วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555

ไม่อยากให้ถึงเวลา...

“พ่อกูเสียแล้ว หัวใจล้มเหลว ตั้งศพคืนสุดท้ายวันนี้ (ขอโทษที่เพิ่งบอก) พรุ่งนี้เผา ไม่ต้องห่วงกู กู OK”

 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้รับข้อความนี้จากเพื่อนคนสนิท นี่เป็นครั้งที่ 4 แล้ว นับจากปีที่แล้ว ที่พ่อเพื่อนทยอยเสียลง...อย่างซ่อมไม่ได้อีกต่อไป คงเป็นสัญญาณหนึ่งของความเป็นผู้ใหญ่ล่ะมั้ง ที่ต้องรับมือกับสถานการณ์ต่างๆที่แวะเวียนเอาความทุกข์มาสุมกบาลเรา ราวกับว่าถ้ามันว่างอยู่เฉยๆ แล้วมันจะขึ้นราอย่างงั้นแหล่ะ

   
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว พ่อเพื่อนสนิทคนแรกเสียที่สมุทรปราการด้วยภาวะน้ำท่วมปอดหลังหายจากโรคมะเร็งร้าย เราก็ไปอยู่ช่วยงานเล็กๆน้อยๆ ในงานศพตามแต่จะสามารถ เวลานับปีก่อนเสีย เพื่อนเล่าให้ฟังว่า พ่อมันเป็นมะเร็งที่ผิวหนัง ที่บ้านซึ่งประกอบไปด้วยพ่อ แม่ ตัวมันและพี่สาว ต้องตัดสินใจเลือกทางเดินที่จะรักษาตลอดเวลา จะต้องทำยังไง ควรใช้การรักษาแผนปัจจุบันหรือแผนโบราณ ชั่งข้อดีข้อเสีย มีทางแพร่งให้เลือกเสมอในแต่ละวัน และทุกทางมีความเสี่ยง และบังคับเค้าให้ต้องตัดสินใจ จะมีอะไรอยู่ข้างหน้าก็ไม่รู้

    ครอบครัวเค้าเลือกที่จะไม่ให้พ่อต้องทรมานจากการรับคีโม เลยยอมรับความเสี่ยงไปหันหน้าไปรักษาแบบแผนโบราณคือการกินยาหม้อ ซึ่งสวนทางกับแผนปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง พูดง่ายๆ ก็คือ พาพ่อหนีหมอจากโรงพยาบาล อย่าให้หมอรู้ตัว ไปรักษาอยู่ต่างจังหวัด ความเชื่อมั่นคือคำล่ำลือที่เค้าแนะนำมา จนเมื่อเนื้อร้ายเบ่งบานถึงขีดสุด ก็ได้รับคำแนะนำจากสถานรักษานั้นว่า ให้พาไปผ่าออกได้แล้ว

    เพื่อนพาพ่อกลับมาผ่าตัดที่โรงพยาบาล และหนีอีกครั้ง เพื่อใช้สมุนไพรรักษาทาแผลหลังผ่าตัด และกินยาหม้อของสำนักเดิม เมื่อกลับไปตรวจหาเชื้อที่โรงพยาบาลอีกหลายครั้ง หมอก็ไม่เจอเชื้อมะเร็งแล้ว มันบอกว่า หมองง แต่หลังจากนั้นอีกไม่นาน พ่อมันก็โดนภาวะน้ำท่วมปอด ซึ่งมักเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคมะเร็ง หลังจากครอบครัวพยายามยื้อยุดฉุดระหว่างความเป็นกับความตายมาหลายครั้ง พ่อเพื่อนก็เสียไปอย่างสงบ

