วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555
เรื่องเศร้าของเพื่อนรัก...
วันนี้ขอเขียนถึงเรื่องของเพื่อนรักคนใหม่ซะหน่อย คนที่เราตัดสินใจมาพักใหญ่แล้วว่าจะให้มันเป็นเพื่อนรักเราเพิ่มอีก 1 คน ส่วนมันจะตัดสินใจว่าเราจะได้เป็นเพื่อนรักมันเหมือนกันมั้ย ต้องให้มันโตขึ้นมาบอกด้วยตัวเอง เพราะตอนนี้มันเพิ่งอายุ 1 ขวบ 8 เดือน ยังพูดมั่วๆ ใช้ภาษาต่างดาว สื่อสารกับชาวบ้านไม่รู้เรื่องอยู่ เลยต้องปล่อยให้อยู่ในภาวะตัดสินใจไป
เพื่อนตัวน้อยต่างวัยคนนี้ชื่อ พัตเตอร์ พ่อแม่มันเป็นเพื่อนที่ภาควิชา สมัยเรียนมหาลัย และแต่งงานกันเอง เข้าข่าย ‘ใกล้เกลือกินเกลือ’ ตอนที่มันยังไม่มีลูก เราก็ยังไม่ค่อยสนใจมันเท่าไหร่ แต่พอมีลูกออกมา ชีวิตมันก็ค่อยๆโคจรเข้าหาเราได้อย่างสบายๆ พัตเตอร์เป็นเด็กฮาๆ ขนาดร้องไห้ก็ยังฮา เป็นสิ่งมีชีวิตขี้อวด จะอวดทุกอย่างที่ทำได้อย่างออกนอกหน้า อารมณ์ดี หัวเราะยิงฟันเหมือนเมากัญชาในเวลาส่วนใหญ่ที่เจอกัน คลั่งไคล้การวิ่งไปทั่วๆบ้าน อย่างกับที่บ้านมีเนื้อที่ 3 เอเคอร์ จริงๆแล้วเปล่าเลย มันก็วิ่งวนไปวนมารอบเปลตัวเอง ผมนิ่มๆก็จะปลิวตั้งๆไป หัวเราะร่าไปเรื่อยๆ ให้เราวิ่งตาม มันวิ่งนำ มันเหนื่อยมั้ยไม่รู้ แต่เราวิ่งตามโคตรเหนื่อยเลย หยุดก็ไม่ได้ เด็กมันจะทำสายตาเว้าวอนชวนให้เรามาเล่นด้วยอย่างต่อเนื่อง ออก Start แล้ว Non stop จะมาหยุดเล่นทำร้ายจิตใจเด็ก 1 ขวบก็ทำไม่ลง
ที่จริงเคยเขียนถึงอยู่หลายครั้ง แต่ไม่ได้เอามาลงไว้ เมื่อวานมีโอกาสได้ไปเจอ และพบว่าครั้งนี้เป็นการเจอที่แสนเศร้า สงสารมัน ถ้าเป็นพ่อมันเจ็บ เราคงไม่สงสารขนาดนี้ เลยจะขอถ่ายทอดความเจ็บปวดของเพื่อนตัวกะเปี๊ยกให้อ่านนะ
เราซื้อตุ๊กตาหมาตัวน้อยราคาโคตรถูกมาหลายอาทิตย์แล้ว อยากจะเอาไปให้ พ่อแม่มันก็มัวแต่พาลูกชายตัวเล็กไปเดินสายหาลำไพ่ตามที่ต่างๆ ไม่ว่างซักกะที เมื่อวานตอนเช้า ได้โอกาสเราว่างด้วย ก็เลยโทร.ไปหาพ่อมัน
“ฮัลโหล...วันนี้ลูกชายมึงว่างมั้ย อยู่บ้านกันรึเปล่า” เนื่องจากไม่สามารถคุยกับเจ้าตัวโดยตรงได้ เลยต้องคุยผ่านผู้จัดการส่วนตัว เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยสนใจเรื่องของพ่อแม่มันที่เป็นเพื่อนเก่าซักเท่าไหร่ สนใจแต่ไอ้ตัวน้อยเพื่อนใหม่เรามากกว่า
“ว่างอะไรล่ะ เนี่ยอยู่โรงพยาบาลกัน พัตเตอร์ผ่าตัด” เราตกกะใจไปหนึ่งสะดุ้งโหยง เพราะงงๆว่า หลานตัวน้อยซึ่งเรายกให้เป็นเพื่อนรัก ป่วยไข้เป็นอะไร ทำไมถึงกับต้องผ่าตัด มันก็เป็นเด็กอารมณ์ดี ฉาย EQ เยอะผิดปกติดีนี่หว่า ไถ่ถามได้ความมาว่า
“พัตเตอร์ฉี่ไม่ค่อยออกน่ะมึง คือฉี่ได้ แต่ปลายจู๋จะบวม หมอบอกให้ขลิบออก” นี่คือการให้ปากคำของพ่อมัน
เราก็ได้แต่อึ้งๆไป ใจหนึ่งก็สงสารมากๆ ที่อายุเท่านี้ ต้องมาเจอปัญหาใหญ่รุกรานซะแล้ว อีกใจหนึ่งก็เป็นจิตมาร แอบขำหลาน ที่มันเลือกเป็นอะไรได้ไม่เหมือนใครดีแท้ แต่ก็ยังดีที่สิ่งที่เป็นก็ไม่ได้อันตรายอะไร หมอเอาอยู่แน่นอน โรงพยาบาลก็อยู่ไม่ไกลอะไร
“เออ...แล้วกูไปเยี่ยมหลานได้มั้ยมึง”
“เออๆ...มาดิ มาได้ นี่ก็เพิ่งเข้าห้องผ่าตัดไปตะกี๊นี่เอง” เข้าห้องผ่าตัดโดยที่มีตัวแม่เข้าไปเป็นเพื่อน พ่อก็เต้นฟุตเวิร์ครออยู่ข้างนอกไป
เราก็ทำนู่นนี่นั่น เอ้อระเหยอยู่ห้องอีกพักหนึ่งแล้วก็หนีบตุ๊กตาหมาใส่ง่ามแขนเดินออกมา ไปถึงโรงพยาบาล โทร.ถามเพื่อนเรา ว่าอยู่ตึกไหนห้องไหน มันบอกว่าลูกเพิ่งออกจากห้องผ่าตัดมาพอดีเลย เราก็เลยขึ้นไปหา เพื่อนบอกว่า สงสัยพัตเตอร์จะมีกระแสจิตส่งหาเรา เวลาไม่สบาย ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว ที่โทร.มา แล้วเจอว่าไม่สบายอยู่ คือปกติก็ไม่ค่อยได้โทร.หาบ่อยๆหรอก เพราะต่างก็ไม่ค่อยว่าง เอาเวลาไปไร้สาระอย่างอื่นหมด
พอเราเดินเข้าไปในห้อง ก็เจอตัวแพ่อและตัวแม่นั่งอยู่ พยาบาลกำลังทำอะไรซักอย่างกับไอ้ตัวน้อย ตอนนี้พัตเตอร์มันไม่สนใจอะไรแล้ว คงเพราะเจ็บมาก เลยทำได้อย่างเดียวคือร้องไห้ เห็นแล้วน่าสงสารจริงจัง เพราะปกติเป็นเด็กอารมณ์ดี หัวเราะเริงร่า ร้องไห้ตามวาระวันละนิด ให้จิตแจ่มใสเท่านั้น ตอนนี้พ่อหนุ่มน้อยของเรา ร้องกระจุยกระจาย ร้องไม่หยุด ถึงเหนื่อยก็แหกปากส่งเสียงฮือๆ ไว้ก็ยังดี น้ำตาเด็กเวลาไหล มันจะจะผุดเป็นเม็ดใหญ่ๆ ออกมาจากกลางเปลือกตาล่าง เราว่า มันเป็นตำแหน่งที่เห็นแล้วทำให้เด็กน่าสงสารมากขึ้น
เรื่องที่เราจะเล่าถึง โปรดอย่ามองเป็นเรื่องลามกอนาจารย์ มันคือความทุกข์ของเด็กน้อยคนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันรู้ตัวมั้ยด้วย พ่อมันเล่าว่า พัตเตอร์มีปัญหาเรื่องฉี่ เพราะฉี่แล้วปลายจู๋จะตุงบวมๆ เหมือนมันมีเปลือกที่ใหญ่กว่า เป็นถุงอุ้มไว้ ฉี่มันเลยไปอั้นอยู่ตรงนั้นทำให้บวม หมอแนะนำให้ตัดถุงหรือหนังหุ้มที่ว่านี้ออก ก่อนที่อนาคตมันจะอักเสบจะลำบากกว่านี้ ตัวพ่อมันบอกว่า
“ถ้าเป็นการตัดสินใจให้ตัวเอง มันก็น่าจะไม่ยากเท่าไหร่ นี่กูต้องตัดสินใจแทนลูก กูก็ไม่รู้ว่าลูกกูอยากขลิบมั้ย ถ้ามันไม่อยาก แล้วโตขึ้นมาแล้วมาว่ากู กูจะทำยังไง” ได้แต่หวังว่าเมื่อเติบโตขึ้น ลูกจะให้อภัยตัวพ่อมัน
ก็เลยกลายเป็นว่า ตอนนี้พัตเตอร์เจอการสุหนัดชายเดี่ยวเข้าไป ทำให้มีปลายจู๋อันกระจิ๋ว ที่เหมือนโดนปอกเปลือกออกไปเกือบ 1 เซนติเมตร และไม่รู้ตัว คงรู้แต่ว่าเจ็บ ยังไม่มีความสามารถในการแยกแยะความแตกต่างแต่อย่างใด เมื่อเติบโตขึ้นก็คงต้องเป็นหน้าที่ของพ่อแม่มันที่จะทำการอธิบายให้ลูกเข้าใจได้ว่า มันเป็นธรรมชาตินะลูก อย่าได้เสียใจ และหมอบอกว่า ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด ด้วยความกังวลของตัวแม่ ที่กลัวว่าลูกชายโตขึ้น แล้วจะมีปัญหาอื่นๆตามมามั้ย เอาความกะล่อนเป็นยันต์คุ้มครองตัวเองแล้วกันนะลูก
เราเอาตุ๊กตาหมาไปให้พัตเตอร์ พัตเตอร์ก็ปัดออก และกรีดร้อง ยื่นหน้าไปเล่นด้วยก็หันหนี ถ้าพูดได้คงตะโกนใส่หน้าว่า ‘Leave me alone!…ขออยู่เงียบๆคนเดียวก่อนได้มั้ย จะมาเซ้าซี้จะเล่นไม่รู้เวล่ำเวลาอะไรกันตอนนี้ คนมันเจ็บ ไม่เห็นรึไงฟะ’ ไม่ให้แม่วางลงพื้นด้วย ต้องอุ้มตลอด เวลาขยับจะร้องไห้เป็นพิเศษ สงสัยคงจะโดนแผลเข้า ตาแป๋วๆตอนนี้มีแต่น้ำตากลบตาเต็มไปหมด คงร้องจนเหนื่อยไปหมดแล้ว แต่ดีตรงที่ตัวแม่ล่อให้ลูกดูดนมไปได้เกือบหมดขวด จะได้มีแรงร้องต่อเนื่อง
ขนาดมีกำลังใจเต็มไปหมด มีคุณยายจริงๆ คุณยายพี่เลี้ยง น้า ตัวแม่ ตัวพ่อ และเรานั่งล้อมอยู่ ก็ไม่ได้ส่งผลทำให้ไอ้ตัวน้อยหายเจ็บได้เลย พยายามหาอะไรต่อมิอะไรมาหลอกล่อ มันเผลอนิ่งดูได้พักหนึ่ง พอนึกได้ว่ากูเจ็บอยู่ มันก็ร้องใหม่อีก ยายบอกว่าชอบฟังเพลงที่เป็นเสียงเรียกเข้าของมือถือยาย เมื่อเป็นเสียงเรียกเข้า ก็ต้องโทร.เข้า เพราะเวลานั้นก็ไม่รู้จะไปนั่งหายังไง ว่าเพลงนี้มันอยู่ตรงไหนในเครื่องแก จะเปิดตรงๆก็ทำไม่ได้ สิ่งที่ทำก็คือ โทร.เข้าไปไม่ยั้ง ให้เสียงมันดัง และไม่ต้องรับ เป็นเพลงอะไรก็ไม่รู้ น่าจะมาจากซีรี่ย์เกาหลีอะไรซักอย่าง เป็นเพลงกึ่งๆช้า แต่ก็เพราะดี พัตเตอร์นั่งจ้องตาแป๋ว ตากลมๆแบ๊วๆ แบบไม่ต้องแกล้งทำ มีกระดิกขานิดๆด้วย นั่งจ้องอะไร จะไม่ค่อยกระพริบตา หัวเหลี่ยมๆ หูกาง จมูกไม่มีดั้ง หน้าตาตลกแต่น่ารักมาก แต่ตอนนี้เห็นมันร้องไห้เยอะไปหน่อย เลยตลกไม่ค่อยออกแล้ว
พัตเตอร์นิ่งเงียบฟังเพลงไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเอนหัวลงนอนได้ โชคดีที่ที่นอนวางกับพื้น ก็เลยนั่งเล่นด้วยง่ายๆ พ่อมันพยายามเปิดหมีพูห์ใน Youtube จาก iPhone ให้ดู แต่ Internet ก็ช้า ไม่มีเก็บเพลงเก็บวิดีโอการ์ตูนอะไรไว้ในเครื่องเลย พัตเตอร์ก็เลยต้องฟังทุกอย่างแบบสะดุดๆ คุณยายพี่เลี้ยงเอาเมนูอาหารที่เป็นกระดาษแข็งๆ มาพัดแข่งกับไอแอร์ให้ เพื่อให้ตามันปรือยิ่งขึ้น จนในที่สุดก็หลับไป
ก็นั่งคุยกันแบบกระซิบกระซาบ ส่งเสียงไม่ได้เพราะกลัวไอ้ตัวน้อยตื่น รู้สึกจั๊กจี๋ตัวเองมาก พ่อมันก็อธิบายให้ฟังเรื่องจู๋ลูกนี่แหล่ะ แล้วสุดท้ายพวกเราก็ไปคุยกันนอกห้อง กลับเข้ามาอีกที เห็นไอ้ตัวแสบตื่นแล้ว ไม่ร้องไห้ แต่นั่งกินข้าวตาแป๋ว มีคุณยายพี่เลี้ยงคอยป้อนข้าวต้ม 1 คำ แม่ก็จะบิขนมปังหวานๆแบบคล้ายๆแคร้กเก้อร์ให้กินอีกคำ ต้องกินข้าวคำ ขนมคำไปเรื่อยๆ ลืมบอกว่าที่มือก็มีเข็มและสายน้ำเกลือ แต่ไม่ต้องใส่น้ำเกลือแล้ว มีแต่เข็มสียบแขนและสายพันๆกันอยู่ และแปะสก็อตเทปไว้ คงรำคาญน่าดู เพราะเห็นใช้นิ้วมือป้อมๆนั่นแหล่ะ เขี่ยสายไปมา แต่มือโดนเทปพัน ก็เลยกระดุกกระดิกมากไม่ได้ ในสายใสๆก็คือเลือดที่มันปนๆน้ำเกลือออกมานะ เป็นสีแดงจางๆ พัตเตอร์ไม่เข้าใจ เหลือบมามองงงๆอยู่บ่อยๆ
เป็นเด็กกินเก่งใช้ได้ ขนาดไม่สบายยังกินตั้งเยอะ ครอบครัวเค้าบอกว่า ที่กินเยอะนี่คืออยากกินขนม เริ่มชอบกินขนมกรอบๆ หวานๆล่ะมั้ง ต้องเอามาล่อให้กินข้าวไปด้วย นั่งกินตาแป๋วเลย พอกินข้าวเสร็จถ้าแม่ยังไม่ป้อนขนม จะเอานิ้วมาชี้ ทำหน้าอ้อนๆ จะกินอีก กินไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง อยู่ๆก็ร้องแหกปากร้องจ๊ากขึ้นมา ผู้ใหญ่อยู่กันเต็ม อึ้งกันทุกคน คือไอ้ตัวน้อยมันฉี่ แล้วฉี่ก็โดนแผลตัวเองไง ฉี่ก็เค็มๆ แล้วฉี่รดแผลตัวเอง เป็นผู้ใหญ่ยังยอมรับว่าเจ็บเลย นี่เด็กตัวเล็กนิดเดียว ไม่รู้จะปลอบมันยังไง บอกไปว่า “อดทนนะลูก อดทนนะค้าบ เดี๋ยวก็หาย” เด็กมันจะเข้าใจมั้ยนั่น อะไรของมึงวะ อดทนเนี่ย ไม่ใช่ลูกตัวเองยังสะเทือน พ่อแม่มันนี่คงจะเหมือนโดนฉี่รดหัวใจสดๆไปแล้ว
จับยืนก็ร้องได้อยู่ ไม่แปลกก็คนมันแสบแผล ตัวแม่เอาทิชชู่ซับไปที่แผล เห็นได้ชัดว่า ยืนขาเกร็งแหกปากร้องไห้ ทำอะไรไม่ถูกเลย พยาบาลมาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้ แม่มันก็เปลี่ยนชุดให้ลูก หลังร้องไห้ชุดใหญ่ไปได้พักหนึ่งก็หยุด เพราะว่า...เพราะว่าทอมแอนด์เจอรี่ในทีวีมา มาช่วยชีวิตทุกคนไว้ด้วย สมาธิเริ่มเปลี่ยน เริ่มนั่งลงดูทอมและเจอรี่ตาไม่กระพริบ ถ้าเราประมวลผลไม่ผิด เราว่าเด็กมันเข้าใจแน่ๆ ไอ้การ์ตูนภาพๆแบบนี้ จ้องตาใสปิ๊งเลย แล้วก็เริ่มนอนดู แล้วอารมณ์ก็เริ่มดี เริ่มชี้จะเอาหมาที่เราเอามาฝาก มันจำได้จริงๆเหรอวะเนี่ย เราบอกว่า “เอาไว้กอดนะเพื่อนรัก” มันก็จับหัวหมานุ่มๆไปกอด เด็กหนอเด็ก...
