วันนี้เจอข่าวเศร้า เพื่อนมาเล่า เด็กฆ่าตัวตาย
เรียนสูง จบเมืองนอก แต่ช้ำชอก ข้างในจิตใจ
เจอแฟนเก่า มีแฟนใหม่ น้องรู้สึก ว่ารับไม่ได้
เสียใจเป็นอย่างยิ่ง น้องเลยชิ่ง ฆ่าตัวตาย
โลกนี้มันน่าแปลก เราต้องแลก ตั้งมากมาย
เกิดมากว่าจะโต เปลืองทรัพยากรมากโข ไม่รู้หรือไง
ชนะมันทุกอย่าง สุดท้ายยัง มาแพ้จิตใจ
ปัญหามีทางออก หรือใครบอกให้ฆ่าตัวตาย
คนนะ ไม่ใช่หางจิ้งจก หากตายตก เดี๋ยวจะงอกใหม่
รู้ได้ไงว่าตายแล้วดี หากตายฟรี จะทำยังไง
ตอนอยู่ยังไม่ทำใจให้สงบ หรือไปปรภพแล้วจะสงบลงได้
หลายคนเป็นคนเก่ง ฉันล่ะเง็ง จะรีบตายไปไย
หัวหงอกต้องเผาหัวดำ ต้องเจ็บช้ำมากแค่ไหน
พ่อแม่ต้องเผาลูก จิตพันผูก คิดถึงเค้ามั้ย
บางคนบอก พ่อแม่ไม่รัก ลองชั่งน้ำหนักดูใหม่ดีไหม
หากไม่รัก จะเลี้ยงดู จะอุ้มชูทำซากอะไร
ความรักไม่เหมือนความฝัน มันอาจต่างกันที่สไตล์
มองตัวเองในกระจกเงา ดูซิว่าเรา เค้าหน้าเหมือนใคร
ลองรักษาหัวใจให้แข็งแรง บางครั้งก็แบ่งให้ความทุกข์ไป
เศร้าเถอะ เสียใจซะ ถ้ามันหนักหนา เราก็ร้องไห้
แต่จงรอเวลา ขอจงอย่า อย่ารีบฆ่าตัวตาย
ทุกคนผ่านความทุกข์ แล้วก็สุข แล้วก็ทุกข์อีกได้
โลกนี้มีสมดุลย์ เราน่าจะคุ้น คุ้นเคยเอาไว้
ทุกข์สุขก็ธรรมดา ขอจงอย่าตีโพยตีพาย
เกิดมาเพื่อมีประโยชน์ ทุกคนได้โฉนดชีวิตหนึ่งใบ
ต้องใช้อย่างระวัง ไม่งั้นอาจพัง ทำเราบรรลัย
เราทุกคน มีประโยชน์ แม้ไม่สวยสด อย่างนางสาวไทย
ไม่ใช่แลคโตบาซิลลัส แต่เราก็หัด ทำคุณประโยชน์ได้
พ่อแม่เพื่อนฝูงอีกทั้งน้องนุ่ง ส่วนน้องไม่นุ่ง ไม่นับเอาไว้
เค้าอุตส่าห์ ให้เราเกิดมา มาคิดดีกว่า ว่าจะทดแทนยังไง
บุญคุณของพ่อแม่ ขอเพียงแค่ คิดดีจากหัวใจ
ทุกคนที่รักเรา ทำดีต่อเขา ตอบแทนให้ไป
ศัตรูก็ยังดีวะ ทำให้เรามีมานะ อดทนชิบหาย
ธรรมชาติที่เอื้อเฟื้อ เราก็จุนเจือ ประหยัดกินใช้
ช่วยกันคนละนิด ช่วยๆกันคิด ช่วยกันเอาใจใส่
เริ่มต้นที่จุดเล็กๆ เริ่มจากเด็กๆ จนโตเติบใหญ่
ล้างซะ..ความคิดเก่าๆ อะไรเน่าๆ ปล่อยมันผ่านไป
สังคมดีต้องช่วยกันสร้าง อย่ามาอ้าง ไม่ใช่เรื่องของ “ไอ”
มีลูกก็ต้องสอน ใช่มายอกย้อน ก็สังคมเลวร้าย
สอนดีมีคุณภาพ แสงออร่าอาบ รอบสังคมไทย
มีปัญหาก็กล้าแก้มัน รับรองไม่มีวัน จะฆ่าตัวตาย
ดีจังนะในความฝัน ฉันแอบเห็นมัน สงบ สดใส
ความจริงช่างเป็นยาก ฉันล่ะอยาก...ฆ่าตัวตาย
คุณๆที่ตั้งใจอ่าน อ่านมาตั้งนาน คิดเหมือนกันมั้ย
ขอได้รับคำขอบคุณจาก...
It’s me…
Kannika Entertainment
21 มีนาคม 2555
วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555
วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555
จดหมายถึงนายกอบต.ฉบับที่ 7
“เจ๊จ๋าเจ๊...อยากรู้ว่าเจ๊เป็นเช่นไร เจ๊จ๋าเจ๊...อยากรู้ว่าเจ๊กินอิ่มมั้ย อยากเก็บทองใส่ไห เอาไปไว้ให้เจ๊ เผื่อจะพอโอเค...เจ๊ตาประกาย นะเจ๊จ๋าเจ๊”...(ลองร้องดูนะคะ ใส่ทำนอง ‘ฟ้าจ๋าฟ้า’...ไม่รู้ว่าเจ๊จะรู้จักมั้ยอ่ะ หนูฟังจากโฆษณาตอนเด็ก เห็นว่าเพราะดี เลยจำได้...)
รู้สึกคิดถึงจังค่ะ ไม่ได้เขียนหาเลย พอดีว่ายุ่งๆกับเวลาว่างอยู่ค่ะ เจ๊สบายดีใช่มั้ยคะ แหม...ก็ต้องสบายดีอยู่แล้น เจ๊ร่าเริงสดใส มีปัญหาอะไร เจ๊ก็หัวเราะได้ ชิลล์ๆเนอะ วิ่งเอาหัวโขกปัญหา ดาวกระจายยยยย...(ทำท่าด้วยนะคะ) เอ่อ ผิดคิว...ปัญหากระจายน่ะค่ะ ขอโทษที...
หนูเผลอหลบลงรูไปไม่เท่าไหร่ ตำบลก็ยังสนุกสนานเหมือนเดิมนะคะ โผล่หน้ามาอีกที เจอข่าว คุณตาขอทานพิการเป็นโปลิโอตั้งแต่กำเนิด กำพร้าพ่อแม่ ยึดอาชีพขอทานจนได้ดิบได้ดี คุณตาใจบุญบริจาคเงิน 1 ล้านบาทให้วัดเมื่อเช้านี้ หลังจากปีที่แล้วบริจาคไป 4 แสนบาท และปีก่อนๆอีกมากมายนับไม่หวาดไม่ไหว หนูเห็นแล้วทึ่งอ่ะค่ะ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจที่มั่งคั่งของเรา ที่แม้แต่ขอทานยังล่ำซำกันขนาดนี้ แล้วนักการเมืองล่ะคะเจ๊ หนูกำลังคิดเล่นๆอยู่ว่า ป่านนี้ไม่ซื้อเมฆมาขี่เล่นเป็นซุนหงอคงไปแล้วหรือ มีตราดาวสามแฉกด้วย อิๆๆ...
กลับมาที่คุณตา แกใจบุญจังอ่ะค่ะ เอาตังค์ที่เค้าบริจาคมา ไปบริจาคอีกต่อหนึ่ง นับเป็นขอทานที่มีเมตตานะคะ หลังจากซื้อบ้านไปแล้ว 1 หลังด้วย นี่แหล่ะที่เค้าว่า มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์ เหลียวลูกกะตากลับมามองตัวเอง เอ๊...ไม่ค่อยชัด เดินไปส่องกระจก...หนูเห็นตัวเองอายขอทาน...แง๊...ก็เกิดมาใช้ชีวิต ถลุงตังค์พ่อแม่ไปตั้งเยอะ ทำงานตัวเป็นขนมาเป็นสิบปี เงินล้านหน้าตายังไง ก็ไม่เคยรู้จัก จะไม่ให้หนูอายคุณตาขอทานยังไงไหว พูดแล้วก็อยากจะร้องไห้ ฮือๆๆ...อ้าว...น้ำตาไม่ออกแฮะ...เดี๋ยวขอไปดูซี่รี่ส์เกาหลีแป๊บนะคะ รับรอง...ร้องกระจุย...
หนูคงหายหน้าไปนานจริงๆด้วย มีเรื่องสุมในหัวอกเต็มไปหมด อยากจะคุ้ยมาระบายให้เจ๊ฟังอ่ะ ไม่รู้จะเอาเรื่องไหนก่อนดี เอาอันนี้ดีกว่า เพราะว่าอันนี้ประทับใจจัง อยากรู้จริงๆว่าในใจเจ๊ของหนูคิดกับเรื่องนี้ยังไง
ก็เรื่องของตั่วเฮีย (พี่ใหญ่) ไงคะ ที่มีคนปากบอนไปปรักปรำตั่วเฮียว่า กินเหล้าเข้าประชุมสภาอบต.ไง ถึงขนาดลงทุนไปคุ้ยขยะหาหลักฐาน ทำตัวเป็นเชอร์ล็อค โฮมส์กันทีเดียวเชียว อยากจะหัวร่อให้ฟันร้าว เจอตั่วเฮียของเราสอยเข้าไปหลังจากวันเกิดเหตุว่า ไม่จริ๊ง ไม่จริง...ไปเอามาจากไหน แถมฟ้องไอ้คนพูดด้วย หนอยมาหมิ่นประมาทตั่วเฮียเรายังเงี้ยได้ยังไงเนอะ แน่จริง...ก็ลงลิ้นชัก นั่งไทม์แมชชีนพี่โดเรม่อนไปพิสูจน์กันก็ด๊าย...ทำกับตั่วเฮียของเราแบบนี้ ตั่วเฮียเสียชื่อโหมะเลยนะคะเจ๊...เจ๊อย่าลืมพูดเข้าข้างตั่วเฮียเยอะๆนะ ตั่วเฮียเป็นคนดี ต้องช่วยกันเชียร์ค่ะ ทำดีดีจะส่งให้เห็นผล ไม่วันใดก็วันหนึ่งเนี่ยแหล่ะ
แต่สังคมตำบลเราก็เหลือเกินนะคะ ที่ชอบหลักฐานน่ะคะ ตั่วเฮียแกเลยไปเอาใบรับรองแพทย์มาให้ดูว่าที่แกเดินเซวันนั้น เพราะว่าขาเจ็บต่างหาก มีหมอยืนยันด้วย หนูนะ...สะใจเป็นบ้าไปเลย หงายเงิบกันไปหมด ทั้งนักข่าวและไอ้คนขุดคุ้ย สมน้ำหน้าจริงๆ พวกฝ่ายแค้น คิดจะจับเสือมือเปล่า...ชิชะ...ไม่รู้ซะแล้ว ว่าตั่วเฮียเป็นใคร การศึกษาไม่ใช้มะล็อกก๊อกกิ๊ก ระดับไหนแล้ว กว่าจะจบมาได้ ความสามารถล้วนๆ ภาษากิริยาสมน้ำสมเนื้อ พูดจาภาษาปะกิดที เคยมีใครตามทันมั้ยเล่า ชื่อเสียงสั่งสมมานาน ตั่วเฮียไม่มาทำให้ตัวเองเสียเพราะเรื่องแค่นี้ร้อก...เจ๊ว่าหนูพูดถูกมั้ยอ่ะ ตั่วเฮียข้า...ใครอย่าแตะ วะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะ....
พูดถึงเรื่องใบรับรองแพทย์ เจ๊ได้ยินข่าวมั้ยคะ ไม่แน่ใจว่าหนูเคยเล่าให้เจ๊ฟังมั้ยนะ เรื่องที่ข้าราชการระดับสูงคนนั้น แกไปตบบ้องหูพนักงานผู้ต่ำต้อยเข้า เพราะคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าโลก และพนักงานผู้ต่ำต้อยเป็นไพร่ในเรือนเบี้ยอ่ะค่ะ ก็ดั๊นไปตบที่สนามบิน มีพระเอกเป็นกล้องวงจรปิดพอดี แล้วโชคดีมากเลยที่ไม่ใช่กล้องดัมมี่ มีกล้องอยู่ข้างในจริงๆด้วย...ฮ่ะๆๆ และกล้องก็ไม่เสียอีกต่างหาก เรื่องบังเอิญอย่างงี้ไม่น่าเป็นไปได้เนอะ ตอนแรกหนูก็ว่าเค้านะคะ ดูซิ...เป็นผู้ใหญ่ ทำตัวไม่งามเลยนะคะ ว้า...แย่จัง...