    เราพยายามไปร่วมงานหลายครั้ง ไหว้พ่อส่งท้าย ขอบคุณที่กรุณาเราผู้เป็นเพื่อน ขอบคุณที่อุตส่าห์ชมเราตอนที่เราบอกความคิดที่จะซื้อหวยเลขเดียวเพื่อพิสูจน์ดวงตัวเอง พ่อชมว่าเลขสวยนะ ตั้งแต่พ่อชม เกือบ 10 ปีผ่านไป ยังไม่เคยถูกหวยซักรอบเลย ฮือๆๆ...ขอให้พ่อไปสู่สุคติ คนดีๆ ธรรมะธรรมโมอย่างพ่อ ถ้าชาติหน้ามีจริงๆ พ่อต้องได้เกิดที่ดีๆเป็นแน่แท้ หลังจากปั้นคำป้อยอทั้งหมดแล้ว เราก็แถมว่า ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ก่อนพ่อไป...ช่วยกรุณาให้นุ้ยถูกหวยหน่อยได้มั้ย แล้วเราก็เอาตัวเลขอายุพ่อมันไปซื้อหวย สุดท้ายธรรมชาติก็ไม่ปราณีคนลามปามเช่นเรา ยังคงต้องลิ้มรสความผิดหวัง ไม่ถูกหวยเหมือนเดิม

    ไม่อยากบอกว่าหลังจากนั้น 2 งวด...(ซึ่งเราเลิกซื้อเลขนี้ซะแล้ว) เลขอายุที่ว่า ออกทั้งบนและล่าง ถ้าเพียงแต่เราอดทนและรอคอยซักหน่อยล่ะก็...ไม่งั้นล่ะก็...ไม่ได้เข้าใจเล้ย ว่าพ่อเพื่อนกำลังเข้าคิวล็อคเลขของตัวเองอยู่ อยากขอบคุณอีกครั้งที่พ่อกรุณา ผิดที่เรามันโง่ไปเอง อยากจะเขกกบาลตัวเองนัก

    หนึ่งเดือนผ่านไป เดือนมีนาคม พ่อเพื่อนคนที่สองตามมาติดๆ เป็นเพื่อนสนิทในกลุ่ม สมัยเรียนอยู่ขอนแก่น ชื่อตู่ พอดีที่บ้านมีกิจการค้าขาย ก็เลยใช้ชีวิตต่อยอดอยู่ที่บ้าน หลังจากลองมาใช้ชีวิตเป็นลูกจ้างอยู่เมืองกรุงพักหนึ่งแล้วพบว่าไม่เวิร์ค เพื่อนคนแรกและคนที่สองไม่รู้จักกัน พวกมันมาเกี่ยวข้องกับชีวิตเราคนละช่วง แต่พ่อเพื่อนคนนี้ก็เสียด้วยภาวะน้ำท่วมปอดในขณะที่เป็นมะเร็งนั่นเอง

    ย้อนเหตุการณ์ไปก่อนหน้านั้นอีกหลายเดือน เพื่อนโทรมา

    “ฮัลโหล” มันทัก

    “เออ...ฮัลโหล” เราตอบ

    “มึงทำอะไรอยู่”

    “ดูทีวี ถามทำไม แล้วมึงอยู่ไหนเนี่ย จะโทร.มาแกลเงอะไรกูอีก” เราก็ถามมันไปงั้นๆ

    “อยู่โรงพยาบาลราชวิถี” มันพยายามทำเสียงปกติ

    “ไปทำเหี้ยอะไรอยู่ที่นั่นวะ”

    “พ่อกูป่วย เป็นมะเร็ง มึงไม่รู้เหรอ” อ้าว...เหวอแดกไปเลย

    “ไม่รู้สิวะ กูจะรู้ได้ไง ไม่ใช่พ่อกูนะ แล้วมึงบอกใครบ้างล่ะ” ยังจะหน้าด้านไปพูดเล่นกับเค้าอีก

    “ไม่ได้บอกใครเลย” มันตอบกลับมา

    “เออไง...ก็ถูกแล้วที่กูไม่รู้ ถ้ากูรู้สิแปลก” เราพยายามแก้ตัว จะได้แสดงความเป็นห่วงต่อไป

    “ใช่ซี้...พ่อกูนี่ (ลากเสียงยาวๆ) ไม่ใช่พ่อมึง มึงเคยห่วงใยพ่อกูบ้างมั้ย เคยโทร.มามั้ย เคยถามถึงมั้ย พ่อกูป่วย พ่อกูจะเป็นยังไงก็ช่างใช่มั้ยล่ะ”...โอ๊ะ...นี่แน่ๆเลย สิ่งที่มันต้องการ ขอด่าเพื่อนซักคนระบายความในใจ พ่อป่วย แต่โทษเพื่อน กูทำอะไรผิดหรือนี่