มีการชี้ได้ถูกเมื่อบอกให้ชี้คนนั้นคนนี้ พอตัวเองชี้ถูกแล้วก็ต้องตบมือให้ตัวเองด้วย เพื่อเป็นใบประกาศรับรองความเก่งกล้าการท้าสมอง ประลองความจำ พอคนอื่นตบมือให้ก็จะยิ้มยิงฟันเขิน ยอมรับด้วยความยินดี ตอนนี้ยังพูดชื่อใครไม่ได้ นอกจากเรียก “แม่” “ปาป๊า” และ “หึ” แล้วส่ายหัว เวลาถามว่าจะเอาอันนั้นมั้ยอันนี้มั้ยแล้วไม่อยากได้ ก็จะส่ายหัวบอกว่า “หึ” แต่ว่าคำแรกที่เด็กคนนี้มันพูดได้คือ “แอร์” นะ น่าจะตอนขวบนิดๆ นึกว่ามันฟลุ้ค แต่มันพยายามยืนยันให้เห็นด้วยตัวเอง ด้วยการเอามือชี้แล้วบอกเราซ้ำๆ เจ๋งว่ะ...มันรู้และแยกแยะออกได้ไงวะ...เป็นเรื่องธรรมดาที่มหัศจรรย์ดีแท้...ตอนนี้เท่าที่เห็น น่าจะฟังเราพูดรู้เรื่องแล้ว แต่ว่าตัวเองยังพูดออกมาไม่ได้เฉยๆ นึกถึงสถานการณ์ที่เราพูดภาษาอังกฤษไม่ออก มันเป็นอย่างงี้แหงๆเลย
เราเห็นพัตเตอร์อารมณ์ดีแล้ว เลยส่งเสียงดังบอกมันว่า
“อดทนเข้มแข็งไว้นะเพื่อนรัก มา Give me five กันหน่อย”
เรายื่นมือแบห้านิ้วออกไปตั้งไว้ ไอ้ตัวแสบเอามือเล็กๆของตัวเองยื่นมาแปะ แถมยิ้มยิงฟันให้เราอีกต่างหาก นี่ไง...เหตุผลที่เราอยากให้มันมาเป็นเพื่อนรักคนใหม่ ขนาดมันเจ็บๆอยู่นะเนี่ย
มันทำท่าเอามือหมุนๆเหมือนรำวง แล้วพูดอะไรงุงิๆ เรางงๆตามเด็กไม่ทัน พ่อมันบอกว่า นี่คือท่า Swim คือการว่ายน้ำนั่นเอง เราหัวเราะบอกว่า “ขืนว่ายอย่างงี้นะ เห็นลูกเป็ดในการ์ตูนตะกี๊มั้ย มีหวังไปไม่ถึงไหนก็ซี้แหงแก๋แน่ลูก” เด็กไม่เข้าใจไม่เป็นไร เราจะแซว เพื่อเป็นการฝึกพัฒนาการให้เด็กรู้จักคิด และประมวลสถานการณ์...(ความจริงมันก็ไม่ควรทำในขณะที่มีบาดแผลอย่างงี้หรอก)
เรารีบจากออกมาในขณะที่หลานอารมณ์ดีอยู่ บ๊ายบายกัน แล้วไอ้ตัวเล็กก็ไหว้สวัสดีเราด้วย มันเป็นเด็กเจ๋งจริงๆนะ หวังว่าโตขึ้น เรื่องนี้คงไม่ทำให้เด็กชายพัตเตอร์รู้สึกแย่อะไร และก็ขอโทษด้วยที่ถึงจะยกให้เป็นเพื่อนรักยังไง แต่ด้วยระบบการนับอาวุโสของประเทศเรา ยังไงเอ็งก็ต้องเรียกป้าว่า “ป้า” อยู่ดี...
แต่ไม่ว่ายังไงก็หายเร็วๆนะไอ้เพื่อนรักตัวเล็กของข้าพเจ้า...
It’s me…Kaka for children…
23 เมษายน 2555
วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555
โลกียะ – โลกุตตระ (ตอนจบ)
ความเดิมตอนที่แล้ว หลังจากกลับมาจากเส้นทางโลกียะตอนตีสี่กว่า ก็อาบน้ำ สระผม เพราะหัวเหม็นบุหรี่มาก แหล่งอโคจรจะทำให้หัวเหม็นบุหรี่ทั้งที่เราก็ไม่ได้สูบ เก็บของยัดใส่เป้แบบชุ่ยๆ มึนๆ เพราะยังไม่ได้นอนเลย หัวหลอนๆ กลัวว่าตัวเองจะตื่นไม่ทัน เพราะนัดกับไอ้ปุ้ย น้องที่ทำงานเอาไว้แต่เช้า ตอนนี้เกือบตีห้าแล้ว ตัดสินใจนั่งเอาหลังพิงเตียง เปิดไฟหัวนอน ตั้งนาฬิกาปลุก อ่านหนังสือประวัติสตีฟ จ๊อปส์ วันนี้สตีฟ จ๊อปส์มีประวัติสั้นมาก ยังไม่ถึงสี่บรรทัดก็จบแล้ว สติได้หมดลง
ตีห้าครึ่ง เสียงนาฬิกาปลุกดัง ช่างเป็นเสียงที่ทำให้ใจหล่นวูบ ไม่มีความตื่นเต้นที่จะได้เดินทางธรรมเหลืออยู่แม้แต่น้อย หัวมึนตึ้บ ครั้งสุดท้ายที่ทำตัวแบบนี้ และไม่นอนเลยน่าจะเป็นสมัยอยู่มหาลัยเมื่อสิบกว่าปีก่อน เฒ่าชะแรแก่ชราแล้วเหรอวะเนี่ย เหนื่อยชิบหาย กระดูกกระเดี้ยวช่างไม่เป็นใจ ปวดเมื่อยไปหมด
หกโมงกว่าเดินออกมาจากคอนโด พร้อมเป้ใบโต หลังตุง มองหาหมาตัวเมื่อคืน มันตื่นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ อยากขอโทษที่โดนไอ้หมียิงน้ำเย็นๆใส่ หมีรังแกหมา คิดอีกทีจะจำตัวถูกรึเปล่าก็ไม่รู้ ช่างมันเถอะ ไปวัดดีกว่า อย่างน้อยที่วัดก็มีบรรยากาศดีๆรออยู่ เดินไปขึ้นแท็กซี่พร้อมสมองมึนๆ เพื่อไปเจอไอ้ปุ้ยและไปวัดด้วยกัน
ไปถึงวัดตอนเจ็ดโมงกว่า เดินเข้าไปหาจุดเริ่มต้น เพราะไม่เคยมาที่นี่ ปุ้ยเคยไปที่อื่นมาแล้ว จึงพอจะรู้ขั้นตอนอยู่บ้าง ส่วนเราอย่างที่เล่าไปแล้วว่า เคยแต่เข้าค่ายพุทธศาสนาที่โรงเรียนที่สุรินทร์ตอนม.ต้น ถึงแม้จะอยู่ในชาติเดียวกันนี้ แต่ก็จำอะไรไม่ค่อยได้จริงๆ เราเริ่มกันที่ไปหาที่ลงทะเบียน เป็นคล้ายๆเรือนหลังเล็ก ตั้งอยู่บนน้ำ (ที่นี่ทุกอย่างอยู่บนน้ำหมด เพราะว่าโดนน้ำทะเลเซาะ จนที่ที่เป็นแผ่นดินเหลืออยู่นิดเดียว) เค้าก็ให้เรากรอกเอกสาร อยากบวชวันไหน อยากสึกวันไหน และรายละเอียดอื่นๆ แล้วก็ให้เราไปเปลี่ยนชุด
เราต้องนุ่งขาวห่มขาว และมีผ้าสะไบพาดบ่าด้วย ครั้งแรกในชีวิตเลยนะเนี่ย เราเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาจากห้องน้ำ มีป้าชีพราหมณ์ผู้เชี่ยวชาญคอยจัดการความเรียบร้อย หรืออีกนัยหนึ่งคือ คอยวิจารณ์เราอยู่ ตั้งแต่เดินออกมา
“ไม่ได้...นี่สั้นเกินไป”
เราใส่ผ้าถุง นับจากปลายตีนทีติดกับพื้นสูงขึ้นมาประมาณ 1 คืบ เค้าบอกเราว่า...สั้นเกินไป เออวะ...สงสัยมันจะไม่งามสำหรับนางชี โชว์ตาตุ่ม มันคงดูเอ็กซ์เกินไปล่ะมั้ง กูเอาลงอีกก็ได้วะ ด้วยความที่ตัวเตี้ย ไอ้ผ้าที่พับอยู่ด้านในมีเยอะ ปล่อยออกมาได้อีกเพียบ พอนุ่งใหม่เสร็จ กำลังจะยิ้ม เค้าก็บอกเราว่า
“เก็บตะเข็บด้วย” ตะเข็บ...ตะเข็บอะไรวะ
ถามเค้าว่า “ตะเข็บอะไรคะ”
เค้าบอก “ตะเข็บที่ผ้านุ่งไง”
หันไปถามไอ้ปุ้ย อ๋อ...มันคือรอยเย็บที่ทำให้ผ้าสี่เหลี่ยม แปลงร่างกลายเป็นผ้าถุงได้นั่นแหล่ะ แล้วเก็บตะเข็บหมายความว่ายังไงวะ เราหันไปถามเค้า
เค้าบอกว่า “ก็ซ่อนเก็บตะเข็บไว้ด้านในไง มันออกมาด้านนอก มันไม่สวย” สงสัยเราจะหงุดหงิดเพราะง่วงรึเปล่าวะ เราตั้งคำถามในใจว่า บทแรกของการละกิเลสก็คือ ‘ให้เก็บตะเข็บ เพราะตะเข็บไม่สวย’ เหรอวะ...แต่ว่าไม่กล้าถามออกไปนะ กลัวถูกถีบตกทะเล เออ...เรามันคงเรื่องมากไปเองแหล่ะ เค้าให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะ ไม่เห็นคนอื่นเค้าจะมีปัญหาเลย ว่าแต่...กูเอาตะเข็บไว้ที่ไหนก็ได้นะ ยังคงเกาหัวหาเหตุผลโง่ๆให้ตัวเองต่อไป
หลังจากเค้าพึงพอใจในสภาพการแต่งตัวของเราทุกกระเบียดนิ้ว ความยาวผ้านุ่งเท่าตาตุ่ม ตะเข็บถูกซ่อนไว้อย่างดี งามตามที่เค้าต้องการแล้ว เค้าก็ให้เราไปรอในศาลาเพื่อรอบวชรับศีล 8 ตอนเก้าโมงเช้า เป็นศาลาใหญ่ของวัด ที่พระท่านออกปฏิบัติกิจสงฆ์ทั้งปวง สองข้างของศาลาจะมีปีก พื้นอยู่ต่ำกว่ากันเล็กน้อย ให้เป็นที่อยู่ของพวกที่มาบวชพราหมณ์ เห็นชีพราหมณ์นอนระเกะระกะ เห็นแล้วอึ้ง...คือนอนระเกะระกะจริงๆ ชีพราหมณ์ใส่ชุดขาว ใครใคร่นอนก็นอน พวกเราเข้าไปถามคนอื่นๆว่า ต้องทำไงคะ เค้าบอกว่านั่งรอแถวนี้แหล่ะ เดี๋ยวก็มีคนมาเรียกไปรับศีลเอง
เนื่องจากเป็นวันที่ 14 เมษา ญาติโยมจึงเนืองแน่นเต็มศาลา เรางงๆว่า แล้วรวมๆกันอย่างเงี้ยเหรอ คือคนที่จะบวชกับคนที่จะทำบุญ ไม่มีแยกกันให้ชัดเจนเลย อาจเพราะไม่ได้นอน บวกอากาศร้อน มันมึนๆ เลยงงๆมากกว่าที่ควรจะเป็น พวกเราเห็นคนอื่นไปเอาพานใส่ดอกไม้ธูปเทียน และซองใส่ตังค์ที่เรียกเท่ๆว่าซองถวายปัจจัย...ปัจจัยที่ไม่ได้อยู่ในปัจจัย 4 แต่อันนี้เข้าใจได้ เพราะทุกอย่างที่เรามาอยู่นี่คงไม่ได้งอกมาจากข้างฝา มันคงจะใช้ตังค์ซื้อมา พวกเราก็ไปเอามาทำให้เหมือนๆกัน
เก้าโมงครึ่ง ญาติโยมยังคงล้นหลาม หลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านคงเหนื่อยนะ รอบแล้วรอบเล่า ญาติโยมยังคงแย่งกันทำบุญ กลัวว่าจะได้บุญทีหลัง แย่งกันเข้าถึง พอรอบนี้สวดหมด รอบหน้าก็นั่งกดดันรออยู่แล้ว เราก็นั่งดูอึ้งๆ ถามในใจว่า ‘แล้วคิวกูล่ะ นั่งดูไปตั้ง 6-7 รอบแล้ว แล้วยังไงวะ ไหนใครที่ว่าจะมานำ’ มีป้าพวกหนึ่งที่แกนุ่งขาวห่มขาวเหมือนเรา แกทนดูไม่ได้ แกเลยบอกว่า ถึงทีที่เราจะเลื่อนแถวคนที่จะบวช ขึ้นไปด้านหน้าบ้างแล้ว พอหมดรอบ คนที่จะบวชชีพราหมณ์ทั้งหมดก็เลยเลื่อนตัวเองขึ้นไปด้านหน้า
เราก็ขยับด้วยเหมือนกัน ขยับพร้อมความรู้สึกว่า เราก็กลัวคนอื่นจะมาแย่งบุญเราเหรอวะ มันน่าสลดตรงที่ว่า เหล่าฆราวาสก็ไม่ยอม เพราะเค้าก็พยายามแทรกตัวเองเข้าไปเหมือนกัน นุ่งขาวห่มขาวอะไรฉันก็ไม่สนหรอกเว้ย เราเริ่มถามตัวเองพร้อมความง่วงว่า ตัวเองทำอะไรอยู่ เราอยากนั่งสมาธิ และนี่คือขั้นตอนที่จำเป็นที่ต้องให้ได้มามั้ย แต่คนมันเยอะ ทำอะไรไม่ได้ ตลกมาก มีพระรูปหนึ่งออกมาตัดสินว่า คนที่จะบวชฯให้ถอยไปก่อน ให้หลวงพ่อสวดให้ฆราวาสก่อน ทั้งๆที่ทางวัดกำหนดเวลา 9 โมงเอาไว้ กำหนดไว้ทำไมวะแต่เราโล่งใจรีบถอยออกมา ไม่ต้องแย่งกันแล้ว ไม่ต้องแข่งบุญแข่งวาสนา