แต่จริงๆแล้ว หนูอยากสารภาพผิดอ่ะค่ะ หนูเข้าใจเค้าผิดถนัดเลยนะคะ ความจริงเค้าป่วยค่ะเจ๊ มีใบรับรองแพทย์ยืนยันอีกแล้ว อ๋อ...ห่วงเค้าเหรอคะ ค่ะ...ก็น่าห่วงมากเอาการอยู่ ก็แหม ป่วยเป็นโรคทางจิตเลยนะคะ เลยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ หนูอยากเห็นหน้าหมอที่เซ็นต์ใบรับรองจังค่ะ ทำไมน่ะเหรอคะ ไม่มีอะไรหรอก หนูแค่อยากแน่ใจว่าไม่ใช่หมอลักษณ์ฟันธงหรือ หมอกฤษณ์คอนเฟิร์มน่ะค่ะ
แปลกมากอ่ะ ทำงานมาตั้งนาน ไม่มีใครรู้เลยได้ไง พี่กล้องวงจรปิดจับแกได้ซะอย่างงั้น ถ้าไม่มีพี่เค้าเราจะทำยังไงกัน เรายกโขยงกันไปชาบูชาบูพี่กล้องวงจรปิดกันดีมั้ยคะ แล้วมอบเหรียญกล้าหาญเพื่อเป็นเกียรติด้วย คนที่มาเปิดเผยผลหลังจากการสอบสวน เค้าก็ยืนยันด้วยว่าสอบสวนไปตามความจริง ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมไม่ได้เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทั้งสิ้น
คุณข้าราชการคนนี้แกป่วยจริงอะไรจริงนะคะ จะมาพบหน้าสื่อมวลชนยังไม่มีแรงเล้ย มันน่ายินดีจริงๆนะคะที่ความจริงเป็นเรื่องเข้าใจผิด นึกว่าชนชั้นผู้น้อยโดนตบฟรีซะแล้ว แหม...ก็อย่างน้อย เราก็รู้แล้วว่า กระบวนการสืบสวนสามารถพึ่งพา ทำให้ความจริงปรากฏได้ สังคมเรามีแต่คนดีๆ ถ้าเปาบุ้นจิ้นนั่งกินไข่เต่าอยู่แถวเนี้ย แกคงเหงาเพราะตกงาน ต้องนั่งแคะเล็บขบเล่นแหงๆ ก็ไม่มีคนชั่วให้ตัดสินเลยอ่ะค่ะ กิ๊วๆๆ...หนูล้อเปาบุ้นจิ้นเล่นนะคะ อย่าเข้าใจผิด...
ว่าแต่ว่า ถ้าเราส่งทีมสำรวจไปทำโพล์คนที่อยู่สูงๆนี่ เค้าจะมีใบรับรองแพทย์กันคนละใบเลยมั้ยคะเจ๊ เจ๊น่าจะเริ่มส่งทีมออกค้นหาได้แล้วนะคะ ว่ามีใครป่วยบ้าง ตำบลเราจะได้เตรียมรับมือทัน ปัญหาเรื่องป่วยนี่มันเรื่องใหญ่นะคะ กระซิบไว้รู้กันแค่สองคนน้า ว่าอาจใหญ่กว่าน้ำท่วมอีกอ่ะ เจ๊รู้จักฮิตเล่อร์ใช่มั้ยอ่ะคะ ว่ากันว่า เค้าก็ป่วยทางจิตนะ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็วอดวายกันไปหลายแล้น เราน่าจะหาทางป้องกันไว้ก่อน เผื่อจะได้ให้นักวิจัยปรุงอาหารผสมซินไบโอโพรเทค สูตรเสริมสร้างพัฒนาการเพื่อลูกน้อย แบบนมเด็กน่ะค่ะให้พวกเนี้ยเค้ารับประทานเข้าร่างกายไปบ้าง สงสัยตอนเด็กๆอาจขาดสารอาหารนะคะ ร่างกายไม่แข็งแรง จิตก็เลยพลันเสื่อมไปด้วย แต่ถ้าเจ๊หาทางป้องกันได้น้า ต่อให้เป็นสปอร์ตเรนเจอร์ก็เถอะ...อาจต้องเรียกเจ๊ว่า “พี่” ก็ได้...ฮีโร่เลยอ่ะ เขินแทนจัง...
เจ๊ๆ...อันนี้หนูได้ยินมา ไม่รู้จริงอ๊ะป่าว...หนูว่านักข่าวใส่ไฟแก็งค์อบต.ของเจ๊ชัวร์ค่ะ เค้าว่าอบต.ทำงบประมาณซื้อ iPad, iPhone ให้สมาชิกอ่ะ อร๊าย...รับไม่ด๊าย มาใส่ไคล้กันเช่นนี้ เค้าทำได้อย่างไร เค้าทำได้อย่างไร ทำลายหัวใจของคนดีที่สุดของหนู เจ๊สู้อุตส่าห์ตะเกียกตะกายทุ่มเทข้ามน้ำข้ามทะเลบินไปดูแท้ปเล็ตที่แสนจะทรงประสิทธิภาพมาให้เด็กป.1 ใช้ ประหยัดเงินไปก็มากโข แล้วอาร้าย...จะมาบอกว่าเจ๊จะแจก iPad, iPhone ให้พวกสมาชิกอบต. เมตตามหานิยมผิดที่ผิดทางไปมั้ยคะ เงินเดือนเงินดาวก็ไม่ใช่น้อยแล้วนะเจ๊ จะมารับของแจกของบริจาค มันจะสมศักดิ์ศรีเหรอคะ
ที่ทักเนี่ย...ใช่ว่าจะอิจฉาตาร้อนผ่าวอะไรนะคะ แต่อยากบอกว่า อายุอานามก็มากๆกันแล้ว มาถ่างตามองแอ๊บเอิ๊บอะไรเยอะๆ มันจะเสียสุขภาพกันเปล่าๆ พอสุขภาพกายไม่ดี สุขภาพจิตก็จะเสื่อมตามไปอีก ทีนี้ก็ป่วยเป็นงูกินหางกันไปเลย แล้วจะทำยังไงกันล่ะคะ บอกพวกเค้า เอาสายตาไปดูทุ่งไร่ทุ่งนาเวลาว่างๆมันจะดีกว่ามั้ยคะ ทำให้ท้องทุ่งเขียวขจี ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าสีสดใส ไกลสุดลูกหูลูกตา ออกจะดูงามกว่านะคะ...อ้อ...ลืมไป หรือว่ายังมีโปรเจ็คท์ย้ายกาแล็คซี่กันอยู่คะ เอ่อ...งั้นไม่เป็นไร พอหากลุ่มดาวภพใหม่เจอ เราค่อยเริ่มก็คงยังไม่สายเนาะ...อย่างนั้นก็บ่เป็นหยัง ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เอาเป็นว่าเราแจก iPad เด็กป.1 ด้วยดีกว่าค่ะ จะได้ไม่เกิดความเหลื่อมล้ำไงคะ เด็กๆเค้าจะได้ชาบูชาบูเจ๊เช้าเย็น ดีไม่ดีมีถวายดอกบัวกันเลยเชียวนะงานเนี้ย
อีกอย่างค่ะเจ๊ หนูเห็นข่าวหลายวันแล้ว เห็นว่ามีการเชิญซินแสมาดูฮวงจุ้ยให้กับทำเนียบอบต.น่ะค่ะ แล้วก็จะมีการปรับทัศนียภาพ ปลูกถอนต้นไม้ตามสมควร เห็นแล้วปลื้มค่ะ เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ตำบลเราจะเจริญได้มั้ย ก็ขึ้นกับทัศนียภาพทำเนียบเนี่ยแหล่ะ ในฐานะแฟนพันธุ์แท้แพ้ทางเจ๊ ขอเสนอนิดหนึ่งได้มั้ยคะ ไหนๆก็ทำแล้ว เพื่อให้เกิดสิริมงคลสูงสุด เจ๊เชิญซินแสดังๆ มาพร้อมกันซักโหลดีมั้ยคะ แล้วให้ซินแสเขียนสิ่งที่ต้องทำลงในกระดาษ ว่าต้องปลูกต้องถอนอะไรบ้าง ห้ามแอบลอกกันเด็ดขาดน้า แล้วเอาใส่กล่องมาส่ง จะได้ดูว่ามันเป็นศาสตร์แห่งการมีเหตุและผลจริงๆ มันต้องเท่มากๆเลยนะคะ ที่ทุกคนแยกกันทำ แล้วออกมาได้ผลเหมือนกันหมด ว้าย...หัวแหลมจังนะเรา...
ที่เสนอนี่เพราะรักเลยนะคะ ก็แหม...หนูหวังดีอ่ะ กลัวว่าจะเหนื่อยกัน ก็ต้นสวาปาล์ม...(ชื่อเต็มจริงๆของต้นปาล์มอ่ะค่ะ เจ๊คงทราบดีเนาะ) ก็ต้นสวาปาล์มต้นหนึ่งมันไม่ใช่ถูกๆนะคะ เดี๋ยวปลูก เดี๋ยวถอน เดี๋ยวอยู่ข้างหน้า เดี๋ยวย้ายมาข้างหลัง ถ้ามันบ่นได้มันก็คงเวียนหัว เพราะไม่รู้จะสวาปาล์มตรงไหนดี ทางที่ดีก็ปลูกมันทั่วๆจะได้สวาปาล์มอย่างสม่ำเสมอ หรือไม่ก็ถอนออกทั้งหมด จะได้ไม่สวาปาล์มเลย แต่อย่างหลังนี่เป็นไปไม่ได้แหงๆ ก็ต้นสวาปาล์มให้ร่มเงาประดุจร่มโพธิ์ร่มไทรทุกคนในคณะอบต.มานานนม ถ้าจะไม่สวาปาล์มกันเลยจริงๆ มีหวังร้อนกันแย่เลยนะคะ เจ๊ว่าแมะ...
เพราะฉะนั้นเราก็เลือกข้อ ก. ปลูกสวาปาล์มอย่างสม่ำเสมอ ทุกท่านกินอิ่มนอนหลับ ตำบลก็จะเจริญรุ่งริ่ง...เอ๊ย...รุ่งเรืองเฟื่องฟูเป็นฟองฟอร์มาลีนกันล่ะคราวนี้ หากทำเนียบอบต.มีทัศนียภาพที่งดงามแล้วไซร้ อย่าได้ห่วงเรื่องหยุมหยิมอย่างคนชั่ว คนไม่ดี น้ำท่วม ปัญหาปากท้องอะไรอีกเลยค่ะ ฮวงจุ้ยดีซะอย่าง ปัญหาก็คงหายหมดไปเองแหล่ะ เออ...เจ๊ขา ว่าแต่ซินแสทั้งหมดที่เราเชิญมาเนี่ย ฟรีรึเปล่าคะเจ๊...แหม...ใจบุญจังเลยเนอะ พ่อมหาจำเริญ...
เจ๊ๆ...ว่ากันว่าเจ๊จะกู้ตังค์มาแก้ปัญหาน้ำท่วมสามแสนล้านเหรอคะ เจ๊นับศูนย์ครบใช่มั้ยคะ มันมีศูนย์กี่ตัวละเนี่ย ตอนหนูเรียนตอนเด็กๆ เคยมีคนบอกหนูว่าเลขศูนย์ไม่มีความหมาย เจ๊คิดเหมือนเค้ามั้ยคะ ไอ้สามแสนล้านเนี่ยมันเยอะขนาดไหนอ่ะคะ เอามาเรียงเป็นตับๆ จะได้กี่รถสิบล้อหว่า เจ๊กู้มาแล้วเราจะได้เป็นหนี้ร่วมกันมั้ยคะ อ๋อ...ที่อยากรู้ ก็แค่แอบดีใจอ่ะ ที่หนูก็มีประโยชน์ด้วย ได้ช่วยแชร์ความเจ็บปวดกับเจ๊ก็คราวนี้ ช่วยกันแบ่งเบาภาระ จะได้ผูกพันกันมากขึ้น เจ๊ทำอะไรหนูก็ยินดี หนูก็อวยพร...เอ...ว่าแต่...เจ๊รู้มั้ยอ่ะ ทำไมหนูถึงรู้สึกเจ็บปวดเยอะจัง เจ็บถึงม้ามเลยค่ะ ทำไมน้า ทำไมหว่า คิดไม่ออกก็ช่างมันเถอะเนาะ...หนูลืมง่าย เดี๋ยวก็ลืมแล้ว ได้ช่วยเจ๊ ยังไงก็กำไรชีวิตมากกว่า...