    “มึงอยู่ราชวิถีแน่นะ เดี๋ยววันนี้กูไปเยี่ยม รอเลยนะมึง พ่อมึงกินอะไรได้มั้ย เอาอะไรมั้ย” เราพยายามอย่างสุดๆ ที่จะอยู่ข้างเพื่อนและไม่ด่าอะไรมัน

    “พ่อกูไม่อยากกิน แต่กูอยาก...อยากกินขนมอะไรก็ได้ ขนมเมืองนอกนะมึง เมืองไทยกูไม่กิน” ทั้งๆที่พ่อป่วย แต่ก็ยังพยายามจะกวนตีนเพื่อนให้ได้

    “เออๆ...มึงรอเลย เดี๋ยวบ่ายๆ กูไป” และแล้วก็จบการสนทนาอันงงงวยลงได้

    ตู่...หรือเรียกให้ถูก ต้องเรียกว่า “บักตู่” ตามแบบฉบับคนอีสานเรียกเพื่อน เพื่อนผู้ชาย มีสรรพนามนำหน้าว่า “บัก” ทุกคน บักตู่เป็นเพื่อนอันดับต้นๆ ถ้าเรียงลำดับตามความกวนตีน ครั้งหนึ่งที่มันเคยไปบวชพระเป็นเดือน โดยที่ไม่บอกเราก่อน มันโทร.มาหา แล้วแทนที่จะพูด “ฮาโหล” มันกลับพูดว่า “เจริญพร” ทำให้เรานึกว่ามันโทร.มาอำ วันนั้นเลยเป็นวันแรกที่ได้ด่าพระเปิดเปิง หาว่าเพื่อนมุขสูง เอาศาสนามาเล่น แผนสูงไปมั้ย ก่อนที่พระตู่จะพูดว่า “ตอนนี้อาตมาถือศีล มุสาไม่ได้นะโยม” เริ่มรู้สึกว่าน่าจะเป็นเรื่องจริง เราอึ้งและเงียบ หลังจากนั้นพระสวดมนต์ให้พรเรายาวๆ แทนที่จะมีสมาธิรับพร ในใจกลับว้าวุ่น รู้สึกผิดบาป เพื่อนนะเพื่อน ทำกันได้...

วันนั้นเราก็ไปบอกเพื่อนอีกคนในกลุ่ม เรื่องที่พ่อตู่นอนอยู่โรงพยาบาล เราไปซื้อของเยี่ยมกัน แต่เพื่อนไปเยี่ยมด้วยไม่ได้ เนื่องจากต้องอยู่บ้านดูแลลูก ตู่มันสั่งเราซื้อขนมเมืองนอก พวกเราเลยไปสอดส่องที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่างดี ท้ายที่สุดเราก็ได้ “ปักกิ่ง” และ “เซี่ยงไฮ้” ไปฝากมัน 2 ห่อ
พอไปถึง นอกจากพ่อที่นอนอยู่บนเตียงแล้ว ยังเจอแม่ที่นั่งอยู่กับมันด้วย พอมันอยู่ต่อหน้าแม่ มันก็ได้ทีจะเล่นเราให้แม่ตัวเองดู

    “ไหนขนมกู”
    “เอ่อ...มึง...ขนมเมืองนอกแท้ๆเลยนะ แต่มันของจีนนะ ไม่รู้มึงจะกินได้มั้ย”
    “กินได้หมดแหล่ะ ขอให้เมืองนอกละกัน เมืองไทยไม่เอานะมึง” ยังจะเลือก

เราล้วงมือไปหยิบขนมในเป้ แล้วยืนให้ ผ่าง! ทั้งเซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง ตะลึง อึ้งกันไปทั้งครอบครัวเลยทีเดียว แต่หลังจากนั้น มันก็ด่าเราให้แม่ตัวเองฟังว่า