เราเดินถอยออกมา เหลือบมองอีกที ปรากฏว่าพวกนุ่งขาวห่มขาวไม่ยอมถอย ยังรักษาฐานที่มั่นด้านหน้าเอาไว้ ฮ้า...นี่มันอะไรกัน แล้วก็มีพระอีกรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละรูปกับตะกี๊นี้ออกมาบอกว่า โยมที่จะบวชชีพราหมณ์มารอนานแล้ว ให้ญาติโยมทั้งหลายออกไปก่อน ให้หลวงพ่อบวชให้พวกนี้ก่อน เราอึ้งกับรูปแบบการจัดการที่แสนจะประนีประนอมของพระ ที่ท่านก็ไม่รู้จะทำยังไง อ้าว...แล้วพวกเราซึ่งเดินออกมาแล้วล่ะ เราเข้าใจว่าชาวบ้านเค้าจะถอยให้เราเข้าไปก่อน แต่ผิดถนัด มีคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ยอมถอยออกมา คนไทยตั้งใจทำอะไรไม่แพ้ชาติใดในโลก เห็นกันจะๆเลย เข้าใจแล้ว...พวกเราแทรกตัวเข้าไปนั่งด้านหลังๆ ซึ่งมีฆราวาสล้อมเราอยู่
หลวงพ่อสวดและให้เรารับศีล 8 ด้วยการพูดตาม แต่ลำโพงเบามาก หลวงพ่อท่านก็เหนื่อยและแก่มากแล้ว เสียงก็เลยเบาเข้าไปอีก น่าสงสารท่าน เราฟังไม่ค่อยออกยังไม่เซ็งเท่าชาวบ้านที่นั่งล้อมอยู่ด้านซ้าย ด้านขวา และด้านหลังคุยกันเรื่องของตัวเอง 3 ด้าน ก็ 3 เรื่อง ถ้าตอนนี้เราไม่มีสีขาวหุ้มตัวอยู่ล่ะก็ มีหวังเละกันไปข้างหนึ่ง หงุดหงิดผิดปกติอยู่แล้วด้วย รับศีลมาแบบหลุดมือมาก พยายามเก็บอารมณ์ของตัวเอง แล้วทำความเข้าใจ ลองเห็นใจคนอื่นดูซิ เค้าอาจจะจำเป็นต้องคุยเล่นกัน เพราะนี่มันไม่ใช่เรื่องของเค้า ลองมองในมุมเค้า แต่งานนี้ใช้ไม่ได้ผล เพราะมองยังไง มันก็น่าตบให้เกรียนแตกกันไปเลย
เราไม่รู้แม้กระทั่งว่า ศีลที่เพิ่มมาอีก 3 ข้อคืออะไร ถวายของที่อยู่ในมือแล้วก็เดินออกมา รู้สึกว่ามาห้างสรรพสินค้าที่เค้าพากันมาช้อปปิ้งบุญ และแน่นอนเราก็ไม่ต่างจากคนอื่น เราจะอยู่ได้ยังไงวะ มันเริ่มต้นที่ความไม่สงบเลย เราเดินบ่นออกมา ก็บ่นให้ปุ้ยฟัง แต่ปุ้ยก็ไม่ใช่คนที่จะมาค้านอะไรกับระบบบุญแบบนี้ มันก็ฟังๆเรา แล้วหัวเราะแฮ่ะๆ เราไม่รู้ว่ามีน้องคนหนึ่งเดินตามมา เค้าตามมาข้างหลัง พูดหน้าตาย ใจเย็นมาก ทำเสียงนุ่มๆบอกเราว่า หลวงพ่อคงเหนื่อย ไมค์ก็ไม่ดีด้วย วันนี้วันพระ คนก็จะเยอะมาก ไม่เป็นไรหรอก หน้าเค้านิ่งมาก เห็นแล้วตลก ด่าตัวเองว่ากูจะร้อนไปไหน
เค้าให้เราเดินไปเอาถาดอาหารในครัว เพื่อเป็นอาวุธให้เราใช้ตลอดการกินนอนอยู่ที่นี่ เราหันไปถามไอ้ปุ้ยว่า กลับกันดีกว่ามั้ย เราจะอยู่กันได้ยังไง ทุกอย่างมันไม่มีแยกเลย ถ้าเป็นอย่างงี้ 2 วัน เราจะได้บุญกลับไปจริงๆเหรอวะ ปุ้ยบอกว่ากลัวบาป เพราะรับศีลมาแล้ว เขียนในใบลงทะเบียนแล้วด้วยว่าจะลาศีล (สึก) วันที่ 16 เราก็พอจะเข้าใจน้องมัน จะดึงดันก็ใช่ที่ เพราะมึงเป็นคนขอมาเอง ไม่มีใครชวนซะหน่อย
เราเก็บรองเท้าที่หน้าโรงครัว แล้วเอาถาดหลุมประจำตัว ถือเดินออกไปข้างปีกศาลาที่มีคนนอนระเกะระกะอยู่ น้องคนเดิมตามเรามาบอกว่า เดี๋ยวเราไปนอนกันที่โรงเจกันก็ได้ ดูเค้าจะเอื้ออาทรเราดีอยู่ พักหนึ่งก็มีแม่ชีเดินถือโทรโข่งมาบอกว่า 11 โมง ให้เราเจอกันที่โรงเจ และสามารถไปนอนที่โรงเจได้ เราแบกสัมภาระเป็นเป้ใบใหญ่ใส่หลังตุง ที่ไม่ได้สีขาว เดินเท้าเปล่าไปที่โรงเจ แดดร้อน เหยียบพื้นซีเมนต์ ร้อนตีนมาก ความจริงเค้าไม่ได้ห้ามใส่รองเท้า แต่เราขี้เกียจใส่เอง ตั้งใจจะไม่ใส่ ก็เลยเอามันไปเก็บตั้งแต่แรก
โรงเจเป็นตึกที่ยังสร้างไม่เสร็จ อยู่กลางทะเล พอเห็นแล้วชอบมาก มีสะพานซีเมนต์ให้เดินผ่าน ระหว่างทางแขวนกระดิ่งใบโพธิ์ดังกรุ๊งกริ๊งๆ เต็มทางเดินไปหมด มีลมเย็นพัดตลอดเวลา เหมาะกับจิตร้อนๆของเรามาก ในโรงเจมีช่องประตูรับลม 4 ทิศ มีแต่ช่อง ขนาดประมาณ 4-5 เมตรได้ ยังไม่มีประตู เพราะสร้างยังไม่เสร็จ ลมเย็นมาก ตัดสินใจถูกเลยที่คิดจะมานอนที่นี่ บรรยากาศดีมาก
พอ 11 โมง เค้าก็ให้เราตั้งแถวก่อนกินข้าว หยิบอาวุธตัวเองไปตั้งแถว ต้องทำให้เต็มทุกแถว ยกเว้นแถวสุดท้ายที่เป็นเศษ หันหน้าเข้าหากัน ได้นั่งใกล้น้องหน้านิ่งโดยบังเอิญ ไอ้ปุ้ยกินมังสวิรัติต้องแยกไปนั่งคนละแถว ตอนนี้อากาศดี เราก็ไม่หงุดหงิดแล้ว แม่ชีให้ไปตักข้าวทีละแถว ค่อยๆทำ เสร็จแล้วมานั่งสมาธิ สวดมนต์ก่อนกินข้าว ชอบนั่งสมาธิในบรรยากาศเย็นๆ ถือว่าจิตนิ่งมาก เมื่อเทียบกับตัวตนปกติ
เรากินข้าวเร็วและหมดเกลี้ยง แล้วก็เอาถาดไปล้างเอง เอามาเก็บไว้ใกล้ๆเป้ เพื่อใช้วันพรุ่งนี้อีก อยู่ที่นี่ต้องกินแค่ 2 มื้อ 7 โมงเช้า และ 11 โมง หลังจากเที่ยงก็กินได้แต่น้ำกับนม ดีใจที่ได้หัดอดอาหารเย็นไปโดยปริยาย แม่ชีบอกว่า ที่นี่จะไม่มีคนพาปฏิบัติอะไรทั้งนั้น นอกจากสวดมนต์และเดินจงกรมในตอนทำวัตรเช้าตี 4 และทำวัตรเย็น ตอน 4 โมงเย็น นอกนั้นเราต้องควบคุมตัวเองเอาเอง ตอนแรกแอบผิดหวังอยู่นิดหน่อย แต่คิดไปคิดมาก็ดีนะ อยากนั่งก็นั่งเอง บรรยากาศก็เหมาะแล้ว ถ้าโดนบังคับเราก็ไม่ชอบอยู่ดีแหล่ะ
กินข้าวเสร็จมานั่งรับลมข้างช่องประตู สงสัยรับมากไปหน่อย หัวก็เลยส่ายโงนเงน บอกไอ้ปุ้ยว่า พี่ไม่ไหวแล้วนะ ขอลาไปเฝ้าพระอินทร์ก่อน ว่าแล้ว ก็เอาหัวปักเป้ตัวเอง และหลับแน่นิ่งไป ตื่นมาอีกทีเกือบบ่ายสาม หายเพลียไปเยอะเลย เจอไอ้ปุ้ยนั่งคุยกับน้องหน้านิ่งอยู่ เออ...เค้าก็คุยได้เหมือนคนธรรมดานี่แหล่ะ เค้าเป็นพยาบาลอยู่โรงพยาบาลเอกชนใหญ่โตย่านบางนา เค้าบอกว่า เจอมาเยอะ ลูกค้าโรงพยาบาลส่วนใหญ่ก็เป็นคนมีตังค์ มาพร้อมกับความเรื่องมากทั้งนั้น ต่อให้โกรธขนาดไหน หน้าเค้าก็จะนิ่งและอมยิ้มอยู่เสมอ ว่าแล้วเค้าก็ทำให้ดู เหมือนได้ฝึกตนอย่างสม่ำเสมอ ถือว่าเนียนมาก เราก็เลยอธิบายให้เค้าเข้าใจ...(พูดง่ายๆว่า แก้ตัวนั่นเอง) ว่าทำไมเมื่อเช้าเราถึงโกรธ เรารู้สึกว่าทุกคนหิวบุญ ไม่มีใครยอมใคร ไม่สนใจว่าใครจะเป็นยังไง เรื่องของฉันต้องมาก่อน เห็นแล้วหงุดหงิดมาก เพราะวัดในความรู้สึกเรา มันเป็นเหมือนที่แบ่งปันเอื้อเฟื้อ ต้องมาแล้วทำให้เราเย็นลง ไม่ใช่ร้อนขึ้น ทำบุญเพื่อติดสินบน ว่าตายห่าแล้วจะได้ไปสวรรค์แน่นอนน่ะ มันไร้สาระสิ้นดี
เราล้างหน้าเอาน้ำมันพรายออก เค้าห้ามทาแป้ง ทาเครื่องหอมอะไรทั้งนั้น ก็เลยมีหน้าที่มันเงาตลอดเวลา หัวฟูไม่เกรงใจผู้พบเห็นคนไหนทั้งสิ้น แล้วก็ไปนั่งรอทำวัตรเย็น หนังสือสวดมนต์เล่มหนาเตอะ บทสวดมนต์ที่เราไม่รู้จักมากมาย เป็นการเปิดโลกทัศน์หนึ่งอย่าง คือถ้าไม่ตั้งใจจริง ยังไงมึงก็อ่านผิดแน่ เมื่อยทั้งมือที่นั่งพนม และขาที่พลิกไปทางไหนก็ชาไปหมด ในที่สุดตัดสินใจนั่งขัดสมาธิ หาข้ออ้างให้ตัวเองว่า ‘ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจวะ’
ตอนที่ใจมันเย็นไม่ร้อนนี่ดีมากนะ อ่านอะไรก็อ่านถูกหมดเลย อยากตบมือให้ตัวเอง พอเผลอคิดว่า เออ...กูสวดถูกได้ไงวะ เราก็จะเริ่มสวดผิดทันที มีช็อตหนึ่งลุกออกไปฉี่ พอกลับมา มองไปในทะเล เห็นพระอาทิตย์ตก ดวงใหญ่เบ้อเริ่มกลมดิ๊ก สีแดงสวยไม่แสบตา ตกลงระหว่างป่าชายเลนและทะเล ธรรมะมันต้องสวยอย่างงี้ งดงามอย่างงี้ ธรรมชาติมันก็บอกอยู่ ใจจริงไม่ค่อยชอบสวดมนต์นะ คือรู้สึกดีแค่ระยะหนึ่ง สวดสองชั่วโมงนี่เยอะไปสำหรับเรา เพราะมันเข้าไม่ถึง อยากนั่งสมาธิ นั่งคิด รับสัมผัสจากธรรมชาติ อย่างทางสายเซน...ที่พอจะบรรลุก็บรรลุซะอย่างงั้น รู้แล้ว เห็นแล้ว เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว อ้อ...มันเป็นเช่นนั้นเอง รู้แจ้ง...ที่ทางเซนเค้าเรียกว่า ซาโตริน่ะ รู้สึกชอบจริงๆ ดูเป็นธรรมชาติมาก ดูเป็นปราชญ์ด้วย ขบคิดแล้วก็บรรลุ แม้จะรู้อยู่ว่าการสวดมนต์นำมาซึ่งสมาธิเหมือนกัน แต่เหมือนโดนบังคับก็เลยรู้สึกไม่ซึมซับอย่างที่ควรจะเป็น เหมือนยิ่งอยากได้ ก็จะยิ่งไม่ได้ หรือว่าพระเซนท่านก็สวดมนต์เยอะๆเหมือนกันนะ ก่อนจะแตกฉาน อันนี้ไม่เคยเจอกับตัว เลยไม่แน่ใจ ไม่เคยศึกษาอย่างจริงจังด้วย...
