮ้า...จริงๆเหลอ”
“จริงค่ะ”
“แล้วมีคงมาชอกลื้อม้าย”
“ไม่มีค่ะ ไม่มีเลย คืองี้ค่ะ ส่วนใหญ่หนูก็อยู่กับพวกผู้ชายก็เยอะ แต่ไม่ชอบกันหรอกค่ะ ก็เป็นเพื่อน” แก้ตัวอย่างกับเป็นดาราเลยกู พยายามทำหน้าซื่อ ตาใส ว่ากูไม่ได้โกหกนะเว้ยแปะ...กูพูดจริงๆ แต่อาแปะกลับตะโกนใส่กู
“ซา...หลก ซา...หลก น่าซา..หลก”แล้วแกก็ส่ายหัวใหญ่เลย ประมาณว่าตำราแกมันจะพลาดได้ไง
“ลื้อนี่เป็งคงใจแข็งมั่กๆ เพาะลวงว่าถ้าลื้อไม่ใจเหล็ก ลื้อต้องเจ้าชู้มั่กๆ” อ้าว...แปะ!
แล้วแปะยังไม่หยุดพูดเสียงดัง “ม่ายมีคงมาชอกจิงๆเหลอ” แกก็พยายามไถๆไป...
“ไม่มีค่ะ ไม่มีจริงๆ”
“แล้วเพื่องลื้อ มังมีเมียกังหมกเลยเหลอ” แม่ง...ไม่ยอมแพ้...สู้จริงๆ
“ก็ไม่หรอกค่ะแปะ บางคนก็ยังไม่มี” แปะก็เลยแสดงทัศนะเพื่อช่วย (เหยียบ) กูต่อไป ด้วยการใช้เสียงดังๆ พยายามให้กูฟังชัดๆ จ้องตากูตลอด ให้แน่ใจว่ากูจะทำตามคำชี้แนะแก
“งั้งเอางี้...ลื้อ...กักไป...แต่งงางเลย”
“ฮ้า!!!” (+ echo ด้วย)...กูนี่หัวเราะเกือบตกเก้าอี้ ถามแกว่า “แล้วหนูจะไปหาใครที่ไหนมาแต่ง”
“นี่! ลวงลื้อต้องแต่งงางเลี้ยวนะ ต้องแต่งงาง ต้องมีลูก ปีนี้กักปีหน้าคอกลูกล่าย ไม่ปีนี้ก็ปีหน้า ถ้าช้ากว่านี้...หมกเลี้ยว...ไม่ล่ายๆ”
กูไม่รู้ว่าจะให้มันจบลงได้ยังไง ก็เลยบอกแกไปว่า
“หนูก็กะว่าจะไม่แต่งอยู่แล้วล่ะค่ะ ก็คงไม่มีคู่หรอก” อาแปะร้องเสียงหลงเลยทีนี้
“ฮ้า!!!!!!!ซา...หลก....ซา...หลก น่า...ซา...หลก” (แปลออกมั้ย เค้าว่า น่าสลดน่ะ!)
“พ่อแม่ลื้อไม่ห่วงไลลื้อเหลอ”
“พ่อ แม่ไม่บังคับค่ะ แล้วแต่เรา”
“ม่ายช่ายบังคัก แต่ห่วงไล แนะนังคงลีๆให้”
“อ๋อ..ไม่หรอกค่ะ พ่อแม่ก็อยู่ที่อีสานด้วย อยู่คนละที่ คนละจังหวัด” แปะสวนกลับทันทีด้วยความตกใจกว่าเก่า
“ฮ้า!!! พ่อแม่ลื้ออยู่ศาง” อ้าว...คิดว่าพ่อแม่กูตายแล้วอีก...ใครก็ด๊ายมาช่วยกูที!!! แล้วไอ้เอกที่พามา มันก็มาช่วยอธิบายให้แปะเข้าใจด้วยภาษาไทยชัดๆ “อยู่...อี...สาน...แปะ...อยู่...อี...สาน” แปะเลยพยักหน้าหงึกๆ เอกบอกถ้าแปะยังไม่เข้าใจ จะอธิบายเป็นภาษาจีน...เฮ้อ...ชีวิตกู นอกจากไม่ได้คู่แล้ว ยังจะกำพร้าอีก!