“ดูซิ ดูว่าเพื่อนคิดได้ยังไง มึงคิดว่านี่คืออะไร เอามาล้อเล่นเหรอ กูเพื่อนเล่นเหรอ แม่ดูไว้เลย ดูหน้ามันไว้ ว่ามันกวนตีนขนาดไหน........” พอมันโจมตีเราไม่เลิก เราก็เลยไหว้ก็ขออนุญาตแม่มันทีหนึ่ง ก่อนจะตบหัวกบาลมันแต่พอเบามือ พอให้รู้ว่า มึงหยุดประจานกูได้แล้วนะ

หลังจากพ่อเสีย ตู่เล่าให้ฟังว่า ตอนที่รู้ว่าพ่อเป็นมะเร็งและต้องรักษา ครอบครัวมันตัดสินใจให้พ่อรับคีโม หลายเดือนต่อมา อาการเหมือนจะดีขึ้น แต่หลังจากนั้นก็ทรุดหนัก แล้วสุดท้ายก็จากไป เราไปร่วมงานศพพ่อมันที่มหาสารคาม สารพันพวงหรีดรุมล้อมเต็มศาลา ด้วยความที่ที่บ้านค้าขาย รู้จักคนเยอะ และดูเหมือนเคยทำประโยชน์มาอะไรซักอย่างมาก่อน ก็เลยมีคนแสดงความอาลัยครั้งสุดท้ายอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง

เราไปร่วมงาน เพื่อดูหน้าเพื่อนให้แน่ใจว่ามันโอเคมั้ย เขียนการ์ดไปให้ เพื่อเตือนสติให้ดูแลแม่ที่เหลืออยู่ให้ดีที่สุด ไปฟังเรื่องราว เผื่อมันอยากจะเล่าอะไร เอาหน้าไปให้มันกระแนะกระแหน เผื่อมันจะต้องการก็ไม่ว่าอะไร เพื่อนพยายามพูดตลกทั้งๆที่ตัวเองเศร้ามากๆ เราก็ทำหน้าที่แค่ไปนั่งฟัง ไม่ต้องทำอะไร พยายามพูดอะไรพล่อยๆ ตามประสา เพื่อให้ผ่อนความทุกข์ แค่ระยะไม่กี่นาทีสั้นๆ ก็ทำได้แค่นั้นนี่เนาะ
หลังจากนั้น 1 เดือน ตอนเดือนเมษา เพื่อนในกลุ่มสิบกว่าคนนัดเจอกันที่ขอนแก่น ตอนกลางวันคุยกันเฮฮา กลางคืนมา พอเริ่มเมา มันนั่งพร่ำเพ้อเรื่องพ่อผู้เป็นที่รัก ในขณะกินเหล้า จนเพื่อนรอบวงฟังแล้วหลับแล้วตื่นแล้วหลับ คงจะร้าวมากเอาการ

เดือนธันวา ถึงตาของบักอ้วน อ้วนก็เป็นเพื่อนในกลุ่ม กลุ่มเดียวกันกับตู่นั่นแหล่ะ แถมมีความเหมือนตรงที่พ่อเป็นมะเร็งเหมือนกัน หลังจากเรียนจบ อ้วนใช้ชีวิตเป็นข้าราชการอยู่ที่นครสวรรค์ จะได้เจอกันก็นานๆที แต่ก็ยังเป็นเพื่อนที่เรานับเป็นเพื่อนสนิทอยู่ มันโทร.มาหาเรา เราแซวมันว่า นี่มึงโทร.มาผิดรึเปล่า แล้วก็พูดเล่นไปต่างๆนานา เพื่อที่จะจิกกัดเพื่อนทั้งที่ไม่ได้เห็นหน้า แต่มันกลับบอกว่า “พ่อกูเสียแล้วว่ะ” แล้วก็บอกว่า “ไม่ต้องมานะ กูไม่เป็นไร”