เมื่อสวดมนต์จนขาแข็ง ตาตุ่มขึ้นตาปลาแล้ว เราก็ได้รับคำสั่งให้ลุกมาเดินจงกรมบ้าง เป็นการเดินจงกรมที่ชอบมาก เราต้องเดินผ่านสะพานเข้าไปอ้อมโบสถ์ในทะเล เราก็ฝึกสติของเราเอง เดินช้าๆ ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ กำหนดสติให้รู้ว่าทำอะไรอยู่ อากาศตอนค่ำ ลมเย็นมาก เสียงกระดิ่งใบโพธิ์ที่แขวนตามสองข้างทางสะพาน ยังคงดังกรุ๊งกริ๊งๆๆ แข่งกับเสียงลมไปตลอดทาง เป็นตัวแปรที่ส่งให้ใจสงบพบความสบายดีมาก ถ้าให้เดินอย่างนี้เป็นชั่วโมงหรือหลายชั่วโมงก็คิดว่าทำได้แน่ เหมือนกับว่าจิตมันมาจ่ออยู่ที่จิต ยิ้มในหัวใจกันไปเลย สงสัยว่าคนอื่นเค้าคิดยังไงกัน แต่ไม่กล้าถามใคร เพราะดูว่าเป็นการไม่สำรวม แล้วเค้าจะว่าเราคิดไม่ดี (กับเรื่องสวดมนต์) จริงๆคนเราก็จะมีที่ชอบที่ชอบใช่มั้ย ก็เป็นธรรมดานะที่จะมีอะไรที่ไม่ชอบด้วย จะมาบอกว่าละแล้วอะไรกัน ขนาดตะเข็บยังทนดูไม่ได้เล้ย ในขณะที่เราไม่เดือดร้อนซะหน่อย...
พอกลับจากเดินจงกรม เค้าต้องมีกรวดน้ำต่อ แต่เราไม่เน้น ข้ออ้างที่ว่า “ทุกอย่างอยู่ที่ใจ” ใช้ได้เสมอสำหรับเรา แต่ที่ต้องมาตามหาอะไรบางอย่าง ก็เป็นเพราะมันหายไปจากใจเรานี่แหล่ะ พอเราสรุปได้ว่าเราไม่เน้นกิจกรรมช่วงหลัง เราก็ชิ่งไปอาบน้ำก่อนแต่เนิ่นๆ ทุกคนอยากได้บุญครบตามหลักสูตร แต่ห้องน้ำที่มีไม่กี่ห้อง ต้องรองรับผู้คนหลายร้อย คงลำบากมากกว่าที่เราต้องมารอต่อคิวยาวเหยียด ใจเราอาจไม่สะอาดขาวจั๊ว แต่ร่างกายเรานี่สะอาดตัวเบา พลิ้วไหวเลยทีเดียว ล้างเหงื่อไคลเหนียวเหนอะหนะ ผลพวงที่ได้มาจากลมทะเลเย็นๆแสนสุขใจของเราได้เป็นอย่างดี
เมื่อตัวเบาแล้ว เราก็เอาเป้มาหาทำเลนอน แถวสองจากช่องประตู เพราะแถวแรกต้องนอนหันหัวออกจากโบสถ์ แต่ที่ที่เรานอนคือต้องเอาขาชนกับเค้า มองโบสถ์ตอนกลางคืนได้พอดี ลมก็พัดเย็นสบาย นั่งสมาธิก่อนนอน เหมือนลมพัดเข้าไปในใจด้วย เราล้มตัวลงนอน ตื่นมากลางดึกหลายครั้ง เป็นการตื่นที่ต้องการหลับแล้วตื่นขึ้นมาบ่อยๆ เพราะพอลืมตามา ก็เจอโบสถ์ที่อยู่ห่างไกลออกไป (มันไม่ได้งดงามมากในเวลากลางวัน เพราะว่าคงได้ช่างฝีมือที่ไม่เก่งมากเท่าที่ควร หรือว่าเงินไม่ถึงก็ไม่รู้) ในเวลากลางคืนอย่างนี้ สีทองสีเงินที่ตัวโบสถ์มันสะท้อนระยิบระยับแต่พองาม มีดาวอยู่บนฟ้ารอบๆโบสถ์ สวยมาก ไม่รู้จะบอกว่าเป็นสุขเท่าไหร่ มันช่างกิโลให้ดูไม่ได้ อยากหลับแล้วตื่นบ่อยๆ เหมือนฝัน เห็นโบสถ์ เห็นดาว เห็นท้องฟ้ารอบๆ เหมือนเลนส์กล้องเทพๆ เจอภาพที่มีองค์ประกอบดีๆ แต่ตาดิจิตอลของเรามันถ่ายเก็บไม่ได้อย่างนั้น ก็เลยอยากหลับแล้วตื่นบ่อยๆแทน
ที่นี่มีไอเดียที่ดีมาก หลวงพ่อ (เราน่าจะเรียกหลวงปู่มากกว่า ท่านแก่มากแล้ว) เจ้าอาวาสท่านเป็นนักพัฒนา จากวัดที่ไม่มีใครมอง ที่ดินก็โดนน้ำทะเลรุกราน แทบไม่เหลือที่ดิน ท่านเลยสร้างทุกอย่างมันในทะเลซะเลย เพราะมันก็คือที่ของวัดนั่นแหล่ะ ท่านทำจนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่กลางทะเลมีรูปปั้นยักษ์ผีเสื้อสมุทร พระอภัยมณี สินสมุทร ฤาษี นางเงือก อยู่ข้างๆโรงเจนี่แหล่ะ แต่ด้วยเหตุผลเดียวกับโบสถ์รึเปล่าไม่รู้เลยทำให้ได้รูปปั้นที่ไม่ค่อยสวย ไม่ค่อยเก็บรายละเอียด ได้เฉพาะความใหญ่ หรือว่ามันเป็นแอ๊ปสแตร็กซ์แล้วเรามองไม่ออกเองก็ไม่รู้ แล้วก็เพราะน้ำทะเลที่นี่เป็นสีโคลนด้วย ก็เลยไม่งามเท่าไหร่ ถ้าพวกนี้ไปตั้งอยู่ที่สิมิลันล่ะก็ ไม่อยากจะคิดเลย ฝรั่งอาจจะปากอ้าตาค้างไปเลยก็ได้ แต่เท่าที่เป็นอยู่นี้ คนก็มาเที่ยวกันเยอะแยะแล้วล่ะ
ตอนเช้าเราตื่นมาตีสามกว่า ล้างหน้ามันๆออกหนึ่งปื้ด แล้วไปทำวัตรเช้า เริ่มสวดมนต์ตั้งแต่ตีสี่ ขาก็เริ่มชาตามระเบียบ พลิกไปพลิกมาบ่อยเท่าที่จะทำได้ ตีห้ากว่าก็ได้ลุกไปเดินจงกรม ถูกจริตกับการเดินจงกรมอย่างมาก อากาศเย็นๆตอนเช้า ลมทะเลก็เย็น เสียงกระดิ่งใบโพธิ์ยังคงดังอยู่ตลอดทางเดิน ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอไปเรื่อยๆ ไม่ได้อยู่กับสติดีๆแบบนี้มานานมากๆ แล้ว พอเดินอ้อมโบสถ์แล้วก็ยัง ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนออยู่ จนกระทั่ง โอ๊ะ...โอ...ปวดท้องหนอ ปวดขี้หนอ ปั่นป่วนแล้วหนอ ไปขี้ดีกว่าหนอ ไม่ไหวแล้วหนอ เลี้ยวหนอ รีบๆดีกว่าหนอ ห้องน้ำอยู่เบื้องหน้าหนอ ขี้เสร็จแล้วสบายจริงหนอ ไม่ต้องแย่งห้องน้ำใครด้วยนะหนอ ก็เลยไม่ได้กวดน้ำตามระเบียบหนอ
ออกมาจากห้องน้ำ กำลังจะเดินกลับไปที่ศาลา ระหว่างทางเดิน แลซ้าย พระอาทิตย์กำลังขึ้น ดวงใหญ่เท่าวา สีแดงสวยไม่จ้าตา ถ้าสีแดงในประเทศเราสวยและไม่จ้าตาอย่างนี้คงดี เปลี่ยนใจไม่เดินไปศาลาแล้ว นั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ดีกว่า หลังจากเพิ่งปลดทุกข์มาด้วย ถือว่าจิตเป็นสุขมาก
ตอน 7 โมง พบว่าตัวเองหิวข้าวสุดๆไปเลย ดีใจมากที่จะได้กินข้าว รีบทำตัวดีๆต่อแถวถือถาดรอรับอาหาร ปรากฏว่าแม่ชีใจดี อยากสอนโยคะและธรรมะเพิ่มเติม ตกใจเกือบทำถาดร่วง เราต้องวางถาดมาเล่นโยคะก่อน สอนถึงแปดโมง โอย...ใจจะขาด เลยกินข้าวซะเกลี้ยงทุกเม็ด แถมกับข้าวก็เอามาเยอะด้วย กินไม่เหลือ ไปล้างถาดเก็บ เข้าโหมดนั่งสมาธิของตัวเองได้ซักพัก แล้วก็เปลี่ยนโหมดเป็นนอนสมาธิ แล้วก็เปลี่ยนโหมดเป็นหลับสนิทตามลำดับ เพื่อหลีกทางให้กระเพาะทำงานอย่างเต็มที่ แหม...เกรงใจจัง
ไม่ทันไร 11 โมง ได้เวลากินข้าวอีกแล้ว ตอนนี้ตักข้าวเหมือนเอามาดม เพราะมันจะถี่เกินไปแล้ว กินเสร็จก็ล้างถาด แล้วไปนั่งสมาธิ แล้วก็เข้าเฝ้าพระอินทร์อีกหนึ่งรอบ ตื่นมาก็ล้างหน้าแล้วก็อาบน้ำ (แทนการอาบตอนเช้า) คนไม่นิยมอาบตอนนี้ เราเลยสามารถอาบได้ ไปทำวัตรเย็น วันนี้ออกมานั่งในทำเลที่เล็งว่าพระอาทิตย์จะตก จะได้ดูไปด้วย แต่กลับมีเมฆหนาซะอย่างงั้น ไม่เห็นอะไร นอกจากท้องฟ้าทะมึน จิตใจหม่นลงนิดหน่อย ไม่เห็นอาทิตย์ตก แต่ได้เจอยุงเป็นอภินันทนาการจากธรรมชาติแทน ตอมเป็นตอมควายเลยนะมึง ตบก็ไม่ได้ เพราะถือศีลอยู่ ก็ต้องหนีเข้าไปนั่งในโซนสว่าง มีพัดลม ด้วยความที่เป็นประเพณีอะไรซักอย่างของวัดที่วันนี้จะต้องสวดบังสุกุลให้ญาติผู้ล่วงลับ ก็เลยอดเดินจงกรมที่แสนจะชอบ ว้า...
พระท่านให้ทุกคนเขียนชื่อญาติผู้ล่วงลับใส่กระดาษ แล้วท่านจะทำพิธีล้อมสายสิญจน์กรวดน้ำ สวดมนต์ให้ เป็นการแผ่ส่วนบุญส่วนกุศล เราได้แต่นึกเอาในใจ เพราะไม่อยากไปต่อคิวเขียน ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านมีจริง อะไรดีๆที่เราทำก็น่าจะส่งผลถึงผู้ล่วงลับได้อย่างไม่ยากลำบากอะไร ปู่ย่าตายายเราน่าจะเข้าใจเจตนาเราได้ เราไม่รู้หรอกว่าคิดอย่างนี้มันบาปมั้ย แต่คิดอย่างงี้แหล่ะ เหมือนกับเวลาที่เราไหว้พระ ถ้าเลี่ยงได้ เราจะไม่จุดธูปจุดเทียน เราไม่เชื่อว่าธูปเทียนจะเป็นสื่อที่ทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มองเห็นหรือเข้าใจความเคารพของเราได้ ถ้าเรายกมือไหว้ด้วยความเคารพที่มาจากในใจจริงๆ ท่านน่าจะมองเห็นนะ...คิดเข้าข้างตัวเองจริงๆ ถ้าพ่อแม่รู้ว่าลูกตัวเองคิดอย่างงี้ล่ะก็ เราคงโดนตบกระโหลกร้าวตั้งแต่เด็กแล้ว
ก่อนที่พิธีจะเสร็จสิ้น เราก็ชิ่งไปอาบน้ำก่อนเหมือนเดิม เพราะว่าไม่อยากจะเหนียวตัวมากๆก่อนนอน คืนนี้หวังไว้ว่าจะได้เห็นนิมิตงามๆเหมือนเมื่อคืนอีก ก็หลับลงไปอย่างมีความหวัง ตกดึก ปรากฏว่าลมพัดแรง หนาวชิบเป๋ง ไม่มีความสวยงามของโบสถ์ให้นึกถึงอีกต่อไป ถึงกับทนอยู่ไม่ได้ ต้องลากเป้ไปนอนข้างกำแพง ที่น่าจะอบอุ่นกว่าเดิม ธรรมชาติสอนให้รู้ว่าไม่มีอะไรแน่นอน อย่าฝันหวานไปเลย วันนี้โรงเจค่อนข้างว่าง เพราะผู้คนลาศีล (สึก) ออกไปหมดแล้ว เราก็เลยนอนไหนก็ได้ตามอัธยาศัย เพื่อจะตื่นเช้ามาทำวัตรและสึกออกไปบ้างเหมือนกัน
เช้ามาก็ตื่นเกือบตีสี่ ล้างหน้า ไม่อาบน้ำแล้ว เก็บไปอาบที่บ้านเลย ไปสวดมนต์แสนนาน เดินจงกรมที่ชอบครั้งสุดท้าย เข้าไปไหว้พระในโบสถ์ มองเห็นพระพุทธรูปแค่สลัวๆเพราะมืดมาก ขอให้ตัวเองมีสติที่จะคิดดีทำดี อย่าหลงผิด ถ้าทำดี ก็ขอให้ได้ดีในที่สุด ขอให้พระคุ้มครองคนในครอบครัว อย่ามีทุกข์ร้ายแรงที่เราหาทางออกไม่ได้ ขอให้เมื่อมีปัญหาก็มีปัญญาแก้ทุกครั้ง ขอเท่านี้แหล่ะ เยอะมากเดี๋ยวพระท่านจะเหนื่อย นี่เป็นแพทเทิ่ร์นในการขอพรพระทุกๆครั้งของเราอยู่แล้ว
วันนี้ไม่มีพระอาทิตย์ขึ้นให้ดู เจอเมฆบังอีกแล้ว ลาสึกตอนเช้ามีพิธีมากมาย แต่เรารับถึงแค่ตอนลาศีลสึก ทุกอย่างเกือบจะดีแล้วเชียว มาตกม้าตายตอนที่ไปเจอป้าพราหมณ์ที่นำสวดเข้า น่าจะเป็นคนเดียวกับที่เห็นว่าตะเข็บไม่สวยด้วย แกบอกว่าให้เข้าแถวถวายพานธูปเทียนดอกไม้ และปัจจัยใส่ซอง เราเห็นเลยว่าแถวหนึ่งมันสั้น เราเลยไปต่อ อยู่ๆซ้ายมือเราเค้าก็ตั้งแถวใหม่ มาทีหลังแน่ๆ ไม่แทรก แต่เพิ่มขึ้นมาทางซ้าย
ป้าพราหมณ์พยายามประกาศออกไมค์ว่าแถวที่เราต่ออยู่เป็นแถวแทรก คือเป็นส่วนเกินที่มาทีหลัง ช่วยไปต่อแถวด้านซ้ายด้วย พอไม่มีใครออกจากแถว ป้าแกก็เลยเริ่มประจานออกไมค์ ว่าพวกเราไม่เป็นระเบียบ แล้วสังคมจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าทุกคนก็ต่างจ้องจะเอา โดยคิดเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว อยากจะบอกว่า ขนาดตะเข็บชายผ้า ป้ายังละไม่ได้เลย สวดมนต์เก่งมาทั้งชาติมันก็เท่านั้นแหล่ะป้าเอ๋ย และป้าก็ไม่ได้แหกตาดูเลยว่างานนี้ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน ป้ากระแนะกระแหนออกไมค์ระยะยาว เมื่อไม่มีใครถอยจริงๆแล้ว ป้าจึงบอกแถวทางซ้ายมือว่า ให้ทำตัวเป็นผู้เสียสละซะ ในเมื่อเค้าไม่ยอม ก็ต้องมีคนถอย เพื่อทำให้สังคมสงบสุข ประหนึ่งแถวทางซ้ายเป็นผู้เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม เสียสละให้แถวเราได้ไปก่อน โอย...เซ็งป้าตะเข็บขึ้นมาในทันใด
พอเสร็จแล้วก็ออกมานั่งรอที่พื้นที่ว่างๆรอบๆนั่นแหล่ะ เรานั่งกอดเข่า เพราะเซ็งกับที่โดนด่าฟรีมาตะกี๊นี้ นั่งอยู่ดีๆ มีป้าคนหนึ่งมาตีขาเรา เราหันไปงงๆ ป้าคนนั้นและอีกสองคนที่นั่งข้างๆทำหน้าเสมือนเป็นญาติผู้ใหญ่เราปลอมตัวมา ดุเราอีกว่า “ลาศีลแล้ว ห้ามนั่งกอดเข่าสิ นั่งให้มันดีๆ” กูอยากรู้ว่า ใครมันบัญญัติไว้วะ อยากจะบ้า แทนที่จะมาดูกันว่า จิตใจเราดีขึ้นมั้ย นี่คือสิ่งที่เราได้จากการเข้าวัดหรือนี่ รีบเถียงออกไปในทันใด “ค่ะ” เซ็งหนักกว่าเก่า เปลี่ยนเป็นนั่งขัดสมาธิ ดูซิ...จะกล้าดุกูอีกมั้ย ถ้าเดาไม่ผิด แกคงจะนั่งซุบซิบนินทาเราต่อแน่ๆ เฮ้อ...