ปล.ฉบับนี้หนูไม่เยินยออะไรเจ๊มากนะคะ ก็รู้ๆกันอยู่แล้ว ว่าเจ๊ก็เหมือนดาวบนท้องฟ้า ถึงมองไม่เห็นตลอดเวลา แต่ก็รู้ว่ามีดาวอยู่ เจ๊ของหนู...สดใสไฉไล ไม่สามารถลืมเลือนได้อยู่แล้น วันนี้หนูง่วง ขอไปนอนก่อนน้า แล้ววันหลังจะเขียนมาเม้ามอยใหม่...โอยะซุมินาไซค่ะ...
หนูนาคารูแย้ แพ้ข่าวลือทั้งปวงอีกต่างหาก...
17 มีนาคม 2555
รู้สึกคิดถึงจังค่ะ ไม่ได้เขียนหาเลย พอดีว่ายุ่งๆกับเวลาว่างอยู่ค่ะ เจ๊สบายดีใช่มั้ยคะ แหม...ก็ต้องสบายดีอยู่แล้น เจ๊ร่าเริงสดใส มีปัญหาอะไร เจ๊ก็หัวเราะได้ ชิลล์ๆเนอะ วิ่งเอาหัวโขกปัญหา ดาวกระจายยยยย...(ทำท่าด้วยนะคะ) เอ่อ ผิดคิว...ปัญหากระจายน่ะค่ะ ขอโทษที...
หนูเผลอหลบลงรูไปไม่เท่าไหร่ ตำบลก็ยังสนุกสนานเหมือนเดิมนะคะ โผล่หน้ามาอีกที เจอข่าว คุณตาขอทานพิการเป็นโปลิโอตั้งแต่กำเนิด กำพร้าพ่อแม่ ยึดอาชีพขอทานจนได้ดิบได้ดี คุณตาใจบุญบริจาคเงิน 1 ล้านบาทให้วัดเมื่อเช้านี้ หลังจากปีที่แล้วบริจาคไป 4 แสนบาท และปีก่อนๆอีกมากมายนับไม่หวาดไม่ไหว หนูเห็นแล้วทึ่งอ่ะค่ะ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจที่มั่งคั่งของเรา ที่แม้แต่ขอทานยังล่ำซำกันขนาดนี้ แล้วนักการเมืองล่ะคะเจ๊ หนูกำลังคิดเล่นๆอยู่ว่า ป่านนี้ไม่ซื้อเมฆมาขี่เล่นเป็นซุนหงอคงไปแล้วหรือ มีตราดาวสามแฉกด้วย อิๆๆ...
กลับมาที่คุณตา แกใจบุญจังอ่ะค่ะ เอาตังค์ที่เค้าบริจาคมา ไปบริจาคอีกต่อหนึ่ง นับเป็นขอทานที่มีเมตตานะคะ หลังจากซื้อบ้านไปแล้ว 1 หลังด้วย นี่แหล่ะที่เค้าว่า มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์ เหลียวลูกกะตากลับมามองตัวเอง เอ๊...ไม่ค่อยชัด เดินไปส่องกระจก...หนูเห็นตัวเองอายขอทาน...แง๊...ก็เกิดมาใช้ชีวิต ถลุงตังค์พ่อแม่ไปตั้งเยอะ ทำงานตัวเป็นขนมาเป็นสิบปี เงินล้านหน้าตายังไง ก็ไม่เคยรู้จัก จะไม่ให้หนูอายคุณตาขอทานยังไงไหว พูดแล้วก็อยากจะร้องไห้ ฮือๆๆ...อ้าว...น้ำตาไม่ออกแฮะ...เดี๋ยวขอไปดูซี่รี่ส์เกาหลีแป๊บนะคะ รับรอง...ร้องกระจุย...
หนูคงหายหน้าไปนานจริงๆด้วย มีเรื่องสุมในหัวอกเต็มไปหมด อยากจะคุ้ยมาระบายให้เจ๊ฟังอ่ะ ไม่รู้จะเอาเรื่องไหนก่อนดี เอาอันนี้ดีกว่า เพราะว่าอันนี้ประทับใจจัง อยากรู้จริงๆว่าในใจเจ๊ของหนูคิดกับเรื่องนี้ยังไง
ก็เรื่องของตั่วเฮีย (พี่ใหญ่) ไงคะ ที่มีคนปากบอนไปปรักปรำตั่วเฮียว่า กินเหล้าเข้าประชุมสภาอบต.ไง ถึงขนาดลงทุนไปคุ้ยขยะหาหลักฐาน ทำตัวเป็นเชอร์ล็อค โฮมส์กันทีเดียวเชียว อยากจะหัวร่อให้ฟันร้าว เจอตั่วเฮียของเราสอยเข้าไปหลังจากวันเกิดเหตุว่า ไม่จริ๊ง ไม่จริง...ไปเอามาจากไหน แถมฟ้องไอ้คนพูดด้วย หนอยมาหมิ่นประมาทตั่วเฮียเรายังเงี้ยได้ยังไงเนอะ แน่จริง...ก็ลงลิ้นชัก นั่งไทม์แมชชีนพี่โดเรม่อนไปพิสูจน์กันก็ด๊าย...ทำกับตั่วเฮียของเราแบบนี้ ตั่วเฮียเสียชื่อโหมะเลยนะคะเจ๊...เจ๊อย่าลืมพูดเข้าข้างตั่วเฮียเยอะๆนะ ตั่วเฮียเป็นคนดี ต้องช่วยกันเชียร์ค่ะ ทำดีดีจะส่งให้เห็นผล ไม่วันใดก็วันหนึ่งเนี่ยแหล่ะ
แต่สังคมตำบลเราก็เหลือเกินนะคะ ที่ชอบหลักฐานน่ะคะ ตั่วเฮียแกเลยไปเอาใบรับรองแพทย์มาให้ดูว่าที่แกเดินเซวันนั้น เพราะว่าขาเจ็บต่างหาก มีหมอยืนยันด้วย หนูนะ...สะใจเป็นบ้าไปเลย หงายเงิบกันไปหมด ทั้งนักข่าวและไอ้คนขุดคุ้ย สมน้ำหน้าจริงๆ พวกฝ่ายแค้น คิดจะจับเสือมือเปล่า...ชิชะ...ไม่รู้ซะแล้ว ว่าตั่วเฮียเป็นใคร การศึกษาไม่ใช้มะล็อกก๊อกกิ๊ก ระดับไหนแล้ว กว่าจะจบมาได้ ความสามารถล้วนๆ ภาษากิริยาสมน้ำสมเนื้อ พูดจาภาษาปะกิดที เคยมีใครตามทันมั้ยเล่า ชื่อเสียงสั่งสมมานาน ตั่วเฮียไม่มาทำให้ตัวเองเสียเพราะเรื่องแค่นี้ร้อก...เจ๊ว่าหนูพูดถูกมั้ยอ่ะ ตั่วเฮียข้า...ใครอย่าแตะ วะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะ....
พูดถึงเรื่องใบรับรองแพทย์ เจ๊ได้ยินข่าวมั้ยคะ ไม่แน่ใจว่าหนูเคยเล่าให้เจ๊ฟังมั้ยนะ เรื่องที่ข้าราชการระดับสูงคนนั้น แกไปตบบ้องหูพนักงานผู้ต่ำต้อยเข้า เพราะคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าโลก และพนักงานผู้ต่ำต้อยเป็นไพร่ในเรือนเบี้ยอ่ะค่ะ ก็ดั๊นไปตบที่สนามบิน มีพระเอกเป็นกล้องวงจรปิดพอดี แล้วโชคดีมากเลยที่ไม่ใช่กล้องดัมมี่ มีกล้องอยู่ข้างในจริงๆด้วย...ฮ่ะๆๆ และกล้องก็ไม่เสียอีกต่างหาก เรื่องบังเอิญอย่างงี้ไม่น่าเป็นไปได้เนอะ ตอนแรกหนูก็ว่าเค้านะคะ ดูซิ...เป็นผู้ใหญ่ ทำตัวไม่งามเลยนะคะ ว้า...แย่จัง...
แต่จริงๆแล้ว หนูอยากสารภาพผิดอ่ะค่ะ หนูเข้าใจเค้าผิดถนัดเลยนะคะ ความจริงเค้าป่วยค่ะเจ๊ มีใบรับรองแพทย์ยืนยันอีกแล้ว อ๋อ...ห่วงเค้าเหรอคะ ค่ะ...ก็น่าห่วงมากเอาการอยู่ ก็แหม ป่วยเป็นโรคทางจิตเลยนะคะ เลยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ หนูอยากเห็นหน้าหมอที่เซ็นต์ใบรับรองจังค่ะ ทำไมน่ะเหรอคะ ไม่มีอะไรหรอก หนูแค่อยากแน่ใจว่าไม่ใช่หมอลักษณ์ฟันธงหรือ หมอกฤษณ์คอนเฟิร์มน่ะค่ะ
แปลกมากอ่ะ ทำงานมาตั้งนาน ไม่มีใครรู้เลยได้ไง พี่กล้องวงจรปิดจับแกได้ซะอย่างงั้น ถ้าไม่มีพี่เค้าเราจะทำยังไงกัน เรายกโขยงกันไปชาบูชาบูพี่กล้องวงจรปิดกันดีมั้ยคะ แล้วมอบเหรียญกล้าหาญเพื่อเป็นเกียรติด้วย คนที่มาเปิดเผยผลหลังจากการสอบสวน เค้าก็ยืนยันด้วยว่าสอบสวนไปตามความจริง ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมไม่ได้เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทั้งสิ้น
คุณข้าราชการคนนี้แกป่วยจริงอะไรจริงนะคะ จะมาพบหน้าสื่อมวลชนยังไม่มีแรงเล้ย มันน่ายินดีจริงๆนะคะที่ความจริงเป็นเรื่องเข้าใจผิด นึกว่าชนชั้นผู้น้อยโดนตบฟรีซะแล้ว แหม...ก็อย่างน้อย เราก็รู้แล้วว่า กระบวนการสืบสวนสามารถพึ่งพา ทำให้ความจริงปรากฏได้ สังคมเรามีแต่คนดีๆ ถ้าเปาบุ้นจิ้นนั่งกินไข่เต่าอยู่แถวเนี้ย แกคงเหงาเพราะตกงาน ต้องนั่งแคะเล็บขบเล่นแหงๆ ก็ไม่มีคนชั่วให้ตัดสินเลยอ่ะค่ะ กิ๊วๆๆ...หนูล้อเปาบุ้นจิ้นเล่นนะคะ อย่าเข้าใจผิด...
ว่าแต่ว่า ถ้าเราส่งทีมสำรวจไปทำโพล์คนที่อยู่สูงๆนี่ เค้าจะมีใบรับรองแพทย์กันคนละใบเลยมั้ยคะเจ๊ เจ๊น่าจะเริ่มส่งทีมออกค้นหาได้แล้วนะคะ ว่ามีใครป่วยบ้าง ตำบลเราจะได้เตรียมรับมือทัน ปัญหาเรื่องป่วยนี่มันเรื่องใหญ่นะคะ กระซิบไว้รู้กันแค่สองคนน้า ว่าอาจใหญ่กว่าน้ำท่วมอีกอ่ะ เจ๊รู้จักฮิตเล่อร์ใช่มั้ยอ่ะคะ ว่ากันว่า เค้าก็ป่วยทางจิตนะ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็วอดวายกันไปหลายแล้น เราน่าจะหาทางป้องกันไว้ก่อน เผื่อจะได้ให้นักวิจัยปรุงอาหารผสมซินไบโอโพรเทค สูตรเสริมสร้างพัฒนาการเพื่อลูกน้อย แบบนมเด็กน่ะค่ะให้พวกเนี้ยเค้ารับประทานเข้าร่างกายไปบ้าง สงสัยตอนเด็กๆอาจขาดสารอาหารนะคะ ร่างกายไม่แข็งแรง จิตก็เลยพลันเสื่อมไปด้วย แต่ถ้าเจ๊หาทางป้องกันได้น้า ต่อให้เป็นสปอร์ตเรนเจอร์ก็เถอะ...อาจต้องเรียกเจ๊ว่า “พี่” ก็ได้...ฮีโร่เลยอ่ะ เขินแทนจัง...