ไอ้คนที่โทร.มา โดยที่มีเรื่องเศร้ามากๆอยู่ในใจนี่ น่าจะพูดให้ได้ก่อนเรานะ พอรู้ตัวแล้วยินคำพูดพวกนี้ทีไร ความละอายมาเกาะเต็มใบหน้าไปหมดทุกที ช่างยากที่จะพูดอะไรออกมา แม้แต่คำว่าเสียใจ เราขอโทษมัน และก็คุยกันแบบอึ้งๆต่อ...แล้วยังไง ตอนนี้ยุ่งใช่มั้ย เผาวันไหน หลังจากวางสาย กลับมามองปฏิทินตัวเอง แล้วก็ลางานไปดูหน้ามันจะดีกว่า ชวนเพื่อนอีกคนไปด้วย เพื่อที่จะได้ช่วยกันระบายความทุกข์สั้นๆให้เพื่อนได้ นิดหน่อยก็ยังดี

มันเล่าให้ฟังถึงเรื่องตอนที่พ่อป่วย และบอกว่ามันควรได้รางวัลลูกกตัญญูด้วยซ้ำ ไม่ได้บอกมันไปว่า “ก็ให้แม่ (มึง) เป็นคนมอบสิ” เพราะรู้ว่าการพูดเล่นในงานศพนั้น มันออกจะจำกัดจำเขี่ยอยู่ ทำได้แค่พอหอมปากหอมคอเท่านั้น วันนั้นมันทำอะไรผิด เป็นที่ขัดใจขัดหูขัดตาเรา เราก็ละเว้นไว้ ไม่ด่ามันซักคำ นับเป็นเพื่อนที่สงบเสงี่ยมเกือบรู้กาลเทศะดีมาก

อ้วนบวชหน้าไฟให้พ่อ เป็นการบวชครึ่งวันช่วงบ่าย และมันใช้สรรพนามเรียกโยมอย่างเราว่า “มึง” ก็เลยเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เราเรียกพระว่า “มึง” เช่นกัน นรกจะกินกบาลมั้ยก็ไม่รู้ แถมมันยังบ่นว่า ใส่จีวรเดินยาก ไม่ได้ใส่กางเกงใน เวลาเดินไข่มันเสียดสีกัน นั่งหัวเราะ เพราะว่าสัญญากับตัวเองไว้ ว่าเราจะไม่ด่ามันเด็ดขาด ได้แต่ไม่เข้าใจว่า กูจะเข้าใจมึงได้ยังไง แล้วมันเป็นเรื่องที่ต้องบ่นให้เพื่อนฟังมั้ย โดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิงอย่างกูและเพื่อนที่ไปด้วยรวมเป็น 2 คนถ้วน ที่ในชีวิตนี้...ไม่เคยมีไข่ให้เสียดสีกันเลย

ตอนพระเทศน์ พระท่านเทศน์ว่า การมาวัดที่พระท่านเห็นว่าเป็นประโยชน์และดีที่สุดคือการมาร่วมงานศพ เพราะทำให้เราเห็นสัจธรรม เห็นความจริงที่ว่า คนเราเกิดมายังไงก็ต้องตาย เราทุกคนต่างต้องการแสวงหา บ้างแสวงหาเงิน คิดว่าเงินให้ได้ทุกอย่าง บางทีมีเงินแล้วก็ยังแสวงหาอำนาจ บางคนก็ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา โดยลืมไปว่าสุดท้ายตอนตายก็เอาไปไม่ได้สักอย่าง ต่อให้รวยเป็นเศรษฐีขนาดไหน แม้แต่ร่างกายเนื้อหนังยังเอาไปไม่ได้เลย พอทุกคนเห็นความจริงแล้ว จะได้รู้จักปลง ไม่ยึดติด ทำตัวให้ดี และมีประโยชน์ พอตายจะได้มีคนนึกถึง เราซึ้งว่ะ...