พอไอ้ปุ้ยออกมาสมทบแล้ว เราก็ไม่รอพิธีอะไรต่อทั้งนั้น ต้องรีบจากไป as soon as possible ไปเปลี่ยนชุด แปลงร่างกลับมาเป็นคนปกติ เข้าไปไหว้พระที่เจดีย์กลางทะเลส่งท้าย อธิษฐานขออะไรบางอย่างที่พลาดไปแล้ว แล้วแบกเป้เดินคอตกออกมา ผ่านศาลาทำพิธีอีกหนึ่งรอบ พิธียังไม่เสร็จสิ้น มีการแจกของดีไว้คุ้มครองกายและใจ น่าจะเป็นพระนั่นแหล่ะ ปุ้ยบ่นว่า “อดได้ของดีเลย” เราบอกมันไปว่า “ของดีน่ะ มันอยู่ที่ใจนะ” มนุษย์ฝ่ายค้านคนเดิมกลับมาแล้ว...Welcome to my world!
มีป้าคนหนึ่งจะให้เราติดรถออกมาด้วย แต่เราขี้เกียจรอแก เลยไปถามหารถรับจ้าง มีมอเตอร์ไซด์สกายแล็ป (เป็นมอไซด์ ที่เอามาต่อด้านข้าง ทำให้มีที่นั่งเพิ่มขึ้น) ถ้าเป็นแบบในหนังสงครามจะเท่มาก แต่อันนี้เป็นมอเตอร์ไซด์เก่าๆ คนขับเป็นลุงแก่ๆ มีรอยสักที่ลำแขน เป็นรูปผู้หญิงสาวผมยาว มีไฝอันเบ้อเร่อที่มุมปาก เราจะถามว่าแกสักรูปเมียน้อยไว้เหรอ ก็ไม่กล้า แต่มันไม่ค่อยเหมือนรอยสักเท่าไหร่ มันเหมือนเด็กเอาปากกาเมจิกมาวาดมากกว่า ดูแล้วตลกดี ดูแกจะเป็นคนฮาๆด้วย แก่ๆยิ้มฟันหลอ ให้แกไปส่งที่ตลาดคลองด่าน ซึ่งไกลจากที่นี่หลายกิโล แกบอกขอแวะบ้านไปเอาหมวกกันน็อคก่อน กันเองจริงๆ เราก็แซวแกเรื่องหวยเรื่องอะไรไป
พอไปถึงบ้านแก ที่บ้านเค้าตะโกนบอกแกว่าให้มาถ่ายงูใส่กระสอบให้ก่อน แกตะโกนตอบว่า “ถ่ายเองสิวะ จะไปส่งคนที่ตลาด” เรามองเข้าไปในถุงตาข่าย มีงูมันเลื่อมตัวอย่างใหญ่นอนขดอยู่ รู้สึกขนลุก เราตะโกนถามเค้าว่า “งูอะไรคะ” เค้าบอกอย่างสนิทสนม “อ๋อ..ไอ้เห่าน่ะ” ทำท่าเหมือนธรรมดา จับกันประจำ อย่างกับเจอจิ้งจก ดูจิ๊บๆ ง่ายๆของกล้วยๆ ไม่กลัวอะไรกันเลย แต่เราแค่เห็นก็...บรึ๋ยยยย...ขนลุก...(ถึงว่าไม่มีคู่ เพราะกลัวงูนี่เอง)...หึหึหึ...
แล้วโลกโลกุตตระของเราก็จบลง ได้ตะกอนบาปมาเป็นของแถมเล็กน้อย ด้วยประการฉะนี้แล...
ปล.ถึงผู้ที่อ่านมาถึงตรงนี้อย่างตั้งใจ:
สิ่งไหนที่เป็นทัศนคติส่วนตัวของผู้เขียนที่เห็นว่าไม่ดี ก็โปรดอย่าทำเทียมและเลียนแบบ เพราะถึงจะคิดอย่างงี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะดูถูกความคิดของคนอื่นแต่อย่างใด เราก็โตๆกันแล้ว โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านให้ถ้วนถี่...อัตตาหิ อัตตโน นาโถ...ตัวใครตัวมัน...
It’s me…
Where is my way?
19 เมษายน 2555
วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2555
โลกียะ – โลกุตตระ (ตอนที่ 1)
ครั้งหนึ่งเมื่อหลายเดือนก่อน ตอนที่เพื่อนเก่านัดเจอกัน มีเพื่อนคนหนึ่งชอบไปวัดเกือบทุกอาทิตย์ เราได้เอาจิตสีเทาของตัวเองเข้าไปขวางมันไว้ เพื่อให้มันอยู่กับเพื่อนจนดึกดื่น มันบอกว่าวันรุ่งขึ้นต้องไปวัดแต่เช้า เราอ้างกับมันว่า มันจะไปวัดเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นานแสนนานกว่าเพื่อนจะเจอกันที เห็นวัดดีกว่าเพื่อน มีอย่างที่ไหน มันบอกว่าพวกเราเอาโลกโลกียะมาขวางทางโลกุตตระของมัน เออ...ถูกต้อง ใช่เลย แต่แล้วเราก็ลากมันมาจนได้
หลายเดือนเคลื่อนคล้อยผ่านไป อาทิตย์ก่อน สำเหนียกรู้สึกตัวแล้วว่า เราเป็นคนสมาธิไม่ดี หนึ่งเรื่องที่ตัดสินใจได้ คืออยากตามหาสมาธิของตัวเองกลับมา ของบางอย่างมันเป็นของเรานี่แหล่ะ อยู่กับตัวเรา แต่เราไม่ยักกะหามันเจอแฮะ ต้องหาทางไปหาจากที่อื่น ถึงแม้จะเป็นคนบ้าอ่านหนังสือ แต่การอ่านเยอะ มันก็ไม่ได้บ่งบอกว่าเราสมาธิดีเลย เพราะพอเจอเหตุการณ์ที่จิตมันฟุ้งซ่าน มันถึงกับกระเจิดกระเจิง ควบคุมไม่อยู่กันเลยทีเดียว
หยุดสงกรานต์ไม่ได้กลับบ้าน ก็ไม่รู้จะไปไหน ได้ข่าวว่าน้องที่ทำงานคนหนึ่งมันจะไปบวชชีพราหมณ์ที่วัด เออแฮะ...น่าสนใจ คือเค้าไม่ได้ชวนเราหรอก แต่เราแอบได้ยินเค้าพูดกับคนอื่นเลยหูผึ่ง นึกถึงตอนที่ตัวเองยังเด็ก ได้เข้าค่ายพุทธศาสนากับเพื่อนๆที่โรงเรียน ตั้งใจบ้างเล่นบ้าง แต่สรุปได้ว่ารู้สึกดีนะ ตอนนั้นก็รู้สึกดีกับการนั่งสมาธิ ฟังพระเทศน์ ซึ้ง...ร้องไห้น้ำตาไหล บางคนถึงกับร้องไห้ขี้มูกโป่ง อันนั้นก็ตลกดี...นึกแล้วก็อยากลองดูอีกสักครั้ง ตอนโตแล้ว มีความคิดเยอะแล้ว มันจะเป็นยังไงนะ
เราก็เลยไปถามไอ้น้องคนนั้นว่าเราไปด้วยได้มั้ย มันก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่มีเพื่อนอยู่พอดี เรานัดกันวันที่ 14 ตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อนั่งรถไปวัด แล้วบวชชีพรามณ์ 14-15-16 เช้าวันที่ 16 ก็ค่อยออกจากวัด ไปหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต มีข้อมูลอยู่แค่นิดเดียว ว่าวัดนี้อยู่ที่ฉะเชิงเทรา มีโบสถ์และสถานที่ปฏิบัติธรรมยื่นออกไปในทะเล แค่เรื่องธรรมชาติก็น่าสนใจแล้ว ถือว่าเป็นการไปเที่ยวทางธรรมครั้งแรกในรอบยี่สิบปี ดูซิ...ว่าจิตเรามันจะจูนอะไรดีๆเจอมั้ย
วันที่ 13 ไม่มีอะไรทำ เลยไปทำงานก่อน ก็แต่งชุดโรงงาน ไปทำงานหน้าตาเฉยเป็นปกติ ถนนหนทางโล่งมาก หมู่มวลมนุษย์มีอยู่บางตา อยากให้เป็นอย่างงี้ทุกๆวัน เลิกงานก็กลับห้อง ไปหาซื้อของที่โลตัสข้างห้องอีกเล็กน้อย คิดว่าซื้อของเสร็จก็จะกลับไปจัดกระเป๋า อาบน้ำ และเข้านอนแต่เร็วๆ พรุ่งนี้จะต้องย้ายไปนอนวัดแล้ว ตื่นเต้นๆ น่าสนุก ระหว่างเดินซื้อของอยู่ เสียงมือถือก็ดังขึ้น เบอร์ใครวะไม่รู้จัก แต่รับหน่อยก็ได้
“ฮัลโหล...กาก้า คุณอยู่ไหน มานี่เลยนะ” เสียงของน้องที่ทำงานชื่ออีถุย (ความจริงมันไม่ได้ชื่อนี้ แต่พวกเราคิดว่ามันเหมาะกับชื่อนี้มากกว่า เลยเรียกมันอย่างงี้มาโดยตลอด) อีถุยจิกหัวเรียกเราอย่างสนิทสนม พวกมันเรียกเราว่า “กาก้า” ที่ไม่ได้มี “เลดี้” นำหน้าแต่อย่างใด อาจเพราะครั้งหนึ่งตอนบอลโลก เราเคยชอบ ริคาโด้ กาก้า และชื่อมาพ้องกับชื่อจริงเราพอดี
“ไป...จะให้กูไปไหน พรุ่งนี้กูจะไปวัด ต้องรีบนอน ว่าแต่...พวกมึงอยู่ไหน อยู่กับใครบ้างเนี่ย”
ถุยได้ถามเราผ่านทางโทรศัพท์ว่าคิดดีแล้วเหรอจะไปวัดเนี่ย มันจะเหมาะเหรอ เป็นภัยศาสนามั้ย คิดใหม่มั้ย ถุยบอกว่ามานี่เถอะ มันอยู่ที่บ้านเดอะจิ๋มส์ (พวกเราเรียกมันว่าจิ๋ม เพราะมันไม่เหมาะกับชื่อเล่นจริงๆของตัวเองเช่นกัน เหมาะกับชื่อนี้มากกว่า ตัว “ส์” ที่เติมด้านหลัง ก็เป็นไปตามหลักไวยกรณ์ที่แสดงความเป็นพหูพจน์นั่นแหล่ะ) เราไม่ได้เจอเดอะจิ๋มส์นานแล้ว เพราะมันลาออกจากบริษัทไปทำงานที่อื่น พวกมันนั่งกินเหล้ากันอยู่ มีไอ้หมีด้วย ไอ้หมีเป็นน้องที่ออกไปจากที่ทำงานนานแล้วเหมือนกัน แต่มีความสนิทสนมและความบ้าที่เข้ากันได้ ไม่ได้เจอมาเป็นปี หลังจากออกไป มันก็ไปเป็นผู้จัดการที่โรงงานอื่นอยู่หลายปี ก่อนที่จะกลับไปทำกิจการเกี่ยวกับยางพาราของบ้านตัวเองที่นครศรีธรรมราช จะล่องลอยขึ้นมาหลอกหลอนแค่เหตุการณ์เฉพาะกิจเท่านั้น
“ถ้าไปแล้วพวกมึงออกมาส่งกูนะ กูต้องนอนเร็ว เพราะกูต้องไปวัดแต่เช้า เข้าใจใช่มั้ย”
“กาก้า อย่าห่วง คืนนี้พวกมันจะไป dark อยู่แล้ว ใกล้โลตัสเลย เดี๋ยวไปส่ง” คำว่า dark เป็นคำที่ใช้กันอย่างเป็นทางการในกลุ่ม โดยนัยยะ แปลว่า กิจกกรมใดๆก็ตามที่เป็นไปในทางมืด ทางเสื่อม เรียกว่า dark ได้หมด
“สัญญาต้องเป็นสัญญานะพวกมึง กูมีโลกโลกุตตระรออยู่ อย่าทำให้กูมัวหมองด้วยโลกโลกียะ โอเคนะ”
หลังจากสัญญากันเป็นมั่นเป็นเหมาะ เราเลยเดินไปขึ้นแท็กซี่ที่ปากซอย เพื่อไปสุมหัวนั่งเม้าท์ที่บ้านพวกมันในทันใด คิดไว้ว่าไม่เกิน 5 ทุ่มน่าจะได้กลับมานอน พอไหวนะพอไหว ไปก็ได้วะ คิดถึงน้องๆ ด้วย
ก็ไปนั่งคุยกับพวกมัน ทั้งๆที่ก็ไม่ได้กินเหล้ากินเบียร์นี่แหล่ะ กินน้ำเปล่า และขนมถุง ปากก็เม้าท์ๆไป เรื่องอะไรต่อมิอะไรที่ผิดหวังมา เรื่องที่สมหวัง...ว้า...ไม่มีเลย
ไม่เจอหน้าอีหมีนาน แต่พฤติกรรมบางอย่างก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง มันจะมีใครอีกมั้ยวะในโลกนี้ ที่เวลานั่งคุยกับเพื่อนแล้วชอบถูขี้ไคลที่ตีนไปด้วย ยกตีนขึ้นมาแล้วก็ถูขี้ไคลที่ฝ่าตีนโดยอัตโนมัติ ถูอย่างเป็นจังหวะจะโคน เหมือนดีเจ scratch แผ่น ถูไปเรื่อยๆ ถูแล้วก็เอานิ้วเดียวกันนั่นแหล่ะ ไปถูหน้ารูจมูก อยากจะทำให้ดูจริงๆ จะได้รู้ว่ามันตลกและน่ารังเกียจขนาดไหน
เราถามมันว่า นี่มึงยังไม่เลิกถูตีนอีกเหรอ มันบอกว่า ถึงจะถูตีนอยู่ แต่ว่าตีนหายเหม็นแล้วนะ พี่ควรจะดีใจและรู้จักพอ มันว่าเวลามันไปรับซื้อยาง มันก็นั่งถูตีนนี่แหล่ะรอ เรานั่งหัวเราะ และคอยควบคุมมันว่า มึงห้ามเอามือล้วงน้ำแข็งนะ ห้ามเด็ดขาดเลย เดี๋ยวให้คนอื่นชงให้ มึงนั่งแดกไปอย่างเดียวพอ มีครั้งหนึ่งมันเอามือที่ถูตีนนั่นแหล่ะ มาสะกิดเรียกเรา “พี่ๆๆ”
เราตกใจ “ไอ้หอกหมี มึงเรียกเฉยๆก็ได้ ไม่ต้องมาแตะกูเลย กูยินดีบอกมึงอย่างจริงใจเลยว่า กูรังเกียจ แม่งเอ๊ย”
และทั้งๆที่นั่งจ้องมือมันเอาไว้ แต่สุดท้ายพอเผลอ มันก็เอาถังน้ำแข็งไปล้วงจนได้ ไอ้ห่าหมี...มึงช่างไม่เห็นใจเพื่อนๆเลย คิดแล้วก็อยากจะอ้วก ทำใจกินต่อไม่ไหวจริงๆ พวกเราคุยเรื่องใครต่อใคร วิเคราะห์สถานการณ์โลก ถุยเอาฝาโซดามาทำหมากเดินแทนตัวละครทุกตัวที่เราพูดถึง ให้ทุกคนเข้าใจมากขึ้น ทักษะการเสือกเรื่องชาวบ้านสูงกันทู้กคนเลย
เกือบห้าทุ่ม พวกเราออกมา โดยถุยสัญญาว่าจะมาส่งกลับ พวกมันจะไป dark ต่อที่ผับแถวๆนั้นแหล่ะ มีเหตุจำเป็นบางอย่างที่ทำให้จิ๋มเปลี่ยนใจไม่ไปแล้ว เนื่องจากเจ้าพ่อแห่งการ dark คือเดอะจิ๋มส์ พอจิ๋มไม่มา อีถุยกับอีหมีก็เลยเปลี่ยนใจไม่ไปผับแล้ว แต่ไปกินเบียร์และฟังเพลงต่อที่ร้านอาหารแถวๆคอนโดเราดีกว่า แล้วมันก็พูดจาหว่านล้อมให้เราไปด้วย บอกว่าไม่ใช่ว่าหมีจะมากับเราได้ทุกวัน นานๆเจอกันที
“แม่ง...แล้วทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วยวะ แป๊บเดียวนะมึง เดี๋ยวกูกลับ พรุ่งนี้กูต้องไปวัดแต่เช้า” พยายามย้ำ
หมีบอกว่า “ผมเลี้ยงนะ...ไม่ใช่ว่าพี่จะได้กินง่ายๆ พี่คิดดูละกัน” พูดซะ กูคงต้องไปใช่มั้ย...