“เออ...แต่ลื้อห้างแต่งงางกักคงปี..., ..., ..., ..., … ” แปะบอกมาเกือบครึ่งปีนักษัตร ตัดอนาคตกูเสร็จสรรพเลย ใครจะไปจำวะ ได้แต่พยักหน้าสมยอมไป
“ปีนี้ลื้อแย่อย่างเลียว กางงางติกขักนะ แต่สุขภากแข็งแรง ไม่เป็นลาย”
“เลี้ยวมีอะไลจะถามเพิ่งเติงมั้ย”
เอาซะหน่อยก็ล่ายวะ “อยากย้ายงานค่ะ ทำได้มั้ย” เสียใจเลย...ที่พูดออกไป
“ย้ายทังมาย...ลีอยู่เลี้ยว มังม่ายลียังงาย”
กูก็อ้อมแอ้มไป “ไม่ค่อยดีแล้ว เลยอยากเปลี่ยน” อาแปะเลยเทศน์กูเรื่องเสก-ทา-กิก กางงางหายาก สารพัดจะสวดกู แล้วแกก็บอกว่า
“แต่ถ้าลื้ออยากเปี่ยงจริงๆ ก็สะเหลาะเคาะ แล้วค่อยมาลูกังอีกที” อาแปะทำตาเจ้าเล่ห์
“ซื้อเลย ข้างๆ ล้อยเลียว เอามา เหลี๋ยวจักกางให้” แล้วแกก็ย้ำซ้ำๆ เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง ล้อยเลียวๆ สายตาคนแก่ๆ มึงจะทำร้ายจิตใจเค้าได้ยังไง
กูเลยไปซื้อมา เป็นกระดาษปึ๊งโตๆ ที่คนจีนเค้าเอาไว้สะเดาะเคราะห์กัน แปะก็เขียนชื่อ นามสกุลกูเป็นภาษาจีน แล้วกูก็ต้องไปจุดธูป...ในที่สุด กูก็ต้องทำสิ่งที่กูขี้เกียจทำตอนแรกจนได้...จุดเทียน ไหว้ศาลเจ้าพ่อ ขอให้ชีวิตสงบสุข อยู่รอดปลอดภัย และอธิษฐานขออนาคตสดใส (แต่ไม่ได้ขอเนื้อคู่!) แล้วก็เอากระดาษปึ๊งนั้นปัดทุกข์ออกจากตัว ตั้งแต่หัวจรดตีน 12 ครั้ง แล้วเอามันไปเผาในเตา
ไม่อยากจะบอกเลยว่า จุดไฟได้แล้ว พอเอาไปโยนที่เตา เป็นเตาที่หน้าตาเหมือนเมรุเตี้ยๆ เห็นมีแต่ขี้เถ้าเต็มเตาเลย เลยคิดว่าโยนเข้าไปมันก็คงเผาได้หมดเป็นขี้เถ้าแบบที่เห็นแหล่ะ คิดได้ดังนั้นก็โยนเข้าไป ปรากฎว่าไฟดับพรึ่บ กระดาษกองทุกข์ของกูที่ยังมีชื่อกู นามสกุลกู นอนแอ้งแม้งแน่นิ่งไม่ไหวติง อยู่ท่ามกลางกองขี้เถ้า ไฟไม่มีแล้ว จะติดตัวเองยังไง ยืนอึ้งอยู่คนเดียว ไม่รู้จะทำไง เลยเอามือสั้นๆ ล้วงเข้าไป พยายามจะเอาไปจุดไฟมาใหม่ กระดาษครึ่งหนึ่งเสือกร่วงไปอยู่ใต้เตา...เวรแล้วไงทีนี้ ช่วยไม่ได้แล้ว ทำเป็นไม่รู้เรื่อง แล้วเดินออกมาดีกว่า...ถ้าอาแปะเห็นเข้า คงต้องส่ายหัวเซ็งกู...แล้วบอกว่า....ซา...หลก...ซา...หลก....สนนราคาค่าจ้องหน้าแปะวันนั้น รวมเท่ากับ ร้อยหกสิบบาทถ้วน!
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าหากรู้ว่าเราไม่ใช่คนใจแข็งพอ ก็อย่าไปมองตาใครส่งเดชเชียว...