ในพิธีเผา พ่อมันได้รับพระราชทานเพลิงศพด้วยคุณความดีจากอะไรซักอย่างด้วย พ่ออ้วนเรียนจบจากแม่โจ้ ก่อนจะเผา มีเพื่อนๆพี่ๆน้องๆลูกแม่โจ้ มายืนล้อมจับมือกันที่หน้าเมรุ เพื่อร้องเพลงลา เป็นเพลงที่โศกมาก ฟังไม่ออก แต่น้ำตาไหล มารู้ที่หลังว่า ชื่อเพลงเกษตรลา เอาไว้ร้องส่งกัน (ที่รู้เพราะไปเล่าให้น้องชายฟัง น้องชายก็เรียนเกษตร แต่เรียนที่ม.ขอนแก่น เป็นเพลงที่คณะเกษตรใช้กันหมดล่ะมั้ง) นอกจากน้ำตาไหลแล้วก็ขนลุกด้วย

จบจากพิธีเผา เราบอกมันว่าจะรีบกลับ แต่มันตื๊อ บอกว่าให้อยู่กินข้าวกับลูกและเมียและแม่มันก่อน แม่พาเราและเพื่อนไปเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี กินปลาอร่อยมาก เราเผาอ้วนให้แม่มันฟัง หัวเราะสนุกสนานกันได้พักใหญ่ ไปส่งแม่กลับบ้าน แม่ขาไม่ค่อยดีเป็นโรคกระดูก เดินลำบาก เราก็บอกว่า ให้มันดูแลแม่ให้ดีๆ เหมือนที่เค้าดูแลมึงมา เมื่อก่อนเรากับเพื่อนๆ ชอบกระแนะกระแหนมันว่า มันเป็นลูกที่โชคดีมาก ที่มีแม่ตามเอาใจใส่ สมัยอยู่มหาลัย แม่คอยไปเยี่ยมไม่ขาด หนาวมั้ย ใส่เสื้อกันหนาวรึเปล่า เป็นหวัดมั้ย แม้แต่ปากกาไฮไล้ท์ที่เอาไว้ขีดเน้นเนื้อหาบทเรียน ให้มันโดดเด้งออกมาเข้าลูกกะตาได้ง่ายๆ แม่มันก็คอยส่งมาให้ ที่เราพูดกันเต็มๆก็คือ “มึงเป็นลูกที่โชคดีมาก ที่มีแม่อย่างแม่มึง ส่วนแม่มึงเป็นแม่ที่โชคร้ายมาก ที่มีลูกอย่างมึง” แต่เราไม่ได้เล่าให้แม่มันฟังหรอก เพราะดูจะเป็นการทำร้ายจิตใจผู้ใหญ่จนเกินไป ก่อนกลับคืนนั้นได้แต่บอกมันว่า ถึงตอนนี้ มึงก็ต้องดูแลแม่ให้ดีๆคืนแล้ว เป็นช่วง “เอาคืน” ของแม่ ต้องทำให้ดีเข้าไว้

หลังจากไปงานศพพ่ออ้วนแล้ว ได้คุยกับตู่

ตู่ถามเราว่า “ไปงานศพพ่อบักอ้วน สนุกมั้ย”
เราตอบมันไปว่า “ไม่หรอก งานศพพ่อมึงสนุกกว่า เลวววว...กูเพื่อนเล่นเหรอ”

ล่าสุดของข่าวการเสียบุพการีของเพื่อน ก็คือเพื่อนที่พูดถึงที่บรรทัดข้างบนสุด เป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มเดียวกับตู่และอ้วน ทำงานและใช้ชีวิตอยู่ที่หนองคายและอุดรธานี แต่ครั้งนี้ เราติดธุระก็เลยไปร่วมงานไม่ได้จริงๆ นอกจากรู้สึกเสียใจกับมันแล้ว ก็เสียใจกับตัวเองด้วย ที่ไม่ได้ไปอยู่ใกล้ๆ เวลาที่เพื่อนเป็นทุกข์ ไม่ได้ไปเจอหน้า ไปคอยแหย่ คอยพูดจาไร้สาระ ไร้กาลเทศะอยู่ข้างๆ จะได้รู้ว่า สภาพเพื่อนไม่เป็นไรแล้วจริงๆอย่างที่มันว่า ก็ได้แต่คิดถึงอยู่ห่างๆเท่านั้นเอง