พวกมันก็ไปนั่งกินเบียร์กัน เราก็กินน้ำเปล่า และกับข้าว เป็นเพื่อน เฮ้อ...ให้อนาถตัวเอง เราพยายามพูดเรื่องไปวัด เพื่อให้ดูว่า เรากำลังใฝ่ดี อีหมีบอกว่า “รู้มั้ยพี่ว่าก่อนที่จะพบทางธรรม พี่ก็ต้องเจอมารผจญก่อน พี่ต้องผ่านมันไปให้ได้ฮะ”เออ...กูกำลังก้าวผ่านอยู่
เนื่องจากเป็นวันสงกรานต์ ผู้คนก็เลยเล่นน้ำกันในร้านอาหารด้วย น้ำที่เค้าเล่นก็คือน้ำในถังใหญ่ ซึ่งใส่น้ำแข็งก้อนอย่างควายเอาไว้ อย่างเย็น เราไม่เล่นด้วย นั่งเฉยๆ และยังอยู่ในชุดยูนิฟอร์มของโรงงาน อย่างมากเค้าก็ฉีดน้ำปิ๊ดๆ ใส่ แค่พอเป็นกระสัย เด็กๆในร้านยิงปืนฉีดน้ำใส่อีหมี หมีจะบอกว่า “มายิงที่หัวใจพี่เลยดีกว่าฮะ” แล้วก็เอามือชี้หัวใจ ทำท่าน้ำเน่าใส่ เค้าก็เลยเอาน้ำเย็นๆใส่ถังน้ำแข็งมาราดมัน หมีตะโกนว่า “ไข่ครับไข่” น้ำมันเย็น ราดที่หัวใจ เปียกไปถึงไข่เลย เพราะปากหมี อีถุยก็เลยโดนด้วย ซึ่งถุยอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ พอเปียกก็เลยพูดไม่ออก
อีหมีเป็นผู้ชายตัวใหญ่ สูงร้อยแปดสิบกว่า หัวเหลี่ยม เป็นคนจอนจัด คือมีจอนหนามาก หนวดเคราอีกเพียบ ใส่เสื้อโปโล กางเกงขาสั้นเท่าเข่า แต่วันนั้นเพิ่มอ๊อปชั่นด้วยการมีกระเป๋าพลาสติกเล็กๆ เหมือนของเด็กผู้หญิง สายเป็นเชือก คาดที่บ่ามาถึงข้างเอว เก็บมือถือและตังค์ เหมือนเด็กถือกระติกน้ำหมีน้อย แต่พอเป็นอีหมี มันดูขัดแย้งมาก เจ้าของวลีเด็ดประจำตัว “อย่าสงสัยในความรักของหมีเลย” ทำหน้าเท่ๆ แต่มันดูตลกมากในสายตาพวกเรา
พวกเราอยากได้ปืนฉีดน้ำแต่ไม่อยากซื้อ หมีซื้อเบียร์ มันต่อรองขอแถมปืนฉีดน้ำ ได้ปืนอันเล็กจิ๋วมา 1 อัน แปลงร่างเป็น “มือปืนนกเพลิงลำพอง มาริโอ้ ณ ทุ่งสง” คาบบุหรี่ 1 ตัว ออกอาละวาดใส่ facebook แต่ดึกแล้ว เลยไม่ได้รับความสนใจ ตลกและน่าสงสารมาก พอหกทุ่มเราเห็นควรว่าจะกลับ แต่ดันไปเปรยให้พวกมันฟังว่า ไปคาราโอเกะกับน้องๆรุ่นใหม่ไม่สนุกเลย เพราะน้องๆไม่บ้า ถุยเลยบอกว่า งั้นไปกันมั้ยฮึ มาแล้วไงทางสายดาร์ค เราเลยนึกสนุก เออเนาะ...ไหนๆ พวกเรามันก็บ้าๆแล้ว นานๆเจอกันที ว่าแต่จะไปที่ไหนวะ ถุยบอกนี่เลย “โรมัน” ผมสนิทกับมาม่า อย่าไปห่วง...ฮ้า...
“โรมัน” คือคาราโอเกะ ปนผับปนเล้าจ์ ปนแม่เล้าปนลูกเล้าเต็มไปหมด อาจปนอีกหลายอย่างที่เราไม่รู้ด้วย พวกนั้นมันชอบเรียกชื่อให้มันเท่ๆขึ้นไปอีกว่า “โรมัน พั้บลิเชนโก้” ตามชื่อนักบอลที่เราไม่รู้จัก มันเรียกจนเราจำได้ เมื่อก่อนจะรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะจะมีเด็กนั่งดริ๊งค์เต็มไปหมด เห็นแล้วมันหดหู่ สถานที่เชิงนี้จะไม่อยากไปเลย เราก็บอกมันตรงๆว่า เวลาเพื่อนๆไปอย่างงี้ แล้วเรามักจะถูกทิ้ง มันน่าเบื่อ และก็รู้สึกแปลกๆด้วยที่เราเป็นผู้หญิงแต่ต้องมาดูมารู้มาเห็นโลกด้านนี้ เหมือนเป็นด้านมืด ถุยได้ให้ความมั่นใจอย่างจริงจังว่า
“ผมพาคุณไป ผมไม่ทิ้งคุณหรอก เราก็อยู่ในห้องคาราโอเกะของเราไป ไม่ต้องไปสนใจข้างนอก เชื่อผมสิ” ไอ้ที่พูดกัน คุณ – ผม เนี่ย ไม่ใช่ว่าสุภาพอะไรนะ มันแทนคำว่า กู – มึง เฉยๆ
“พวกมึงจะทนไหวเหรอ ไม่เรียกเด็กจริงๆนะ” ถุยให้คำมั่น ถุยบอกว่า ถ้าไม่รักก็ทำอะไรไม่ได้หรอก หมีบอกว่า หมีเมาก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน งั้นโอเค ลุยเป็นลุย ไปก็ไป เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ถุยอ้างว่า เราก็ไม่ได้ไปกันบ่อยๆด้วย ช่วยพวกมันกินเบียร์นิดหน่อยให้หมดหลอดเพราะเสียดายของ แล้วหกทุ่มครึ่งเราก็ย้ายทำเล Next Station...“โรมัน พั้บลิเชนโก้”
ตอนขึ้นรถ...เราเอาปืนฉีดน้ำ มาจ่อหัวไอ้ถุย “ขับไปดีๆเลยนะมึง ไม่งั้นกูยิงไอ้นี่สมองกระจุยแน่” ว่าแล้วก็ฉีดปิ๊ดออกไปเลย สะใจจริงๆ ไอ้ถุยถามว่า “นี่กูอยู่กับคนบ้าใช่มั้ย”
เราเอาปืนฉีดน้ำจ่อคางตัวเอง “อย่าพูดอย่างงี้นะ ไม่งั้นกูยิงอีนี่แน่” แล้วก็ฉีดน้ำใส่คางตัวเองปิ๊ดๆ สนุกดี
พอไปถึง... มาม่าซึ่งเราคิดว่าเค้าจะแก่งั่ก แต่กลับเป็นเด็กสาวอัธยาศัยดี ก็ปรี่เข้ามาทักทายถุยอย่างสนิทสนมมากกกกก...ถุยรีบยืนยันเจตนารมย์ว่าวันนี้ถุยจะร้องคาราโอเกะเท่านั้น ไม่ยุ่งทางอื่น วะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะ...ดีมากอีถุยที่รีบแจ้งเจตนารมย์ ก่อนที่จะโดนกูเตะ สิ่งหนึ่งอย่างที่นึกได้คือ ถ้าถุยสามารถสนิทกับมาม่าได้ แสดงว่าความช่ำชองคงไม่แพ้ใครในโลกหล้า...หึหึหึ...ถุยสมชื่อมาก ไม่รัก...ทำไม่ลงหรอก...ถุย...
ตอนนั้นเหมือนเราเข้ามาในดงอะไรซักอย่าง แต่ตัวเองไม่รู้สึกหดหู่หรือรังเกียจอะไรเลย ตื่นตามาก ผู้หญิงที่นี่จะผอมเพรียวหุ่นดี ไม่รู้ว่าเพราะวันนั้นคือวันสงกรานต์รึเปล่า ทุกคนเลยแต่งชุดบิกินี่ ข้างบนชิ้น ข้างล่างก็อีกชิ้น และรองเท้าส้นสูงปรี๊ด ว่ากันว่าที่นี่จะเป็นสถานที่รวมเด็กวรรณะสูงของย่านนี้ ผู้หญิงที่นั่นพากันนมโตมาก จะโตกันไปไหนนี่ หมีบอกเราเป็นข้อมูลเสริม “เค้าทำมาครับพี่” มันแปลกมากที่เราไม่รู้สึกแย่ ไม่รู้สึกว่าควรดูถูกเค้าด้วย เมื่อก่อนเราจะมองว่าโลกด้านนี้มันคือโลกมืด ตอนนี้กลับมองว่าเค้าเป็นคนธรรมดาที่ก็แค่ทำงานของตัวเอง อาจดูก๋ากั่นเกินเลยไปบ้าง เพราะสภาพแวดล้อมันพาไป ตลกตัวเองมากกว่าที่ใส่ชุดโรงงาน มานั่งทำหน้าเด๋อด๋าอยู่ที่นี่
ตอนแรกเค้าไม่มีห้องคาราโอเกะว่าง เราบอกมาม่าว่า ไปไล่ออกมาซักห้องหนึ่งได้มั้ยอ่ะ อยากร้องเพลง (เสียงก็ห่วย เสือกอยากร้องเพลง) แต่เค้าทำให้ไม่ได้ เราก็เลยต้องนั่งที่บาร์ดูพวกผู้ชายหื่นกระหาย กับเด็กสาวบั่งเบียดเสียดทำนู่นทำนี่กันไป เราปลงตกและเห็นว่า มันเป็นเรื่องขำๆซะอย่างงั้น ผู้หญิงนมกลมโต ขาวๆ ใส่บิกินี่ร้องเพลง เดินว่อนไปมา นึกว่านั่งอยู่ฮาวาย แต่มืด...และแน่นอน ใครจะจับจะอะไรก็เชิญตามสะดวก แอบสงสัยว่ากูเป็นผู้หญิงจริงๆใช่มั้ย อย่างน้อยๆมันก็ไม่น่าจะต่างกันขนาดนี้ นมโตๆเต็มไปหมด มองไปมองมา ตาลาย ถามพวกมันว่าแล้วถ้าเข้าห้องน้ำล่ะ มันก็บอกว่า ก็ไปเข้าสิวะ กลัวอะไร เอ่อ...กูเกรงใจเค้าน่ะ ไม่รู้จะทำหน้ายังไง
พวกเรานั่งอยู่จนตีหนึ่งกว่า ก็มีห้องว่าง ถือว่ามาด้วยใจกันจริงๆ เริ่มร้องเพลงโดยเริ่มจากเพลงเกรงใจของแร็พเตอร์ ทันสมัยกันมากๆ เจ เจตริน คริสติน่า คาราบาว เพลงยุค 2540 ลงไป ถูกขุดขึ้นมาฟีเจอริ่งใหม่โดยพวกเราเอง ทำตัวเหมือนไส้เดือนโดนน้ำร้อนลวก ดิ้นจนกระดูกร้าวกันไปข้างหนึ่ง พวกเราทบทวนท่าเต้นในอดีต (อดีตใครอดีตมัน) สนานกันมาก ตอนนี้เราตัดสินใจแล้วว่า เอาเป็นว่ากูไม่นอนละกัน มาถึงขั้นนี้ วัดกันที่วัดไปเลย ว่าหมู่มารมันเอาชนะยากขนาดไหน ความสนุกอาจมาตกที่เรามากเป็นพิเศษ เพราะพวกมันสองตัวมาที่แบบนี้ ความสนุกของพวกมันอาจเป็นอีกแบบหนึ่งก็เป็นได้
ตอนเราออกไปเข้าห้องน้ำ บาร์ข้างนอก ได้แปลงร่างเป็นอะโกโก้ นมโตๆทั้งหลาย ได้ขึ้นไปดิ้นกระเจิงบนโต๊ะ พวกผู้ชายทั้งหมดก็แปลงร่างเป็นสัมภเวสีผีเปรต ยืนชูไม้ชูมือขอส่วนบุญอยู่เบื้องล่าง เห็นแล้วสยอง ฮ้า...ภาพจำลองของนรกชั้นอเวจี เดินผ่านนรกไปที่ห้องน้ำเด็ก ที่นี่จะจะไม่มีห้องน้ำหญิงหรอก มีห้องน้ำชายและห้องน้ำเด็ก ซึ่งอยู่คนละโซนกันเลย ก็พอจะเข้าใจนะว่า ทำไมมันอยู่ห่างกัน พอดีเราเป็นเพศเดียวกับเด็ก ก็เลยควรเข้าห้องน้ำเด็กมากกว่าห้องน้ำชาย ในห้องน้ำ...มีน้องๆยืนตัวเปียกปอนกัน ไม่ต้องห่วงว่าจะหนาว เพราะว่าเสื้อผ้าเปียกนิดเดียว ก็มันเป็นบิกินี่ เค้ายืนดูดบุหรี่ควันฉุย แมลงสาบแอบกินขนม อมลูกอมเสียจนแก้มตุ่ย ฮือๆๆ พยายามทำหน้าให้เป็นมิตรที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราเป็นคนเดียวที่แต่งชุดมิดชิด แถมเป็นชุดโรงงานอีกต่างหาก และหน้าตาเหมือนแม่บ้านมาก น้องๆเค้าคงกลัวเราจะเขิน เค้ายิ้มให้ แล้วก็ขอโทษเรา และขออนุญาตปะแป้งที่แก้ม เออ...มันช่วยได้มากเลยแฮะ เค้าก็น่ารักดีนะ ยังขำตัวเองอยู่จนถึงตอนนี้ พูดถึงแล้วหน้าแดง...