เจ๊ๆ...อันนี้หนูได้ยินมา ไม่รู้จริงอ๊ะป่าว...หนูว่านักข่าวใส่ไฟแก็งค์อบต.ของเจ๊ชัวร์ค่ะ เค้าว่าอบต.ทำงบประมาณซื้อ iPad, iPhone ให้สมาชิกอ่ะ อร๊าย...รับไม่ด๊าย มาใส่ไคล้กันเช่นนี้ เค้าทำได้อย่างไร เค้าทำได้อย่างไร ทำลายหัวใจของคนดีที่สุดของหนู เจ๊สู้อุตส่าห์ตะเกียกตะกายทุ่มเทข้ามน้ำข้ามทะเลบินไปดูแท้ปเล็ตที่แสนจะทรงประสิทธิภาพมาให้เด็กป.1 ใช้ ประหยัดเงินไปก็มากโข แล้วอาร้าย...จะมาบอกว่าเจ๊จะแจก iPad, iPhone ให้พวกสมาชิกอบต. เมตตามหานิยมผิดที่ผิดทางไปมั้ยคะ เงินเดือนเงินดาวก็ไม่ใช่น้อยแล้วนะเจ๊ จะมารับของแจกของบริจาค มันจะสมศักดิ์ศรีเหรอคะ
ที่ทักเนี่ย...ใช่ว่าจะอิจฉาตาร้อนผ่าวอะไรนะคะ แต่อยากบอกว่า อายุอานามก็มากๆกันแล้ว มาถ่างตามองแอ๊บเอิ๊บอะไรเยอะๆ มันจะเสียสุขภาพกันเปล่าๆ พอสุขภาพกายไม่ดี สุขภาพจิตก็จะเสื่อมตามไปอีก ทีนี้ก็ป่วยเป็นงูกินหางกันไปเลย แล้วจะทำยังไงกันล่ะคะ บอกพวกเค้า เอาสายตาไปดูทุ่งไร่ทุ่งนาเวลาว่างๆมันจะดีกว่ามั้ยคะ ทำให้ท้องทุ่งเขียวขจี ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าสีสดใส ไกลสุดลูกหูลูกตา ออกจะดูงามกว่านะคะ...อ้อ...ลืมไป หรือว่ายังมีโปรเจ็คท์ย้ายกาแล็คซี่กันอยู่คะ เอ่อ...งั้นไม่เป็นไร พอหากลุ่มดาวภพใหม่เจอ เราค่อยเริ่มก็คงยังไม่สายเนาะ...อย่างนั้นก็บ่เป็นหยัง ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เอาเป็นว่าเราแจก iPad เด็กป.1 ด้วยดีกว่าค่ะ จะได้ไม่เกิดความเหลื่อมล้ำไงคะ เด็กๆเค้าจะได้ชาบูชาบูเจ๊เช้าเย็น ดีไม่ดีมีถวายดอกบัวกันเลยเชียวนะงานเนี้ย
อีกอย่างค่ะเจ๊ หนูเห็นข่าวหลายวันแล้ว เห็นว่ามีการเชิญซินแสมาดูฮวงจุ้ยให้กับทำเนียบอบต.น่ะค่ะ แล้วก็จะมีการปรับทัศนียภาพ ปลูกถอนต้นไม้ตามสมควร เห็นแล้วปลื้มค่ะ เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ตำบลเราจะเจริญได้มั้ย ก็ขึ้นกับทัศนียภาพทำเนียบเนี่ยแหล่ะ ในฐานะแฟนพันธุ์แท้แพ้ทางเจ๊ ขอเสนอนิดหนึ่งได้มั้ยคะ ไหนๆก็ทำแล้ว เพื่อให้เกิดสิริมงคลสูงสุด เจ๊เชิญซินแสดังๆ มาพร้อมกันซักโหลดีมั้ยคะ แล้วให้ซินแสเขียนสิ่งที่ต้องทำลงในกระดาษ ว่าต้องปลูกต้องถอนอะไรบ้าง ห้ามแอบลอกกันเด็ดขาดน้า แล้วเอาใส่กล่องมาส่ง จะได้ดูว่ามันเป็นศาสตร์แห่งการมีเหตุและผลจริงๆ มันต้องเท่มากๆเลยนะคะ ที่ทุกคนแยกกันทำ แล้วออกมาได้ผลเหมือนกันหมด ว้าย...หัวแหลมจังนะเรา...
ที่เสนอนี่เพราะรักเลยนะคะ ก็แหม...หนูหวังดีอ่ะ กลัวว่าจะเหนื่อยกัน ก็ต้นสวาปาล์ม...(ชื่อเต็มจริงๆของต้นปาล์มอ่ะค่ะ เจ๊คงทราบดีเนาะ) ก็ต้นสวาปาล์มต้นหนึ่งมันไม่ใช่ถูกๆนะคะ เดี๋ยวปลูก เดี๋ยวถอน เดี๋ยวอยู่ข้างหน้า เดี๋ยวย้ายมาข้างหลัง ถ้ามันบ่นได้มันก็คงเวียนหัว เพราะไม่รู้จะสวาปาล์มตรงไหนดี ทางที่ดีก็ปลูกมันทั่วๆจะได้สวาปาล์มอย่างสม่ำเสมอ หรือไม่ก็ถอนออกทั้งหมด จะได้ไม่สวาปาล์มเลย แต่อย่างหลังนี่เป็นไปไม่ได้แหงๆ ก็ต้นสวาปาล์มให้ร่มเงาประดุจร่มโพธิ์ร่มไทรทุกคนในคณะอบต.มานานนม ถ้าจะไม่สวาปาล์มกันเลยจริงๆ มีหวังร้อนกันแย่เลยนะคะ เจ๊ว่าแมะ...
เพราะฉะนั้นเราก็เลือกข้อ ก. ปลูกสวาปาล์มอย่างสม่ำเสมอ ทุกท่านกินอิ่มนอนหลับ ตำบลก็จะเจริญรุ่งริ่ง...เอ๊ย...รุ่งเรืองเฟื่องฟูเป็นฟองฟอร์มาลีนกันล่ะคราวนี้ หากทำเนียบอบต.มีทัศนียภาพที่งดงามแล้วไซร้ อย่าได้ห่วงเรื่องหยุมหยิมอย่างคนชั่ว คนไม่ดี น้ำท่วม ปัญหาปากท้องอะไรอีกเลยค่ะ ฮวงจุ้ยดีซะอย่าง ปัญหาก็คงหายหมดไปเองแหล่ะ เออ...เจ๊ขา ว่าแต่ซินแสทั้งหมดที่เราเชิญมาเนี่ย ฟรีรึเปล่าคะเจ๊...แหม...ใจบุญจังเลยเนอะ พ่อมหาจำเริญ...
เจ๊ๆ...ว่ากันว่าเจ๊จะกู้ตังค์มาแก้ปัญหาน้ำท่วมสามแสนล้านเหรอคะ เจ๊นับศูนย์ครบใช่มั้ยคะ มันมีศูนย์กี่ตัวละเนี่ย ตอนหนูเรียนตอนเด็กๆ เคยมีคนบอกหนูว่าเลขศูนย์ไม่มีความหมาย เจ๊คิดเหมือนเค้ามั้ยคะ ไอ้สามแสนล้านเนี่ยมันเยอะขนาดไหนอ่ะคะ เอามาเรียงเป็นตับๆ จะได้กี่รถสิบล้อหว่า เจ๊กู้มาแล้วเราจะได้เป็นหนี้ร่วมกันมั้ยคะ อ๋อ...ที่อยากรู้ ก็แค่แอบดีใจอ่ะ ที่หนูก็มีประโยชน์ด้วย ได้ช่วยแชร์ความเจ็บปวดกับเจ๊ก็คราวนี้ ช่วยกันแบ่งเบาภาระ จะได้ผูกพันกันมากขึ้น เจ๊ทำอะไรหนูก็ยินดี หนูก็อวยพร...เอ...ว่าแต่...เจ๊รู้มั้ยอ่ะ ทำไมหนูถึงรู้สึกเจ็บปวดเยอะจัง เจ็บถึงม้ามเลยค่ะ ทำไมน้า ทำไมหว่า คิดไม่ออกก็ช่างมันเถอะเนาะ...หนูลืมง่าย เดี๋ยวก็ลืมแล้ว ได้ช่วยเจ๊ ยังไงก็กำไรชีวิตมากกว่า...
ปล.ฉบับนี้หนูไม่เยินยออะไรเจ๊มากนะคะ ก็รู้ๆกันอยู่แล้ว ว่าเจ๊ก็เหมือนดาวบนท้องฟ้า ถึงมองไม่เห็นตลอดเวลา แต่ก็รู้ว่ามีดาวอยู่ เจ๊ของหนู...สดใสไฉไล ไม่สามารถลืมเลือนได้อยู่แล้น วันนี้หนูง่วง ขอไปนอนก่อนน้า แล้ววันหลังจะเขียนมาเม้ามอยใหม่...โอยะซุมินาไซค่ะ...
หนูนาคารูแย้ แพ้ข่าวลือทั้งปวงอีกต่างหาก...
17 มีนาคม 2555

ไม่อยากให้ถึงเวลา...
“พ่อกูเสียแล้ว หัวใจล้มเหลว ตั้งศพคืนสุดท้ายวันนี้ (ขอโทษที่เพิ่งบอก) พรุ่งนี้เผา ไม่ต้องห่วงกู กู OK”
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้รับข้อความนี้จากเพื่อนคนสนิท นี่เป็นครั้งที่ 4 แล้ว นับจากปีที่แล้ว ที่พ่อเพื่อนทยอยเสียลง...อย่างซ่อมไม่ได้อีกต่อไป คงเป็นสัญญาณหนึ่งของความเป็นผู้ใหญ่ล่ะมั้ง ที่ต้องรับมือกับสถานการณ์ต่างๆที่แวะเวียนเอาความทุกข์มาสุมกบาลเรา ราวกับว่าถ้ามันว่างอยู่เฉยๆ แล้วมันจะขึ้นราอย่างงั้นแหล่ะ
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว พ่อเพื่อนสนิทคนแรกเสียที่สมุทรปราการด้วยภาวะน้ำท่วมปอดหลังหายจากโรคมะเร็งร้าย เราก็ไปอยู่ช่วยงานเล็กๆน้อยๆ ในงานศพตามแต่จะสามารถ เวลานับปีก่อนเสีย เพื่อนเล่าให้ฟังว่า พ่อมันเป็นมะเร็งที่ผิวหนัง ที่บ้านซึ่งประกอบไปด้วยพ่อ แม่ ตัวมันและพี่สาว ต้องตัดสินใจเลือกทางเดินที่จะรักษาตลอดเวลา จะต้องทำยังไง ควรใช้การรักษาแผนปัจจุบันหรือแผนโบราณ ชั่งข้อดีข้อเสีย มีทางแพร่งให้เลือกเสมอในแต่ละวัน และทุกทางมีความเสี่ยง และบังคับเค้าให้ต้องตัดสินใจ จะมีอะไรอยู่ข้างหน้าก็ไม่รู้
ครอบครัวเค้าเลือกที่จะไม่ให้พ่อต้องทรมานจากการรับคีโม เลยยอมรับความเสี่ยงไปหันหน้าไปรักษาแบบแผนโบราณคือการกินยาหม้อ ซึ่งสวนทางกับแผนปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง พูดง่ายๆ ก็คือ พาพ่อหนีหมอจากโรงพยาบาล อย่าให้หมอรู้ตัว ไปรักษาอยู่ต่างจังหวัด ความเชื่อมั่นคือคำล่ำลือที่เค้าแนะนำมา จนเมื่อเนื้อร้ายเบ่งบานถึงขีดสุด ก็ได้รับคำแนะนำจากสถานรักษานั้นว่า ให้พาไปผ่าออกได้แล้ว
เพื่อนพาพ่อกลับมาผ่าตัดที่โรงพยาบาล และหนีอีกครั้ง เพื่อใช้สมุนไพรรักษาทาแผลหลังผ่าตัด และกินยาหม้อของสำนักเดิม เมื่อกลับไปตรวจหาเชื้อที่โรงพยาบาลอีกหลายครั้ง หมอก็ไม่เจอเชื้อมะเร็งแล้ว มันบอกว่า หมองง แต่หลังจากนั้นอีกไม่นาน พ่อมันก็โดนภาวะน้ำท่วมปอด ซึ่งมักเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคมะเร็ง หลังจากครอบครัวพยายามยื้อยุดฉุดระหว่างความเป็นกับความตายมาหลายครั้ง พ่อเพื่อนก็เสียไปอย่างสงบ
เราพยายามไปร่วมงานหลายครั้ง ไหว้พ่อส่งท้าย ขอบคุณที่กรุณาเราผู้เป็นเพื่อน ขอบคุณที่อุตส่าห์ชมเราตอนที่เราบอกความคิดที่จะซื้อหวยเลขเดียวเพื่อพิสูจน์ดวงตัวเอง พ่อชมว่าเลขสวยนะ ตั้งแต่พ่อชม เกือบ 10 ปีผ่านไป ยังไม่เคยถูกหวยซักรอบเลย ฮือๆๆ...ขอให้พ่อไปสู่สุคติ คนดีๆ ธรรมะธรรมโมอย่างพ่อ ถ้าชาติหน้ามีจริงๆ พ่อต้องได้เกิดที่ดีๆเป็นแน่แท้ หลังจากปั้นคำป้อยอทั้งหมดแล้ว เราก็แถมว่า ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ก่อนพ่อไป...ช่วยกรุณาให้นุ้ยถูกหวยหน่อยได้มั้ย แล้วเราก็เอาตัวเลขอายุพ่อมันไปซื้อหวย สุดท้ายธรรมชาติก็ไม่ปราณีคนลามปามเช่นเรา ยังคงต้องลิ้มรสความผิดหวัง ไม่ถูกหวยเหมือนเดิม
ไม่อยากบอกว่าหลังจากนั้น 2 งวด...(ซึ่งเราเลิกซื้อเลขนี้ซะแล้ว) เลขอายุที่ว่า ออกทั้งบนและล่าง ถ้าเพียงแต่เราอดทนและรอคอยซักหน่อยล่ะก็...ไม่งั้นล่ะก็...ไม่ได้เข้าใจเล้ย ว่าพ่อเพื่อนกำลังเข้าคิวล็อคเลขของตัวเองอยู่ อยากขอบคุณอีกครั้งที่พ่อกรุณา ผิดที่เรามันโง่ไปเอง อยากจะเขกกบาลตัวเองนัก