เรื่องอย่างงี้ คิดไม่ออกเลยว่า วันหนึ่งถ้ามาถึงตาเรา เราจะรับมือกับมันได้ยังไง อะไรๆมันก็ไม่มีความยั่งยืน โดยเฉพาะความผูกพันกับชีวิตไหนๆ เราคงทำได้แค่พยายามทำให้ดีที่สุดล่ะมั้ง สำหรับเรา งานที่เราทำอยู่ ทำให้ไม่ได้อยู่บ้าน เราตะเกียกตะกายตั้งเยอะ กว่าจะได้ทำงานอย่างงี้ ซึ่งก็ตอบไม่ได้เลยว่ามันดียังไง เราไม่ได้เกลียดงานตัวเองหรอก แต่มันทำให้เราไม่ได้อยู่กับพ่อ-แม่เท่านั้นเอง สิ่งที่ทำได้ก็คือ โทร.หาเค้าทุกวัน กินข้าวยัง ทำอะไรกิน อากาศที่บ้านเป็นไง ดูแลตัวเองด้วยล่ะ คำถามซ้ำเดิมที่จะต้องถามทุกวัน แล้วก็เล่าเรื่องที่เราทำให้เค้าฟัง เว้นเรื่องงาน

เราพยายามกลับบ้านเกือบทุกเดือน ไปให้พ่อ-แม่ได้เห็นหน้า โดยอ้างว่าไม่ไปไม่ได้หรอก เดี๋ยวจะลืมหน้าลูก หาที่ไหนไม่แล้วนะเว้ย หน้าอย่างงี้ ทำกับข้าวให้เค้ากิน ทั้งๆที่อยู่คนเดียวก็ไม่ทำนะ ทำอะไรไม่ค่อยเป็นหรอก พยายามลองทำ ให้พ่อ-แม่เป็นหนูลองยา บังคับกิน แม่กลัวเราเหนื่อย (หรือกลัวไม่อร่อยไม่รู้) เราพูดเล่นๆบอกเค้าไปว่า ไม่ต้องห่วง ไม่เหนื่อยเลย ชอบ...ทำให้กินตอนนี้ดีกว่า พอวันหนึ่งจากกันไป แล้วลูกต้องไปเคาะหลุม เคาะโลงบอกให้มากินเหมือนที่ใครๆเค้าทำกัน แค่นั้นน่ะไม่พอหรอก มันจะเป็นลูกที่ใช้ได้ที่ไหน แล้วแม่ทำกับข้าวเก่งๆ ก็สอนด้วย จะทำให้กินจนตายได้หรือไง เราต้องพยายามทำให้ดี วันที่เสียใจจะได้เสียใจไม่มากไง...นี่แหล่ะคำพูดที่ใช้พูดกับบุพการีอันเป็นที่รักอย่างมากมาย

เราไม่รู้หรอกว่าวันมืดๆวันนั้นของเรา มันจะมาถึงเมื่อไหร่ ถึงไม่อยากเจอขนาดไหน แต่มันก็คงมาเยี่ยมเราเข้าซักวันอยู่ดี คงเป็นวันที่ผ่านได้ยากที่สุดในชีวิต ตอนนี้สิ่งที่ทำได้อีกอย่าง คือพยายามใช้ชีวิตให้ดี เพื่อที่เราจะได้เป็นคนส่งเค้า ไม่ใช่ให้เค้ามาส่งเรา พยายามให้เค้ารู้ว่าลูกเค้าก็มีคุณภาพนะ ไม่เป็นภาระสังคม คิดให้ดี ทำให้ดี...(แต่มันก็ทำไม่ได้ทุกขณะจิตหรอก มีขึ้น มีลง เป็นธรรมชาติ...หรือเป็นข้ออ้างก็ไม่รู้เหมือนกัน)

จะว่าไป...โลกนี้ จะท้องฟ้าหรือดวงดาว กระทั่งข้าวที่ตักเข้าปาก ก็เค้าทั้งนั้นแหล่ะที่สอนให้เรารู้จัก และให้เราอยากเริ่มต้นค้นหา คิดไปคิดมาไม่ว่ายังไง ก็ไม่อยากให้ถึงเวลานั้นอยู่ดี...

It’s me…
ก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าตัวเองมีเวลาเหลืออยู่เท่าไหร่
9 มีนาคม 2555

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น