ตอนตีสามกว่า มีสองสาวจูงมือกันเข้ามาในห้องที่พวกเราอยู่ คนหนึ่งโนบรา และมีสติ๊กเก้อร์แปะอยู่ที่หัวนมเท่านั้น อุ...อึ้ง...เค้าก็คงอึ้งไม่แพ้กันที่มาเจอเรา ซึ่งเป็นเพศเดียวกันกับเค้า เรายิ้มให้ บอกเค้าว่าไม่เป็นไรค่ะน้อง เชิญตามสบาย อีหมีรีบหนีออกไปเลย เค้าบอกถุยว่า “ช่วยซื้อสติ๊กเกอร์แปะหน่อยค่ะ” เออ...อันนี้ฮาแฮะเพราะไม่เคยเห็น คือให้ซื้อสติ๊กเกอร์เลื่อมๆดวงเล็กๆ ดวงละร้อยบาท มาแปะที่ไหนบนร่างเค้าก็ได้
ถุยซื้อสติ๊กเกอร์สองดวงแล้วแหกปากเรียกเรา
“กาก้า มาแปะเลย ผมอยากเห็นคุณแปะ” อ๊าว...ไอ้เวรนี่ กูอยู่ของกูดีๆ
เราบอกมันว่า “เฮ้ย...มึงตามสะดวกเลย ไม่ต้องสนใจกู” หึหึหึ...มาถึงขั้นนี้แล้ว ยิ้มให้เต็มที่ เกรงใจน้องเค้า
ถุยไม่ยอม “ไม่...ผมซื้อให้ อยากเห็นคุณแปะ เร็วๆเลย อย่ามาลีลา” เหี้ยนี่...ใจก็กลัวว่าเค้าจะคิดว่าเราดูถูกเค้า เราเลยเดินไปใกล้ๆ ยิ้มให้ แล้วบอกว่า “ขอโทษนะคะ พี่จะแปะล่ะนะ”
พอเราพูดออกไปอย่างนี้ อีถุยรีบหันไปที่พื้นข้างๆเรา “ถุย...กาก้า...ถุยเลย”
เราตบหัวมันหนึ่งที แล้วพูดว่า “นี่..กูเป็นคนดีนะมึง” รีบขอโทษเค้าอีกครั้ง แล้วหลับหูหลับตาแปะไปที่นมโตๆของเค้านั่นแหล่ะ แล้วก็ขอบคุณเค้าด้วย ก่อนที่เค้าจะจูงมือกันออกจากห้องไป เราหันไปสรรเสริญถุย “เหี้ยเอ๊ย”
เราอยู่กันจนถึงเกือบตีสี่ แล้วก็กลับ เพราะผับปิด เมื่อยมาก อยู่ใกล้ๆห้อง แต่ให้ถุยไปส่งเพราะว่ากลัวหมาแถวๆนั้น ตอนไปถึงหน้าคอนโดมีหมานอนอยู่บนม้านั่งด้านนอก เราลงจากรถ
ไอ้หมีเปิดกระจกออกมา ตะโกนถามว่า
“ไหน...หมาตัวไหนจะรังแกพี่ พี่บอกผม ผมมีปืน ยิงแม่งไส้แตกเลย นี่แนๆ” ว่าแล้วมันก็ยิงปืนฉีดน้ำใส่หมาที่นอนอยู่ซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเลย พร้อมทั้งหัวเราะ ฮ่ะๆๆ ดังๆเหมือนตัวโกงในหนังจีน โห...โคตรจะเก่งเลยว่ะ น้องกู...โลกโลกียะจบลงที่ตีสี่นิดๆ แล้วเราจะลากสังขารไปวัดยังไงวะเนี่ย...อาบน้ำ นั่งพิงเตียงแล้วเผลอหลับไป...กระเป๋าก็ยังไม่จัด
เดี๋ยวขอต่อภาคจบ ซึ่งเป็นช่วงมารน้อยค้นหาโลกโลกุตตระในตอนต่อไปนะ
It’s me...
17 เมษายน 2555
หลายเดือนเคลื่อนคล้อยผ่านไป อาทิตย์ก่อน สำเหนียกรู้สึกตัวแล้วว่า เราเป็นคนสมาธิไม่ดี หนึ่งเรื่องที่ตัดสินใจได้ คืออยากตามหาสมาธิของตัวเองกลับมา ของบางอย่างมันเป็นของเรานี่แหล่ะ อยู่กับตัวเรา แต่เราไม่ยักกะหามันเจอแฮะ ต้องหาทางไปหาจากที่อื่น ถึงแม้จะเป็นคนบ้าอ่านหนังสือ แต่การอ่านเยอะ มันก็ไม่ได้บ่งบอกว่าเราสมาธิดีเลย เพราะพอเจอเหตุการณ์ที่จิตมันฟุ้งซ่าน มันถึงกับกระเจิดกระเจิง ควบคุมไม่อยู่กันเลยทีเดียว
หยุดสงกรานต์ไม่ได้กลับบ้าน ก็ไม่รู้จะไปไหน ได้ข่าวว่าน้องที่ทำงานคนหนึ่งมันจะไปบวชชีพราหมณ์ที่วัด เออแฮะ...น่าสนใจ คือเค้าไม่ได้ชวนเราหรอก แต่เราแอบได้ยินเค้าพูดกับคนอื่นเลยหูผึ่ง นึกถึงตอนที่ตัวเองยังเด็ก ได้เข้าค่ายพุทธศาสนากับเพื่อนๆที่โรงเรียน ตั้งใจบ้างเล่นบ้าง แต่สรุปได้ว่ารู้สึกดีนะ ตอนนั้นก็รู้สึกดีกับการนั่งสมาธิ ฟังพระเทศน์ ซึ้ง...ร้องไห้น้ำตาไหล บางคนถึงกับร้องไห้ขี้มูกโป่ง อันนั้นก็ตลกดี...นึกแล้วก็อยากลองดูอีกสักครั้ง ตอนโตแล้ว มีความคิดเยอะแล้ว มันจะเป็นยังไงนะ
เราก็เลยไปถามไอ้น้องคนนั้นว่าเราไปด้วยได้มั้ย มันก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่มีเพื่อนอยู่พอดี เรานัดกันวันที่ 14 ตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อนั่งรถไปวัด แล้วบวชชีพรามณ์ 14-15-16 เช้าวันที่ 16 ก็ค่อยออกจากวัด ไปหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต มีข้อมูลอยู่แค่นิดเดียว ว่าวัดนี้อยู่ที่ฉะเชิงเทรา มีโบสถ์และสถานที่ปฏิบัติธรรมยื่นออกไปในทะเล แค่เรื่องธรรมชาติก็น่าสนใจแล้ว ถือว่าเป็นการไปเที่ยวทางธรรมครั้งแรกในรอบยี่สิบปี ดูซิ...ว่าจิตเรามันจะจูนอะไรดีๆเจอมั้ย
วันที่ 13 ไม่มีอะไรทำ เลยไปทำงานก่อน ก็แต่งชุดโรงงาน ไปทำงานหน้าตาเฉยเป็นปกติ ถนนหนทางโล่งมาก หมู่มวลมนุษย์มีอยู่บางตา อยากให้เป็นอย่างงี้ทุกๆวัน เลิกงานก็กลับห้อง ไปหาซื้อของที่โลตัสข้างห้องอีกเล็กน้อย คิดว่าซื้อของเสร็จก็จะกลับไปจัดกระเป๋า อาบน้ำ และเข้านอนแต่เร็วๆ พรุ่งนี้จะต้องย้ายไปนอนวัดแล้ว ตื่นเต้นๆ น่าสนุก ระหว่างเดินซื้อของอยู่ เสียงมือถือก็ดังขึ้น เบอร์ใครวะไม่รู้จัก แต่รับหน่อยก็ได้
“ฮัลโหล...กาก้า คุณอยู่ไหน มานี่เลยนะ” เสียงของน้องที่ทำงานชื่ออีถุย (ความจริงมันไม่ได้ชื่อนี้ แต่พวกเราคิดว่ามันเหมาะกับชื่อนี้มากกว่า เลยเรียกมันอย่างงี้มาโดยตลอด) อีถุยจิกหัวเรียกเราอย่างสนิทสนม พวกมันเรียกเราว่า “กาก้า” ที่ไม่ได้มี “เลดี้” นำหน้าแต่อย่างใด อาจเพราะครั้งหนึ่งตอนบอลโลก เราเคยชอบ ริคาโด้ กาก้า และชื่อมาพ้องกับชื่อจริงเราพอดี
“ไป...จะให้กูไปไหน พรุ่งนี้กูจะไปวัด ต้องรีบนอน ว่าแต่...พวกมึงอยู่ไหน อยู่กับใครบ้างเนี่ย”
ถุยได้ถามเราผ่านทางโทรศัพท์ว่าคิดดีแล้วเหรอจะไปวัดเนี่ย มันจะเหมาะเหรอ เป็นภัยศาสนามั้ย คิดใหม่มั้ย ถุยบอกว่ามานี่เถอะ มันอยู่ที่บ้านเดอะจิ๋มส์ (พวกเราเรียกมันว่าจิ๋ม เพราะมันไม่เหมาะกับชื่อเล่นจริงๆของตัวเองเช่นกัน เหมาะกับชื่อนี้มากกว่า ตัว “ส์” ที่เติมด้านหลัง ก็เป็นไปตามหลักไวยกรณ์ที่แสดงความเป็นพหูพจน์นั่นแหล่ะ) เราไม่ได้เจอเดอะจิ๋มส์นานแล้ว เพราะมันลาออกจากบริษัทไปทำงานที่อื่น พวกมันนั่งกินเหล้ากันอยู่ มีไอ้หมีด้วย ไอ้หมีเป็นน้องที่ออกไปจากที่ทำงานนานแล้วเหมือนกัน แต่มีความสนิทสนมและความบ้าที่เข้ากันได้ ไม่ได้เจอมาเป็นปี หลังจากออกไป มันก็ไปเป็นผู้จัดการที่โรงงานอื่นอยู่หลายปี ก่อนที่จะกลับไปทำกิจการเกี่ยวกับยางพาราของบ้านตัวเองที่นครศรีธรรมราช จะล่องลอยขึ้นมาหลอกหลอนแค่เหตุการณ์เฉพาะกิจเท่านั้น
“ถ้าไปแล้วพวกมึงออกมาส่งกูนะ กูต้องนอนเร็ว เพราะกูต้องไปวัดแต่เช้า เข้าใจใช่มั้ย”
“กาก้า อย่าห่วง คืนนี้พวกมันจะไป dark อยู่แล้ว ใกล้โลตัสเลย เดี๋ยวไปส่ง” คำว่า dark เป็นคำที่ใช้กันอย่างเป็นทางการในกลุ่ม โดยนัยยะ แปลว่า กิจกกรมใดๆก็ตามที่เป็นไปในทางมืด ทางเสื่อม เรียกว่า dark ได้หมด
“สัญญาต้องเป็นสัญญานะพวกมึง กูมีโลกโลกุตตระรออยู่ อย่าทำให้กูมัวหมองด้วยโลกโลกียะ โอเคนะ”
หลังจากสัญญากันเป็นมั่นเป็นเหมาะ เราเลยเดินไปขึ้นแท็กซี่ที่ปากซอย เพื่อไปสุมหัวนั่งเม้าท์ที่บ้านพวกมันในทันใด คิดไว้ว่าไม่เกิน 5 ทุ่มน่าจะได้กลับมานอน พอไหวนะพอไหว ไปก็ได้วะ คิดถึงน้องๆ ด้วย
ก็ไปนั่งคุยกับพวกมัน ทั้งๆที่ก็ไม่ได้กินเหล้ากินเบียร์นี่แหล่ะ กินน้ำเปล่า และขนมถุง ปากก็เม้าท์ๆไป เรื่องอะไรต่อมิอะไรที่ผิดหวังมา เรื่องที่สมหวัง...ว้า...ไม่มีเลย
ไม่เจอหน้าอีหมีนาน แต่พฤติกรรมบางอย่างก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง มันจะมีใครอีกมั้ยวะในโลกนี้ ที่เวลานั่งคุยกับเพื่อนแล้วชอบถูขี้ไคลที่ตีนไปด้วย ยกตีนขึ้นมาแล้วก็ถูขี้ไคลที่ฝ่าตีนโดยอัตโนมัติ ถูอย่างเป็นจังหวะจะโคน เหมือนดีเจ scratch แผ่น ถูไปเรื่อยๆ ถูแล้วก็เอานิ้วเดียวกันนั่นแหล่ะ ไปถูหน้ารูจมูก อยากจะทำให้ดูจริงๆ จะได้รู้ว่ามันตลกและน่ารังเกียจขนาดไหน
เราถามมันว่า นี่มึงยังไม่เลิกถูตีนอีกเหรอ มันบอกว่า ถึงจะถูตีนอยู่ แต่ว่าตีนหายเหม็นแล้วนะ พี่ควรจะดีใจและรู้จักพอ มันว่าเวลามันไปรับซื้อยาง มันก็นั่งถูตีนนี่แหล่ะรอ เรานั่งหัวเราะ และคอยควบคุมมันว่า มึงห้ามเอามือล้วงน้ำแข็งนะ ห้ามเด็ดขาดเลย เดี๋ยวให้คนอื่นชงให้ มึงนั่งแดกไปอย่างเดียวพอ มีครั้งหนึ่งมันเอามือที่ถูตีนนั่นแหล่ะ มาสะกิดเรียกเรา “พี่ๆๆ”
เราตกใจ “ไอ้หอกหมี มึงเรียกเฉยๆก็ได้ ไม่ต้องมาแตะกูเลย กูยินดีบอกมึงอย่างจริงใจเลยว่า กูรังเกียจ แม่งเอ๊ย”
และทั้งๆที่นั่งจ้องมือมันเอาไว้ แต่สุดท้ายพอเผลอ มันก็เอาถังน้ำแข็งไปล้วงจนได้ ไอ้ห่าหมี...มึงช่างไม่เห็นใจเพื่อนๆเลย คิดแล้วก็อยากจะอ้วก ทำใจกินต่อไม่ไหวจริงๆ พวกเราคุยเรื่องใครต่อใคร วิเคราะห์สถานการณ์โลก ถุยเอาฝาโซดามาทำหมากเดินแทนตัวละครทุกตัวที่เราพูดถึง ให้ทุกคนเข้าใจมากขึ้น ทักษะการเสือกเรื่องชาวบ้านสูงกันทู้กคนเลย
เกือบห้าทุ่ม พวกเราออกมา โดยถุยสัญญาว่าจะมาส่งกลับ พวกมันจะไป dark ต่อที่ผับแถวๆนั้นแหล่ะ มีเหตุจำเป็นบางอย่างที่ทำให้จิ๋มเปลี่ยนใจไม่ไปแล้ว เนื่องจากเจ้าพ่อแห่งการ dark คือเดอะจิ๋มส์ พอจิ๋มไม่มา อีถุยกับอีหมีก็เลยเปลี่ยนใจไม่ไปผับแล้ว แต่ไปกินเบียร์และฟังเพลงต่อที่ร้านอาหารแถวๆคอนโดเราดีกว่า แล้วมันก็พูดจาหว่านล้อมให้เราไปด้วย บอกว่าไม่ใช่ว่าหมีจะมากับเราได้ทุกวัน นานๆเจอกันที
“แม่ง...แล้วทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วยวะ แป๊บเดียวนะมึง เดี๋ยวกูกลับ พรุ่งนี้กูต้องไปวัดแต่เช้า” พยายามย้ำ
หมีบอกว่า “ผมเลี้ยงนะ...ไม่ใช่ว่าพี่จะได้กินง่ายๆ พี่คิดดูละกัน” พูดซะ กูคงต้องไปใช่มั้ย...