หนึ่งเดือนผ่านไป เดือนมีนาคม พ่อเพื่อนคนที่สองตามมาติดๆ เป็นเพื่อนสนิทในกลุ่ม สมัยเรียนอยู่ขอนแก่น ชื่อตู่ พอดีที่บ้านมีกิจการค้าขาย ก็เลยใช้ชีวิตต่อยอดอยู่ที่บ้าน หลังจากลองมาใช้ชีวิตเป็นลูกจ้างอยู่เมืองกรุงพักหนึ่งแล้วพบว่าไม่เวิร์ค เพื่อนคนแรกและคนที่สองไม่รู้จักกัน พวกมันมาเกี่ยวข้องกับชีวิตเราคนละช่วง แต่พ่อเพื่อนคนนี้ก็เสียด้วยภาวะน้ำท่วมปอดในขณะที่เป็นมะเร็งนั่นเอง
ย้อนเหตุการณ์ไปก่อนหน้านั้นอีกหลายเดือน เพื่อนโทรมา
“ฮัลโหล” มันทัก
“เออ...ฮัลโหล” เราตอบ
“มึงทำอะไรอยู่”
“ดูทีวี ถามทำไม แล้วมึงอยู่ไหนเนี่ย จะโทร.มาแกลเงอะไรกูอีก” เราก็ถามมันไปงั้นๆ
“อยู่โรงพยาบาลราชวิถี” มันพยายามทำเสียงปกติ
“ไปทำเหี้ยอะไรอยู่ที่นั่นวะ”
“พ่อกูป่วย เป็นมะเร็ง มึงไม่รู้เหรอ” อ้าว...เหวอแดกไปเลย
“ไม่รู้สิวะ กูจะรู้ได้ไง ไม่ใช่พ่อกูนะ แล้วมึงบอกใครบ้างล่ะ” ยังจะหน้าด้านไปพูดเล่นกับเค้าอีก
“ไม่ได้บอกใครเลย” มันตอบกลับมา
“เออไง...ก็ถูกแล้วที่กูไม่รู้ ถ้ากูรู้สิแปลก” เราพยายามแก้ตัว จะได้แสดงความเป็นห่วงต่อไป
“ใช่ซี้...พ่อกูนี่ (ลากเสียงยาวๆ) ไม่ใช่พ่อมึง มึงเคยห่วงใยพ่อกูบ้างมั้ย เคยโทร.มามั้ย เคยถามถึงมั้ย พ่อกูป่วย พ่อกูจะเป็นยังไงก็ช่างใช่มั้ยล่ะ”...โอ๊ะ...นี่แน่ๆเลย สิ่งที่มันต้องการ ขอด่าเพื่อนซักคนระบายความในใจ พ่อป่วย แต่โทษเพื่อน กูทำอะไรผิดหรือนี่
“มึงอยู่ราชวิถีแน่นะ เดี๋ยววันนี้กูไปเยี่ยม รอเลยนะมึง พ่อมึงกินอะไรได้มั้ย เอาอะไรมั้ย” เราพยายามอย่างสุดๆ ที่จะอยู่ข้างเพื่อนและไม่ด่าอะไรมัน
“พ่อกูไม่อยากกิน แต่กูอยาก...อยากกินขนมอะไรก็ได้ ขนมเมืองนอกนะมึง เมืองไทยกูไม่กิน” ทั้งๆที่พ่อป่วย แต่ก็ยังพยายามจะกวนตีนเพื่อนให้ได้
“เออๆ...มึงรอเลย เดี๋ยวบ่ายๆ กูไป” และแล้วก็จบการสนทนาอันงงงวยลงได้
ตู่...หรือเรียกให้ถูก ต้องเรียกว่า “บักตู่” ตามแบบฉบับคนอีสานเรียกเพื่อน เพื่อนผู้ชาย มีสรรพนามนำหน้าว่า “บัก” ทุกคน บักตู่เป็นเพื่อนอันดับต้นๆ ถ้าเรียงลำดับตามความกวนตีน ครั้งหนึ่งที่มันเคยไปบวชพระเป็นเดือน โดยที่ไม่บอกเราก่อน มันโทร.มาหา แล้วแทนที่จะพูด “ฮาโหล” มันกลับพูดว่า “เจริญพร” ทำให้เรานึกว่ามันโทร.มาอำ วันนั้นเลยเป็นวันแรกที่ได้ด่าพระเปิดเปิง หาว่าเพื่อนมุขสูง เอาศาสนามาเล่น แผนสูงไปมั้ย ก่อนที่พระตู่จะพูดว่า “ตอนนี้อาตมาถือศีล มุสาไม่ได้นะโยม” เริ่มรู้สึกว่าน่าจะเป็นเรื่องจริง เราอึ้งและเงียบ หลังจากนั้นพระสวดมนต์ให้พรเรายาวๆ แทนที่จะมีสมาธิรับพร ในใจกลับว้าวุ่น รู้สึกผิดบาป เพื่อนนะเพื่อน ทำกันได้...
วันนั้นเราก็ไปบอกเพื่อนอีกคนในกลุ่ม เรื่องที่พ่อตู่นอนอยู่โรงพยาบาล เราไปซื้อของเยี่ยมกัน แต่เพื่อนไปเยี่ยมด้วยไม่ได้ เนื่องจากต้องอยู่บ้านดูแลลูก ตู่มันสั่งเราซื้อขนมเมืองนอก พวกเราเลยไปสอดส่องที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่างดี ท้ายที่สุดเราก็ได้ “ปักกิ่ง” และ “เซี่ยงไฮ้” ไปฝากมัน 2 ห่อ
พอไปถึง นอกจากพ่อที่นอนอยู่บนเตียงแล้ว ยังเจอแม่ที่นั่งอยู่กับมันด้วย พอมันอยู่ต่อหน้าแม่ มันก็ได้ทีจะเล่นเราให้แม่ตัวเองดู
“ไหนขนมกู”
“เอ่อ...มึง...ขนมเมืองนอกแท้ๆเลยนะ แต่มันของจีนนะ ไม่รู้มึงจะกินได้มั้ย”
“กินได้หมดแหล่ะ ขอให้เมืองนอกละกัน เมืองไทยไม่เอานะมึง” ยังจะเลือก
เราล้วงมือไปหยิบขนมในเป้ แล้วยืนให้ ผ่าง! ทั้งเซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง ตะลึง อึ้งกันไปทั้งครอบครัวเลยทีเดียว แต่หลังจากนั้น มันก็ด่าเราให้แม่ตัวเองฟังว่า
“ดูซิ ดูว่าเพื่อนคิดได้ยังไง มึงคิดว่านี่คืออะไร เอามาล้อเล่นเหรอ กูเพื่อนเล่นเหรอ แม่ดูไว้เลย ดูหน้ามันไว้ ว่ามันกวนตีนขนาดไหน........” พอมันโจมตีเราไม่เลิก เราก็เลยไหว้ก็ขออนุญาตแม่มันทีหนึ่ง ก่อนจะตบหัวกบาลมันแต่พอเบามือ พอให้รู้ว่า มึงหยุดประจานกูได้แล้วนะ
หลังจากพ่อเสีย ตู่เล่าให้ฟังว่า ตอนที่รู้ว่าพ่อเป็นมะเร็งและต้องรักษา ครอบครัวมันตัดสินใจให้พ่อรับคีโม หลายเดือนต่อมา อาการเหมือนจะดีขึ้น แต่หลังจากนั้นก็ทรุดหนัก แล้วสุดท้ายก็จากไป เราไปร่วมงานศพพ่อมันที่มหาสารคาม สารพันพวงหรีดรุมล้อมเต็มศาลา ด้วยความที่ที่บ้านค้าขาย รู้จักคนเยอะ และดูเหมือนเคยทำประโยชน์มาอะไรซักอย่างมาก่อน ก็เลยมีคนแสดงความอาลัยครั้งสุดท้ายอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
เราไปร่วมงาน เพื่อดูหน้าเพื่อนให้แน่ใจว่ามันโอเคมั้ย เขียนการ์ดไปให้ เพื่อเตือนสติให้ดูแลแม่ที่เหลืออยู่ให้ดีที่สุด ไปฟังเรื่องราว เผื่อมันอยากจะเล่าอะไร เอาหน้าไปให้มันกระแนะกระแหน เผื่อมันจะต้องการก็ไม่ว่าอะไร เพื่อนพยายามพูดตลกทั้งๆที่ตัวเองเศร้ามากๆ เราก็ทำหน้าที่แค่ไปนั่งฟัง ไม่ต้องทำอะไร พยายามพูดอะไรพล่อยๆ ตามประสา เพื่อให้ผ่อนความทุกข์ แค่ระยะไม่กี่นาทีสั้นๆ ก็ทำได้แค่นั้นนี่เนาะ
หลังจากนั้น 1 เดือน ตอนเดือนเมษา เพื่อนในกลุ่มสิบกว่าคนนัดเจอกันที่ขอนแก่น ตอนกลางวันคุยกันเฮฮา กลางคืนมา พอเริ่มเมา มันนั่งพร่ำเพ้อเรื่องพ่อผู้เป็นที่รัก ในขณะกินเหล้า จนเพื่อนรอบวงฟังแล้วหลับแล้วตื่นแล้วหลับ คงจะร้าวมากเอาการ
เดือนธันวา ถึงตาของบักอ้วน อ้วนก็เป็นเพื่อนในกลุ่ม กลุ่มเดียวกันกับตู่นั่นแหล่ะ แถมมีความเหมือนตรงที่พ่อเป็นมะเร็งเหมือนกัน หลังจากเรียนจบ อ้วนใช้ชีวิตเป็นข้าราชการอยู่ที่นครสวรรค์ จะได้เจอกันก็นานๆที แต่ก็ยังเป็นเพื่อนที่เรานับเป็นเพื่อนสนิทอยู่ มันโทร.มาหาเรา เราแซวมันว่า นี่มึงโทร.มาผิดรึเปล่า แล้วก็พูดเล่นไปต่างๆนานา เพื่อที่จะจิกกัดเพื่อนทั้งที่ไม่ได้เห็นหน้า แต่มันกลับบอกว่า “พ่อกูเสียแล้วว่ะ” แล้วก็บอกว่า “ไม่ต้องมานะ กูไม่เป็นไร”
ไอ้คนที่โทร.มา โดยที่มีเรื่องเศร้ามากๆอยู่ในใจนี่ น่าจะพูดให้ได้ก่อนเรานะ พอรู้ตัวแล้วยินคำพูดพวกนี้ทีไร ความละอายมาเกาะเต็มใบหน้าไปหมดทุกที ช่างยากที่จะพูดอะไรออกมา แม้แต่คำว่าเสียใจ เราขอโทษมัน และก็คุยกันแบบอึ้งๆต่อ...แล้วยังไง ตอนนี้ยุ่งใช่มั้ย เผาวันไหน หลังจากวางสาย กลับมามองปฏิทินตัวเอง แล้วก็ลางานไปดูหน้ามันจะดีกว่า ชวนเพื่อนอีกคนไปด้วย เพื่อที่จะได้ช่วยกันระบายความทุกข์สั้นๆให้เพื่อนได้ นิดหน่อยก็ยังดี
มันเล่าให้ฟังถึงเรื่องตอนที่พ่อป่วย และบอกว่ามันควรได้รางวัลลูกกตัญญูด้วยซ้ำ ไม่ได้บอกมันไปว่า “ก็ให้แม่ (มึง) เป็นคนมอบสิ” เพราะรู้ว่าการพูดเล่นในงานศพนั้น มันออกจะจำกัดจำเขี่ยอยู่ ทำได้แค่พอหอมปากหอมคอเท่านั้น วันนั้นมันทำอะไรผิด เป็นที่ขัดใจขัดหูขัดตาเรา เราก็ละเว้นไว้ ไม่ด่ามันซักคำ นับเป็นเพื่อนที่สงบเสงี่ยมเกือบรู้กาลเทศะดีมาก
อ้วนบวชหน้าไฟให้พ่อ เป็นการบวชครึ่งวันช่วงบ่าย และมันใช้สรรพนามเรียกโยมอย่างเราว่า “มึง” ก็เลยเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เราเรียกพระว่า “มึง” เช่นกัน นรกจะกินกบาลมั้ยก็ไม่รู้ แถมมันยังบ่นว่า ใส่จีวรเดินยาก ไม่ได้ใส่กางเกงใน เวลาเดินไข่มันเสียดสีกัน นั่งหัวเราะ เพราะว่าสัญญากับตัวเองไว้ ว่าเราจะไม่ด่ามันเด็ดขาด ได้แต่ไม่เข้าใจว่า กูจะเข้าใจมึงได้ยังไง แล้วมันเป็นเรื่องที่ต้องบ่นให้เพื่อนฟังมั้ย โดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิงอย่างกูและเพื่อนที่ไปด้วยรวมเป็น 2 คนถ้วน ที่ในชีวิตนี้...ไม่เคยมีไข่ให้เสียดสีกันเลย
ตอนพระเทศน์ พระท่านเทศน์ว่า การมาวัดที่พระท่านเห็นว่าเป็นประโยชน์และดีที่สุดคือการมาร่วมงานศพ เพราะทำให้เราเห็นสัจธรรม เห็นความจริงที่ว่า คนเราเกิดมายังไงก็ต้องตาย เราทุกคนต่างต้องการแสวงหา บ้างแสวงหาเงิน คิดว่าเงินให้ได้ทุกอย่าง บางทีมีเงินแล้วก็ยังแสวงหาอำนาจ บางคนก็ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา โดยลืมไปว่าสุดท้ายตอนตายก็เอาไปไม่ได้สักอย่าง ต่อให้รวยเป็นเศรษฐีขนาดไหน แม้แต่ร่างกายเนื้อหนังยังเอาไปไม่ได้เลย พอทุกคนเห็นความจริงแล้ว จะได้รู้จักปลง ไม่ยึดติด ทำตัวให้ดี และมีประโยชน์ พอตายจะได้มีคนนึกถึง เราซึ้งว่ะ...
ในพิธีเผา พ่อมันได้รับพระราชทานเพลิงศพด้วยคุณความดีจากอะไรซักอย่างด้วย พ่ออ้วนเรียนจบจากแม่โจ้ ก่อนจะเผา มีเพื่อนๆพี่ๆน้องๆลูกแม่โจ้ มายืนล้อมจับมือกันที่หน้าเมรุ เพื่อร้องเพลงลา เป็นเพลงที่โศกมาก ฟังไม่ออก แต่น้ำตาไหล มารู้ที่หลังว่า ชื่อเพลงเกษตรลา เอาไว้ร้องส่งกัน (ที่รู้เพราะไปเล่าให้น้องชายฟัง น้องชายก็เรียนเกษตร แต่เรียนที่ม.ขอนแก่น เป็นเพลงที่คณะเกษตรใช้กันหมดล่ะมั้ง) นอกจากน้ำตาไหลแล้วก็ขนลุกด้วย
จบจากพิธีเผา เราบอกมันว่าจะรีบกลับ แต่มันตื๊อ บอกว่าให้อยู่กินข้าวกับลูกและเมียและแม่มันก่อน แม่พาเราและเพื่อนไปเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี กินปลาอร่อยมาก เราเผาอ้วนให้แม่มันฟัง หัวเราะสนุกสนานกันได้พักใหญ่ ไปส่งแม่กลับบ้าน แม่ขาไม่ค่อยดีเป็นโรคกระดูก เดินลำบาก เราก็บอกว่า ให้มันดูแลแม่ให้ดีๆ เหมือนที่เค้าดูแลมึงมา เมื่อก่อนเรากับเพื่อนๆ ชอบกระแนะกระแหนมันว่า มันเป็นลูกที่โชคดีมาก ที่มีแม่ตามเอาใจใส่ สมัยอยู่มหาลัย แม่คอยไปเยี่ยมไม่ขาด หนาวมั้ย ใส่เสื้อกันหนาวรึเปล่า เป็นหวัดมั้ย แม้แต่ปากกาไฮไล้ท์ที่เอาไว้ขีดเน้นเนื้อหาบทเรียน ให้มันโดดเด้งออกมาเข้าลูกกะตาได้ง่ายๆ แม่มันก็คอยส่งมาให้ ที่เราพูดกันเต็มๆก็คือ “มึงเป็นลูกที่โชคดีมาก ที่มีแม่อย่างแม่มึง ส่วนแม่มึงเป็นแม่ที่โชคร้ายมาก ที่มีลูกอย่างมึง” แต่เราไม่ได้เล่าให้แม่มันฟังหรอก เพราะดูจะเป็นการทำร้ายจิตใจผู้ใหญ่จนเกินไป ก่อนกลับคืนนั้นได้แต่บอกมันว่า ถึงตอนนี้ มึงก็ต้องดูแลแม่ให้ดีๆคืนแล้ว เป็นช่วง “เอาคืน” ของแม่ ต้องทำให้ดีเข้าไว้
หลังจากไปงานศพพ่ออ้วนแล้ว ได้คุยกับตู่
ตู่ถามเราว่า “ไปงานศพพ่อบักอ้วน สนุกมั้ย”
เราตอบมันไปว่า “ไม่หรอก งานศพพ่อมึงสนุกกว่า เลวววว...กูเพื่อนเล่นเหรอ”
ล่าสุดของข่าวการเสียบุพการีของเพื่อน ก็คือเพื่อนที่พูดถึงที่บรรทัดข้างบนสุด เป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มเดียวกับตู่และอ้วน ทำงานและใช้ชีวิตอยู่ที่หนองคายและอุดรธานี แต่ครั้งนี้ เราติดธุระก็เลยไปร่วมงานไม่ได้จริงๆ นอกจากรู้สึกเสียใจกับมันแล้ว ก็เสียใจกับตัวเองด้วย ที่ไม่ได้ไปอยู่ใกล้ๆ เวลาที่เพื่อนเป็นทุกข์ ไม่ได้ไปเจอหน้า ไปคอยแหย่ คอยพูดจาไร้สาระ ไร้กาลเทศะอยู่ข้างๆ จะได้รู้ว่า สภาพเพื่อนไม่เป็นไรแล้วจริงๆอย่างที่มันว่า ก็ได้แต่คิดถึงอยู่ห่างๆเท่านั้นเอง
เรื่องอย่างงี้ คิดไม่ออกเลยว่า วันหนึ่งถ้ามาถึงตาเรา เราจะรับมือกับมันได้ยังไง อะไรๆมันก็ไม่มีความยั่งยืน โดยเฉพาะความผูกพันกับชีวิตไหนๆ เราคงทำได้แค่พยายามทำให้ดีที่สุดล่ะมั้ง สำหรับเรา งานที่เราทำอยู่ ทำให้ไม่ได้อยู่บ้าน เราตะเกียกตะกายตั้งเยอะ กว่าจะได้ทำงานอย่างงี้ ซึ่งก็ตอบไม่ได้เลยว่ามันดียังไง เราไม่ได้เกลียดงานตัวเองหรอก แต่มันทำให้เราไม่ได้อยู่กับพ่อ-แม่เท่านั้นเอง สิ่งที่ทำได้ก็คือ โทร.หาเค้าทุกวัน กินข้าวยัง ทำอะไรกิน อากาศที่บ้านเป็นไง ดูแลตัวเองด้วยล่ะ คำถามซ้ำเดิมที่จะต้องถามทุกวัน แล้วก็เล่าเรื่องที่เราทำให้เค้าฟัง เว้นเรื่องงาน
เราพยายามกลับบ้านเกือบทุกเดือน ไปให้พ่อ-แม่ได้เห็นหน้า โดยอ้างว่าไม่ไปไม่ได้หรอก เดี๋ยวจะลืมหน้าลูก หาที่ไหนไม่แล้วนะเว้ย หน้าอย่างงี้ ทำกับข้าวให้เค้ากิน ทั้งๆที่อยู่คนเดียวก็ไม่ทำนะ ทำอะไรไม่ค่อยเป็นหรอก พยายามลองทำ ให้พ่อ-แม่เป็นหนูลองยา บังคับกิน แม่กลัวเราเหนื่อย (หรือกลัวไม่อร่อยไม่รู้) เราพูดเล่นๆบอกเค้าไปว่า ไม่ต้องห่วง ไม่เหนื่อยเลย ชอบ...ทำให้กินตอนนี้ดีกว่า พอวันหนึ่งจากกันไป แล้วลูกต้องไปเคาะหลุม เคาะโลงบอกให้มากินเหมือนที่ใครๆเค้าทำกัน แค่นั้นน่ะไม่พอหรอก มันจะเป็นลูกที่ใช้ได้ที่ไหน แล้วแม่ทำกับข้าวเก่งๆ ก็สอนด้วย จะทำให้กินจนตายได้หรือไง เราต้องพยายามทำให้ดี วันที่เสียใจจะได้เสียใจไม่มากไง...นี่แหล่ะคำพูดที่ใช้พูดกับบุพการีอันเป็นที่รักอย่างมากมาย
เราไม่รู้หรอกว่าวันมืดๆวันนั้นของเรา มันจะมาถึงเมื่อไหร่ ถึงไม่อยากเจอขนาดไหน แต่มันก็คงมาเยี่ยมเราเข้าซักวันอยู่ดี คงเป็นวันที่ผ่านได้ยากที่สุดในชีวิต ตอนนี้สิ่งที่ทำได้อีกอย่าง คือพยายามใช้ชีวิตให้ดี เพื่อที่เราจะได้เป็นคนส่งเค้า ไม่ใช่ให้เค้ามาส่งเรา พยายามให้เค้ารู้ว่าลูกเค้าก็มีคุณภาพนะ ไม่เป็นภาระสังคม คิดให้ดี ทำให้ดี...(แต่มันก็ทำไม่ได้ทุกขณะจิตหรอก มีขึ้น มีลง เป็นธรรมชาติ...หรือเป็นข้ออ้างก็ไม่รู้เหมือนกัน)
จะว่าไป...โลกนี้ จะท้องฟ้าหรือดวงดาว กระทั่งข้าวที่ตักเข้าปาก ก็เค้าทั้งนั้นแหล่ะที่สอนให้เรารู้จัก และให้เราอยากเริ่มต้นค้นหา คิดไปคิดมาไม่ว่ายังไง ก็ไม่อยากให้ถึงเวลานั้นอยู่ดี...
It’s me…
ก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าตัวเองมีเวลาเหลืออยู่เท่าไหร่
9 มีนาคม 2555
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้รับข้อความนี้จากเพื่อนคนสนิท นี่เป็นครั้งที่ 4 แล้ว นับจากปีที่แล้ว ที่พ่อเพื่อนทยอยเสียลง...อย่างซ่อมไม่ได้อีกต่อไป คงเป็นสัญญาณหนึ่งของความเป็นผู้ใหญ่ล่ะมั้ง ที่ต้องรับมือกับสถานการณ์ต่างๆที่แวะเวียนเอาความทุกข์มาสุมกบาลเรา ราวกับว่าถ้ามันว่างอยู่เฉยๆ แล้วมันจะขึ้นราอย่างงั้นแหล่ะ
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว พ่อเพื่อนสนิทคนแรกเสียที่สมุทรปราการด้วยภาวะน้ำท่วมปอดหลังหายจากโรคมะเร็งร้าย เราก็ไปอยู่ช่วยงานเล็กๆน้อยๆ ในงานศพตามแต่จะสามารถ เวลานับปีก่อนเสีย เพื่อนเล่าให้ฟังว่า พ่อมันเป็นมะเร็งที่ผิวหนัง ที่บ้านซึ่งประกอบไปด้วยพ่อ แม่ ตัวมันและพี่สาว ต้องตัดสินใจเลือกทางเดินที่จะรักษาตลอดเวลา จะต้องทำยังไง ควรใช้การรักษาแผนปัจจุบันหรือแผนโบราณ ชั่งข้อดีข้อเสีย มีทางแพร่งให้เลือกเสมอในแต่ละวัน และทุกทางมีความเสี่ยง และบังคับเค้าให้ต้องตัดสินใจ จะมีอะไรอยู่ข้างหน้าก็ไม่รู้
ครอบครัวเค้าเลือกที่จะไม่ให้พ่อต้องทรมานจากการรับคีโม เลยยอมรับความเสี่ยงไปหันหน้าไปรักษาแบบแผนโบราณคือการกินยาหม้อ ซึ่งสวนทางกับแผนปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง พูดง่ายๆ ก็คือ พาพ่อหนีหมอจากโรงพยาบาล อย่าให้หมอรู้ตัว ไปรักษาอยู่ต่างจังหวัด ความเชื่อมั่นคือคำล่ำลือที่เค้าแนะนำมา จนเมื่อเนื้อร้ายเบ่งบานถึงขีดสุด ก็ได้รับคำแนะนำจากสถานรักษานั้นว่า ให้พาไปผ่าออกได้แล้ว
เพื่อนพาพ่อกลับมาผ่าตัดที่โรงพยาบาล และหนีอีกครั้ง เพื่อใช้สมุนไพรรักษาทาแผลหลังผ่าตัด และกินยาหม้อของสำนักเดิม เมื่อกลับไปตรวจหาเชื้อที่โรงพยาบาลอีกหลายครั้ง หมอก็ไม่เจอเชื้อมะเร็งแล้ว มันบอกว่า หมองง แต่หลังจากนั้นอีกไม่นาน พ่อมันก็โดนภาวะน้ำท่วมปอด ซึ่งมักเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคมะเร็ง หลังจากครอบครัวพยายามยื้อยุดฉุดระหว่างความเป็นกับความตายมาหลายครั้ง พ่อเพื่อนก็เสียไปอย่างสงบ
เราพยายามไปร่วมงานหลายครั้ง ไหว้พ่อส่งท้าย ขอบคุณที่กรุณาเราผู้เป็นเพื่อน ขอบคุณที่อุตส่าห์ชมเราตอนที่เราบอกความคิดที่จะซื้อหวยเลขเดียวเพื่อพิสูจน์ดวงตัวเอง พ่อชมว่าเลขสวยนะ ตั้งแต่พ่อชม เกือบ 10 ปีผ่านไป ยังไม่เคยถูกหวยซักรอบเลย ฮือๆๆ...ขอให้พ่อไปสู่สุคติ คนดีๆ ธรรมะธรรมโมอย่างพ่อ ถ้าชาติหน้ามีจริงๆ พ่อต้องได้เกิดที่ดีๆเป็นแน่แท้ หลังจากปั้นคำป้อยอทั้งหมดแล้ว เราก็แถมว่า ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ก่อนพ่อไป...ช่วยกรุณาให้นุ้ยถูกหวยหน่อยได้มั้ย แล้วเราก็เอาตัวเลขอายุพ่อมันไปซื้อหวย สุดท้ายธรรมชาติก็ไม่ปราณีคนลามปามเช่นเรา ยังคงต้องลิ้มรสความผิดหวัง ไม่ถูกหวยเหมือนเดิม
ไม่อยากบอกว่าหลังจากนั้น 2 งวด...(ซึ่งเราเลิกซื้อเลขนี้ซะแล้ว) เลขอายุที่ว่า ออกทั้งบนและล่าง ถ้าเพียงแต่เราอดทนและรอคอยซักหน่อยล่ะก็...ไม่งั้นล่ะก็...ไม่ได้เข้าใจเล้ย ว่าพ่อเพื่อนกำลังเข้าคิวล็อคเลขของตัวเองอยู่ อยากขอบคุณอีกครั้งที่พ่อกรุณา ผิดที่เรามันโง่ไปเอง อยากจะเขกกบาลตัวเองนัก
หนึ่งเดือนผ่านไป เดือนมีนาคม พ่อเพื่อนคนที่สองตามมาติดๆ เป็นเพื่อนสนิทในกลุ่ม สมัยเรียนอยู่ขอนแก่น ชื่อตู่ พอดีที่บ้านมีกิจการค้าขาย ก็เลยใช้ชีวิตต่อยอดอยู่ที่บ้าน หลังจากลองมาใช้ชีวิตเป็นลูกจ้างอยู่เมืองกรุงพักหนึ่งแล้วพบว่าไม่เวิร์ค เพื่อนคนแรกและคนที่สองไม่รู้จักกัน พวกมันมาเกี่ยวข้องกับชีวิตเราคนละช่วง แต่พ่อเพื่อนคนนี้ก็เสียด้วยภาวะน้ำท่วมปอดในขณะที่เป็นมะเร็งนั่นเอง
ย้อนเหตุการณ์ไปก่อนหน้านั้นอีกหลายเดือน เพื่อนโทรมา
“ฮัลโหล” มันทัก
“เออ...ฮัลโหล” เราตอบ
“มึงทำอะไรอยู่”
“ดูทีวี ถามทำไม แล้วมึงอยู่ไหนเนี่ย จะโทร.มาแกลเงอะไรกูอีก” เราก็ถามมันไปงั้นๆ
“อยู่โรงพยาบาลราชวิถี” มันพยายามทำเสียงปกติ
“ไปทำเหี้ยอะไรอยู่ที่นั่นวะ”
“พ่อกูป่วย เป็นมะเร็ง มึงไม่รู้เหรอ” อ้าว...เหวอแดกไปเลย
“ไม่รู้สิวะ กูจะรู้ได้ไง ไม่ใช่พ่อกูนะ แล้วมึงบอกใครบ้างล่ะ” ยังจะหน้าด้านไปพูดเล่นกับเค้าอีก
“ไม่ได้บอกใครเลย” มันตอบกลับมา
“เออไง...ก็ถูกแล้วที่กูไม่รู้ ถ้ากูรู้สิแปลก” เราพยายามแก้ตัว จะได้แสดงความเป็นห่วงต่อไป
“ใช่ซี้...พ่อกูนี่ (ลากเสียงยาวๆ) ไม่ใช่พ่อมึง มึงเคยห่วงใยพ่อกูบ้างมั้ย เคยโทร.มามั้ย เคยถามถึงมั้ย พ่อกูป่วย พ่อกูจะเป็นยังไงก็ช่างใช่มั้ยล่ะ”...โอ๊ะ...นี่แน่ๆเลย สิ่งที่มันต้องการ ขอด่าเพื่อนซักคนระบายความในใจ พ่อป่วย แต่โทษเพื่อน กูทำอะไรผิดหรือนี่
“มึงอยู่ราชวิถีแน่นะ เดี๋ยววันนี้กูไปเยี่ยม รอเลยนะมึง พ่อมึงกินอะไรได้มั้ย เอาอะไรมั้ย” เราพยายามอย่างสุดๆ ที่จะอยู่ข้างเพื่อนและไม่ด่าอะไรมัน
“พ่อกูไม่อยากกิน แต่กูอยาก...อยากกินขนมอะไรก็ได้ ขนมเมืองนอกนะมึง เมืองไทยกูไม่กิน” ทั้งๆที่พ่อป่วย แต่ก็ยังพยายามจะกวนตีนเพื่อนให้ได้
“เออๆ...มึงรอเลย เดี๋ยวบ่ายๆ กูไป” และแล้วก็จบการสนทนาอันงงงวยลงได้
ตู่...หรือเรียกให้ถูก ต้องเรียกว่า “บักตู่” ตามแบบฉบับคนอีสานเรียกเพื่อน เพื่อนผู้ชาย มีสรรพนามนำหน้าว่า “บัก” ทุกคน บักตู่เป็นเพื่อนอันดับต้นๆ ถ้าเรียงลำดับตามความกวนตีน ครั้งหนึ่งที่มันเคยไปบวชพระเป็นเดือน โดยที่ไม่บอกเราก่อน มันโทร.มาหา แล้วแทนที่จะพูด “ฮาโหล” มันกลับพูดว่า “เจริญพร” ทำให้เรานึกว่ามันโทร.มาอำ วันนั้นเลยเป็นวันแรกที่ได้ด่าพระเปิดเปิง หาว่าเพื่อนมุขสูง เอาศาสนามาเล่น แผนสูงไปมั้ย ก่อนที่พระตู่จะพูดว่า “ตอนนี้อาตมาถือศีล มุสาไม่ได้นะโยม” เริ่มรู้สึกว่าน่าจะเป็นเรื่องจริง เราอึ้งและเงียบ หลังจากนั้นพระสวดมนต์ให้พรเรายาวๆ แทนที่จะมีสมาธิรับพร ในใจกลับว้าวุ่น รู้สึกผิดบาป เพื่อนนะเพื่อน ทำกันได้...
วันนั้นเราก็ไปบอกเพื่อนอีกคนในกลุ่ม เรื่องที่พ่อตู่นอนอยู่โรงพยาบาล เราไปซื้อของเยี่ยมกัน แต่เพื่อนไปเยี่ยมด้วยไม่ได้ เนื่องจากต้องอยู่บ้านดูแลลูก ตู่มันสั่งเราซื้อขนมเมืองนอก พวกเราเลยไปสอดส่องที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่างดี ท้ายที่สุดเราก็ได้ “ปักกิ่ง” และ “เซี่ยงไฮ้” ไปฝากมัน 2 ห่อ
พอไปถึง นอกจากพ่อที่นอนอยู่บนเตียงแล้ว ยังเจอแม่ที่นั่งอยู่กับมันด้วย พอมันอยู่ต่อหน้าแม่ มันก็ได้ทีจะเล่นเราให้แม่ตัวเองดู
“ไหนขนมกู”
“เอ่อ...มึง...ขนมเมืองนอกแท้ๆเลยนะ แต่มันของจีนนะ ไม่รู้มึงจะกินได้มั้ย”
“กินได้หมดแหล่ะ ขอให้เมืองนอกละกัน เมืองไทยไม่เอานะมึง” ยังจะเลือก
เราล้วงมือไปหยิบขนมในเป้ แล้วยืนให้ ผ่าง! ทั้งเซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง ตะลึง อึ้งกันไปทั้งครอบครัวเลยทีเดียว แต่หลังจากนั้น มันก็ด่าเราให้แม่ตัวเองฟังว่า
“ดูซิ ดูว่าเพื่อนคิดได้ยังไง มึงคิดว่านี่คืออะไร เอามาล้อเล่นเหรอ กูเพื่อนเล่นเหรอ แม่ดูไว้เลย ดูหน้ามันไว้ ว่ามันกวนตีนขนาดไหน........” พอมันโจมตีเราไม่เลิก เราก็เลยไหว้ก็ขออนุญาตแม่มันทีหนึ่ง ก่อนจะตบหัวกบาลมันแต่พอเบามือ พอให้รู้ว่า มึงหยุดประจานกูได้แล้วนะ
หลังจากพ่อเสีย ตู่เล่าให้ฟังว่า ตอนที่รู้ว่าพ่อเป็นมะเร็งและต้องรักษา ครอบครัวมันตัดสินใจให้พ่อรับคีโม หลายเดือนต่อมา อาการเหมือนจะดีขึ้น แต่หลังจากนั้นก็ทรุดหนัก แล้วสุดท้ายก็จากไป เราไปร่วมงานศพพ่อมันที่มหาสารคาม สารพันพวงหรีดรุมล้อมเต็มศาลา ด้วยความที่ที่บ้านค้าขาย รู้จักคนเยอะ และดูเหมือนเคยทำประโยชน์มาอะไรซักอย่างมาก่อน ก็เลยมีคนแสดงความอาลัยครั้งสุดท้ายอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
เราไปร่วมงาน เพื่อดูหน้าเพื่อนให้แน่ใจว่ามันโอเคมั้ย เขียนการ์ดไปให้ เพื่อเตือนสติให้ดูแลแม่ที่เหลืออยู่ให้ดีที่สุด ไปฟังเรื่องราว เผื่อมันอยากจะเล่าอะไร เอาหน้าไปให้มันกระแนะกระแหน เผื่อมันจะต้องการก็ไม่ว่าอะไร เพื่อนพยายามพูดตลกทั้งๆที่ตัวเองเศร้ามากๆ เราก็ทำหน้าที่แค่ไปนั่งฟัง ไม่ต้องทำอะไร พยายามพูดอะไรพล่อยๆ ตามประสา เพื่อให้ผ่อนความทุกข์ แค่ระยะไม่กี่นาทีสั้นๆ ก็ทำได้แค่นั้นนี่เนาะ
หลังจากนั้น 1 เดือน ตอนเดือนเมษา เพื่อนในกลุ่มสิบกว่าคนนัดเจอกันที่ขอนแก่น ตอนกลางวันคุยกันเฮฮา กลางคืนมา พอเริ่มเมา มันนั่งพร่ำเพ้อเรื่องพ่อผู้เป็นที่รัก ในขณะกินเหล้า จนเพื่อนรอบวงฟังแล้วหลับแล้วตื่นแล้วหลับ คงจะร้าวมากเอาการ
เดือนธันวา ถึงตาของบักอ้วน อ้วนก็เป็นเพื่อนในกลุ่ม กลุ่มเดียวกันกับตู่นั่นแหล่ะ แถมมีความเหมือนตรงที่พ่อเป็นมะเร็งเหมือนกัน หลังจากเรียนจบ อ้วนใช้ชีวิตเป็นข้าราชการอยู่ที่นครสวรรค์ จะได้เจอกันก็นานๆที แต่ก็ยังเป็นเพื่อนที่เรานับเป็นเพื่อนสนิทอยู่ มันโทร.มาหาเรา เราแซวมันว่า นี่มึงโทร.มาผิดรึเปล่า แล้วก็พูดเล่นไปต่างๆนานา เพื่อที่จะจิกกัดเพื่อนทั้งที่ไม่ได้เห็นหน้า แต่มันกลับบอกว่า “พ่อกูเสียแล้วว่ะ” แล้วก็บอกว่า “ไม่ต้องมานะ กูไม่เป็นไร”
ไอ้คนที่โทร.มา โดยที่มีเรื่องเศร้ามากๆอยู่ในใจนี่ น่าจะพูดให้ได้ก่อนเรานะ พอรู้ตัวแล้วยินคำพูดพวกนี้ทีไร ความละอายมาเกาะเต็มใบหน้าไปหมดทุกที ช่างยากที่จะพูดอะไรออกมา แม้แต่คำว่าเสียใจ เราขอโทษมัน และก็คุยกันแบบอึ้งๆต่อ...แล้วยังไง ตอนนี้ยุ่งใช่มั้ย เผาวันไหน หลังจากวางสาย กลับมามองปฏิทินตัวเอง แล้วก็ลางานไปดูหน้ามันจะดีกว่า ชวนเพื่อนอีกคนไปด้วย เพื่อที่จะได้ช่วยกันระบายความทุกข์สั้นๆให้เพื่อนได้ นิดหน่อยก็ยังดี
มันเล่าให้ฟังถึงเรื่องตอนที่พ่อป่วย และบอกว่ามันควรได้รางวัลลูกกตัญญูด้วยซ้ำ ไม่ได้บอกมันไปว่า “ก็ให้แม่ (มึง) เป็นคนมอบสิ” เพราะรู้ว่าการพูดเล่นในงานศพนั้น มันออกจะจำกัดจำเขี่ยอยู่ ทำได้แค่พอหอมปากหอมคอเท่านั้น วันนั้นมันทำอะไรผิด เป็นที่ขัดใจขัดหูขัดตาเรา เราก็ละเว้นไว้ ไม่ด่ามันซักคำ นับเป็นเพื่อนที่สงบเสงี่ยมเกือบรู้กาลเทศะดีมาก
อ้วนบวชหน้าไฟให้พ่อ เป็นการบวชครึ่งวันช่วงบ่าย และมันใช้สรรพนามเรียกโยมอย่างเราว่า “มึง” ก็เลยเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เราเรียกพระว่า “มึง” เช่นกัน นรกจะกินกบาลมั้ยก็ไม่รู้ แถมมันยังบ่นว่า ใส่จีวรเดินยาก ไม่ได้ใส่กางเกงใน เวลาเดินไข่มันเสียดสีกัน นั่งหัวเราะ เพราะว่าสัญญากับตัวเองไว้ ว่าเราจะไม่ด่ามันเด็ดขาด ได้แต่ไม่เข้าใจว่า กูจะเข้าใจมึงได้ยังไง แล้วมันเป็นเรื่องที่ต้องบ่นให้เพื่อนฟังมั้ย โดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิงอย่างกูและเพื่อนที่ไปด้วยรวมเป็น 2 คนถ้วน ที่ในชีวิตนี้...ไม่เคยมีไข่ให้เสียดสีกันเลย
ตอนพระเทศน์ พระท่านเทศน์ว่า การมาวัดที่พระท่านเห็นว่าเป็นประโยชน์และดีที่สุดคือการมาร่วมงานศพ เพราะทำให้เราเห็นสัจธรรม เห็นความจริงที่ว่า คนเราเกิดมายังไงก็ต้องตาย เราทุกคนต่างต้องการแสวงหา บ้างแสวงหาเงิน คิดว่าเงินให้ได้ทุกอย่าง บางทีมีเงินแล้วก็ยังแสวงหาอำนาจ บางคนก็ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา โดยลืมไปว่าสุดท้ายตอนตายก็เอาไปไม่ได้สักอย่าง ต่อให้รวยเป็นเศรษฐีขนาดไหน แม้แต่ร่างกายเนื้อหนังยังเอาไปไม่ได้เลย พอทุกคนเห็นความจริงแล้ว จะได้รู้จักปลง ไม่ยึดติด ทำตัวให้ดี และมีประโยชน์ พอตายจะได้มีคนนึกถึง เราซึ้งว่ะ...
ในพิธีเผา พ่อมันได้รับพระราชทานเพลิงศพด้วยคุณความดีจากอะไรซักอย่างด้วย พ่ออ้วนเรียนจบจากแม่โจ้ ก่อนจะเผา มีเพื่อนๆพี่ๆน้องๆลูกแม่โจ้ มายืนล้อมจับมือกันที่หน้าเมรุ เพื่อร้องเพลงลา เป็นเพลงที่โศกมาก ฟังไม่ออก แต่น้ำตาไหล มารู้ที่หลังว่า ชื่อเพลงเกษตรลา เอาไว้ร้องส่งกัน (ที่รู้เพราะไปเล่าให้น้องชายฟัง น้องชายก็เรียนเกษตร แต่เรียนที่ม.ขอนแก่น เป็นเพลงที่คณะเกษตรใช้กันหมดล่ะมั้ง) นอกจากน้ำตาไหลแล้วก็ขนลุกด้วย
จบจากพิธีเผา เราบอกมันว่าจะรีบกลับ แต่มันตื๊อ บอกว่าให้อยู่กินข้าวกับลูกและเมียและแม่มันก่อน แม่พาเราและเพื่อนไปเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี กินปลาอร่อยมาก เราเผาอ้วนให้แม่มันฟัง หัวเราะสนุกสนานกันได้พักใหญ่ ไปส่งแม่กลับบ้าน แม่ขาไม่ค่อยดีเป็นโรคกระดูก เดินลำบาก เราก็บอกว่า ให้มันดูแลแม่ให้ดีๆ เหมือนที่เค้าดูแลมึงมา เมื่อก่อนเรากับเพื่อนๆ ชอบกระแนะกระแหนมันว่า มันเป็นลูกที่โชคดีมาก ที่มีแม่ตามเอาใจใส่ สมัยอยู่มหาลัย แม่คอยไปเยี่ยมไม่ขาด หนาวมั้ย ใส่เสื้อกันหนาวรึเปล่า เป็นหวัดมั้ย แม้แต่ปากกาไฮไล้ท์ที่เอาไว้ขีดเน้นเนื้อหาบทเรียน ให้มันโดดเด้งออกมาเข้าลูกกะตาได้ง่ายๆ แม่มันก็คอยส่งมาให้ ที่เราพูดกันเต็มๆก็คือ “มึงเป็นลูกที่โชคดีมาก ที่มีแม่อย่างแม่มึง ส่วนแม่มึงเป็นแม่ที่โชคร้ายมาก ที่มีลูกอย่างมึง” แต่เราไม่ได้เล่าให้แม่มันฟังหรอก เพราะดูจะเป็นการทำร้ายจิตใจผู้ใหญ่จนเกินไป ก่อนกลับคืนนั้นได้แต่บอกมันว่า ถึงตอนนี้ มึงก็ต้องดูแลแม่ให้ดีๆคืนแล้ว เป็นช่วง “เอาคืน” ของแม่ ต้องทำให้ดีเข้าไว้
หลังจากไปงานศพพ่ออ้วนแล้ว ได้คุยกับตู่
ตู่ถามเราว่า “ไปงานศพพ่อบักอ้วน สนุกมั้ย”
เราตอบมันไปว่า “ไม่หรอก งานศพพ่อมึงสนุกกว่า เลวววว...กูเพื่อนเล่นเหรอ”
ล่าสุดของข่าวการเสียบุพการีของเพื่อน ก็คือเพื่อนที่พูดถึงที่บรรทัดข้างบนสุด เป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มเดียวกับตู่และอ้วน ทำงานและใช้ชีวิตอยู่ที่หนองคายและอุดรธานี แต่ครั้งนี้ เราติดธุระก็เลยไปร่วมงานไม่ได้จริงๆ นอกจากรู้สึกเสียใจกับมันแล้ว ก็เสียใจกับตัวเองด้วย ที่ไม่ได้ไปอยู่ใกล้ๆ เวลาที่เพื่อนเป็นทุกข์ ไม่ได้ไปเจอหน้า ไปคอยแหย่ คอยพูดจาไร้สาระ ไร้กาลเทศะอยู่ข้างๆ จะได้รู้ว่า สภาพเพื่อนไม่เป็นไรแล้วจริงๆอย่างที่มันว่า ก็ได้แต่คิดถึงอยู่ห่างๆเท่านั้นเอง
เรื่องอย่างงี้ คิดไม่ออกเลยว่า วันหนึ่งถ้ามาถึงตาเรา เราจะรับมือกับมันได้ยังไง อะไรๆมันก็ไม่มีความยั่งยืน โดยเฉพาะความผูกพันกับชีวิตไหนๆ เราคงทำได้แค่พยายามทำให้ดีที่สุดล่ะมั้ง สำหรับเรา งานที่เราทำอยู่ ทำให้ไม่ได้อยู่บ้าน เราตะเกียกตะกายตั้งเยอะ กว่าจะได้ทำงานอย่างงี้ ซึ่งก็ตอบไม่ได้เลยว่ามันดียังไง เราไม่ได้เกลียดงานตัวเองหรอก แต่มันทำให้เราไม่ได้อยู่กับพ่อ-แม่เท่านั้นเอง สิ่งที่ทำได้ก็คือ โทร.หาเค้าทุกวัน กินข้าวยัง ทำอะไรกิน อากาศที่บ้านเป็นไง ดูแลตัวเองด้วยล่ะ คำถามซ้ำเดิมที่จะต้องถามทุกวัน แล้วก็เล่าเรื่องที่เราทำให้เค้าฟัง เว้นเรื่องงาน
เราพยายามกลับบ้านเกือบทุกเดือน ไปให้พ่อ-แม่ได้เห็นหน้า โดยอ้างว่าไม่ไปไม่ได้หรอก เดี๋ยวจะลืมหน้าลูก หาที่ไหนไม่แล้วนะเว้ย หน้าอย่างงี้ ทำกับข้าวให้เค้ากิน ทั้งๆที่อยู่คนเดียวก็ไม่ทำนะ ทำอะไรไม่ค่อยเป็นหรอก พยายามลองทำ ให้พ่อ-แม่เป็นหนูลองยา บังคับกิน แม่กลัวเราเหนื่อย (หรือกลัวไม่อร่อยไม่รู้) เราพูดเล่นๆบอกเค้าไปว่า ไม่ต้องห่วง ไม่เหนื่อยเลย ชอบ...ทำให้กินตอนนี้ดีกว่า พอวันหนึ่งจากกันไป แล้วลูกต้องไปเคาะหลุม เคาะโลงบอกให้มากินเหมือนที่ใครๆเค้าทำกัน แค่นั้นน่ะไม่พอหรอก มันจะเป็นลูกที่ใช้ได้ที่ไหน แล้วแม่ทำกับข้าวเก่งๆ ก็สอนด้วย จะทำให้กินจนตายได้หรือไง เราต้องพยายามทำให้ดี วันที่เสียใจจะได้เสียใจไม่มากไง...นี่แหล่ะคำพูดที่ใช้พูดกับบุพการีอันเป็นที่รักอย่างมากมาย
เราไม่รู้หรอกว่าวันมืดๆวันนั้นของเรา มันจะมาถึงเมื่อไหร่ ถึงไม่อยากเจอขนาดไหน แต่มันก็คงมาเยี่ยมเราเข้าซักวันอยู่ดี คงเป็นวันที่ผ่านได้ยากที่สุดในชีวิต ตอนนี้สิ่งที่ทำได้อีกอย่าง คือพยายามใช้ชีวิตให้ดี เพื่อที่เราจะได้เป็นคนส่งเค้า ไม่ใช่ให้เค้ามาส่งเรา พยายามให้เค้ารู้ว่าลูกเค้าก็มีคุณภาพนะ ไม่เป็นภาระสังคม คิดให้ดี ทำให้ดี...(แต่มันก็ทำไม่ได้ทุกขณะจิตหรอก มีขึ้น มีลง เป็นธรรมชาติ...หรือเป็นข้ออ้างก็ไม่รู้เหมือนกัน)
จะว่าไป...โลกนี้ จะท้องฟ้าหรือดวงดาว กระทั่งข้าวที่ตักเข้าปาก ก็เค้าทั้งนั้นแหล่ะที่สอนให้เรารู้จัก และให้เราอยากเริ่มต้นค้นหา คิดไปคิดมาไม่ว่ายังไง ก็ไม่อยากให้ถึงเวลานั้นอยู่ดี...
It’s me…
ก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าตัวเองมีเวลาเหลืออยู่เท่าไหร่
9 มีนาคม 2555
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)