พวกมันก็ไปนั่งกินเบียร์กัน เราก็กินน้ำเปล่า และกับข้าว เป็นเพื่อน เฮ้อ...ให้อนาถตัวเอง เราพยายามพูดเรื่องไปวัด เพื่อให้ดูว่า เรากำลังใฝ่ดี อีหมีบอกว่า “รู้มั้ยพี่ว่าก่อนที่จะพบทางธรรม พี่ก็ต้องเจอมารผจญก่อน พี่ต้องผ่านมันไปให้ได้ฮะ”เออ...กูกำลังก้าวผ่านอยู่
เนื่องจากเป็นวันสงกรานต์ ผู้คนก็เลยเล่นน้ำกันในร้านอาหารด้วย น้ำที่เค้าเล่นก็คือน้ำในถังใหญ่ ซึ่งใส่น้ำแข็งก้อนอย่างควายเอาไว้ อย่างเย็น เราไม่เล่นด้วย นั่งเฉยๆ และยังอยู่ในชุดยูนิฟอร์มของโรงงาน อย่างมากเค้าก็ฉีดน้ำปิ๊ดๆ ใส่ แค่พอเป็นกระสัย เด็กๆในร้านยิงปืนฉีดน้ำใส่อีหมี หมีจะบอกว่า “มายิงที่หัวใจพี่เลยดีกว่าฮะ” แล้วก็เอามือชี้หัวใจ ทำท่าน้ำเน่าใส่ เค้าก็เลยเอาน้ำเย็นๆใส่ถังน้ำแข็งมาราดมัน หมีตะโกนว่า “ไข่ครับไข่” น้ำมันเย็น ราดที่หัวใจ เปียกไปถึงไข่เลย เพราะปากหมี อีถุยก็เลยโดนด้วย ซึ่งถุยอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ พอเปียกก็เลยพูดไม่ออก
อีหมีเป็นผู้ชายตัวใหญ่ สูงร้อยแปดสิบกว่า หัวเหลี่ยม เป็นคนจอนจัด คือมีจอนหนามาก หนวดเคราอีกเพียบ ใส่เสื้อโปโล กางเกงขาสั้นเท่าเข่า แต่วันนั้นเพิ่มอ๊อปชั่นด้วยการมีกระเป๋าพลาสติกเล็กๆ เหมือนของเด็กผู้หญิง สายเป็นเชือก คาดที่บ่ามาถึงข้างเอว เก็บมือถือและตังค์ เหมือนเด็กถือกระติกน้ำหมีน้อย แต่พอเป็นอีหมี มันดูขัดแย้งมาก เจ้าของวลีเด็ดประจำตัว “อย่าสงสัยในความรักของหมีเลย” ทำหน้าเท่ๆ แต่มันดูตลกมากในสายตาพวกเรา
พวกเราอยากได้ปืนฉีดน้ำแต่ไม่อยากซื้อ หมีซื้อเบียร์ มันต่อรองขอแถมปืนฉีดน้ำ ได้ปืนอันเล็กจิ๋วมา 1 อัน แปลงร่างเป็น “มือปืนนกเพลิงลำพอง มาริโอ้ ณ ทุ่งสง” คาบบุหรี่ 1 ตัว ออกอาละวาดใส่ facebook แต่ดึกแล้ว เลยไม่ได้รับความสนใจ ตลกและน่าสงสารมาก พอหกทุ่มเราเห็นควรว่าจะกลับ แต่ดันไปเปรยให้พวกมันฟังว่า ไปคาราโอเกะกับน้องๆรุ่นใหม่ไม่สนุกเลย เพราะน้องๆไม่บ้า ถุยเลยบอกว่า งั้นไปกันมั้ยฮึ มาแล้วไงทางสายดาร์ค เราเลยนึกสนุก เออเนาะ...ไหนๆ พวกเรามันก็บ้าๆแล้ว นานๆเจอกันที ว่าแต่จะไปที่ไหนวะ ถุยบอกนี่เลย “โรมัน” ผมสนิทกับมาม่า อย่าไปห่วง...ฮ้า...
“โรมัน” คือคาราโอเกะ ปนผับปนเล้าจ์ ปนแม่เล้าปนลูกเล้าเต็มไปหมด อาจปนอีกหลายอย่างที่เราไม่รู้ด้วย พวกนั้นมันชอบเรียกชื่อให้มันเท่ๆขึ้นไปอีกว่า “โรมัน พั้บลิเชนโก้” ตามชื่อนักบอลที่เราไม่รู้จัก มันเรียกจนเราจำได้ เมื่อก่อนจะรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะจะมีเด็กนั่งดริ๊งค์เต็มไปหมด เห็นแล้วมันหดหู่ สถานที่เชิงนี้จะไม่อยากไปเลย เราก็บอกมันตรงๆว่า เวลาเพื่อนๆไปอย่างงี้ แล้วเรามักจะถูกทิ้ง มันน่าเบื่อ และก็รู้สึกแปลกๆด้วยที่เราเป็นผู้หญิงแต่ต้องมาดูมารู้มาเห็นโลกด้านนี้ เหมือนเป็นด้านมืด ถุยได้ให้ความมั่นใจอย่างจริงจังว่า
“ผมพาคุณไป ผมไม่ทิ้งคุณหรอก เราก็อยู่ในห้องคาราโอเกะของเราไป ไม่ต้องไปสนใจข้างนอก เชื่อผมสิ” ไอ้ที่พูดกัน คุณ – ผม เนี่ย ไม่ใช่ว่าสุภาพอะไรนะ มันแทนคำว่า กู – มึง เฉยๆ
“พวกมึงจะทนไหวเหรอ ไม่เรียกเด็กจริงๆนะ” ถุยให้คำมั่น ถุยบอกว่า ถ้าไม่รักก็ทำอะไรไม่ได้หรอก หมีบอกว่า หมีเมาก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน งั้นโอเค ลุยเป็นลุย ไปก็ไป เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ถุยอ้างว่า เราก็ไม่ได้ไปกันบ่อยๆด้วย ช่วยพวกมันกินเบียร์นิดหน่อยให้หมดหลอดเพราะเสียดายของ แล้วหกทุ่มครึ่งเราก็ย้ายทำเล Next Station...“โรมัน พั้บลิเชนโก้”
ตอนขึ้นรถ...เราเอาปืนฉีดน้ำ มาจ่อหัวไอ้ถุย “ขับไปดีๆเลยนะมึง ไม่งั้นกูยิงไอ้นี่สมองกระจุยแน่” ว่าแล้วก็ฉีดปิ๊ดออกไปเลย สะใจจริงๆ ไอ้ถุยถามว่า “นี่กูอยู่กับคนบ้าใช่มั้ย”
เราเอาปืนฉีดน้ำจ่อคางตัวเอง “อย่าพูดอย่างงี้นะ ไม่งั้นกูยิงอีนี่แน่” แล้วก็ฉีดน้ำใส่คางตัวเองปิ๊ดๆ สนุกดี
พอไปถึง... มาม่าซึ่งเราคิดว่าเค้าจะแก่งั่ก แต่กลับเป็นเด็กสาวอัธยาศัยดี ก็ปรี่เข้ามาทักทายถุยอย่างสนิทสนมมากกกกก...ถุยรีบยืนยันเจตนารมย์ว่าวันนี้ถุยจะร้องคาราโอเกะเท่านั้น ไม่ยุ่งทางอื่น วะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะ...ดีมากอีถุยที่รีบแจ้งเจตนารมย์ ก่อนที่จะโดนกูเตะ สิ่งหนึ่งอย่างที่นึกได้คือ ถ้าถุยสามารถสนิทกับมาม่าได้ แสดงว่าความช่ำชองคงไม่แพ้ใครในโลกหล้า...หึหึหึ...ถุยสมชื่อมาก ไม่รัก...ทำไม่ลงหรอก...ถุย...
ตอนนั้นเหมือนเราเข้ามาในดงอะไรซักอย่าง แต่ตัวเองไม่รู้สึกหดหู่หรือรังเกียจอะไรเลย ตื่นตามาก ผู้หญิงที่นี่จะผอมเพรียวหุ่นดี ไม่รู้ว่าเพราะวันนั้นคือวันสงกรานต์รึเปล่า ทุกคนเลยแต่งชุดบิกินี่ ข้างบนชิ้น ข้างล่างก็อีกชิ้น และรองเท้าส้นสูงปรี๊ด ว่ากันว่าที่นี่จะเป็นสถานที่รวมเด็กวรรณะสูงของย่านนี้ ผู้หญิงที่นั่นพากันนมโตมาก จะโตกันไปไหนนี่ หมีบอกเราเป็นข้อมูลเสริม “เค้าทำมาครับพี่” มันแปลกมากที่เราไม่รู้สึกแย่ ไม่รู้สึกว่าควรดูถูกเค้าด้วย เมื่อก่อนเราจะมองว่าโลกด้านนี้มันคือโลกมืด ตอนนี้กลับมองว่าเค้าเป็นคนธรรมดาที่ก็แค่ทำงานของตัวเอง อาจดูก๋ากั่นเกินเลยไปบ้าง เพราะสภาพแวดล้อมันพาไป ตลกตัวเองมากกว่าที่ใส่ชุดโรงงาน มานั่งทำหน้าเด๋อด๋าอยู่ที่นี่
ตอนแรกเค้าไม่มีห้องคาราโอเกะว่าง เราบอกมาม่าว่า ไปไล่ออกมาซักห้องหนึ่งได้มั้ยอ่ะ อยากร้องเพลง (เสียงก็ห่วย เสือกอยากร้องเพลง) แต่เค้าทำให้ไม่ได้ เราก็เลยต้องนั่งที่บาร์ดูพวกผู้ชายหื่นกระหาย กับเด็กสาวบั่งเบียดเสียดทำนู่นทำนี่กันไป เราปลงตกและเห็นว่า มันเป็นเรื่องขำๆซะอย่างงั้น ผู้หญิงนมกลมโต ขาวๆ ใส่บิกินี่ร้องเพลง เดินว่อนไปมา นึกว่านั่งอยู่ฮาวาย แต่มืด...และแน่นอน ใครจะจับจะอะไรก็เชิญตามสะดวก แอบสงสัยว่ากูเป็นผู้หญิงจริงๆใช่มั้ย อย่างน้อยๆมันก็ไม่น่าจะต่างกันขนาดนี้ นมโตๆเต็มไปหมด มองไปมองมา ตาลาย ถามพวกมันว่าแล้วถ้าเข้าห้องน้ำล่ะ มันก็บอกว่า ก็ไปเข้าสิวะ กลัวอะไร เอ่อ...กูเกรงใจเค้าน่ะ ไม่รู้จะทำหน้ายังไง
พวกเรานั่งอยู่จนตีหนึ่งกว่า ก็มีห้องว่าง ถือว่ามาด้วยใจกันจริงๆ เริ่มร้องเพลงโดยเริ่มจากเพลงเกรงใจของแร็พเตอร์ ทันสมัยกันมากๆ เจ เจตริน คริสติน่า คาราบาว เพลงยุค 2540 ลงไป ถูกขุดขึ้นมาฟีเจอริ่งใหม่โดยพวกเราเอง ทำตัวเหมือนไส้เดือนโดนน้ำร้อนลวก ดิ้นจนกระดูกร้าวกันไปข้างหนึ่ง พวกเราทบทวนท่าเต้นในอดีต (อดีตใครอดีตมัน) สนานกันมาก ตอนนี้เราตัดสินใจแล้วว่า เอาเป็นว่ากูไม่นอนละกัน มาถึงขั้นนี้ วัดกันที่วัดไปเลย ว่าหมู่มารมันเอาชนะยากขนาดไหน ความสนุกอาจมาตกที่เรามากเป็นพิเศษ เพราะพวกมันสองตัวมาที่แบบนี้ ความสนุกของพวกมันอาจเป็นอีกแบบหนึ่งก็เป็นได้
ตอนเราออกไปเข้าห้องน้ำ บาร์ข้างนอก ได้แปลงร่างเป็นอะโกโก้ นมโตๆทั้งหลาย ได้ขึ้นไปดิ้นกระเจิงบนโต๊ะ พวกผู้ชายทั้งหมดก็แปลงร่างเป็นสัมภเวสีผีเปรต ยืนชูไม้ชูมือขอส่วนบุญอยู่เบื้องล่าง เห็นแล้วสยอง ฮ้า...ภาพจำลองของนรกชั้นอเวจี เดินผ่านนรกไปที่ห้องน้ำเด็ก ที่นี่จะจะไม่มีห้องน้ำหญิงหรอก มีห้องน้ำชายและห้องน้ำเด็ก ซึ่งอยู่คนละโซนกันเลย ก็พอจะเข้าใจนะว่า ทำไมมันอยู่ห่างกัน พอดีเราเป็นเพศเดียวกับเด็ก ก็เลยควรเข้าห้องน้ำเด็กมากกว่าห้องน้ำชาย ในห้องน้ำ...มีน้องๆยืนตัวเปียกปอนกัน ไม่ต้องห่วงว่าจะหนาว เพราะว่าเสื้อผ้าเปียกนิดเดียว ก็มันเป็นบิกินี่ เค้ายืนดูดบุหรี่ควันฉุย แมลงสาบแอบกินขนม อมลูกอมเสียจนแก้มตุ่ย ฮือๆๆ พยายามทำหน้าให้เป็นมิตรที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราเป็นคนเดียวที่แต่งชุดมิดชิด แถมเป็นชุดโรงงานอีกต่างหาก และหน้าตาเหมือนแม่บ้านมาก น้องๆเค้าคงกลัวเราจะเขิน เค้ายิ้มให้ แล้วก็ขอโทษเรา และขออนุญาตปะแป้งที่แก้ม เออ...มันช่วยได้มากเลยแฮะ เค้าก็น่ารักดีนะ ยังขำตัวเองอยู่จนถึงตอนนี้ พูดถึงแล้วหน้าแดง...
ตอนตีสามกว่า มีสองสาวจูงมือกันเข้ามาในห้องที่พวกเราอยู่ คนหนึ่งโนบรา และมีสติ๊กเก้อร์แปะอยู่ที่หัวนมเท่านั้น อุ...อึ้ง...เค้าก็คงอึ้งไม่แพ้กันที่มาเจอเรา ซึ่งเป็นเพศเดียวกันกับเค้า เรายิ้มให้ บอกเค้าว่าไม่เป็นไรค่ะน้อง เชิญตามสบาย อีหมีรีบหนีออกไปเลย เค้าบอกถุยว่า “ช่วยซื้อสติ๊กเกอร์แปะหน่อยค่ะ” เออ...อันนี้ฮาแฮะเพราะไม่เคยเห็น คือให้ซื้อสติ๊กเกอร์เลื่อมๆดวงเล็กๆ ดวงละร้อยบาท มาแปะที่ไหนบนร่างเค้าก็ได้
ถุยซื้อสติ๊กเกอร์สองดวงแล้วแหกปากเรียกเรา
“กาก้า มาแปะเลย ผมอยากเห็นคุณแปะ” อ๊าว...ไอ้เวรนี่ กูอยู่ของกูดีๆ
เราบอกมันว่า “เฮ้ย...มึงตามสะดวกเลย ไม่ต้องสนใจกู” หึหึหึ...มาถึงขั้นนี้แล้ว ยิ้มให้เต็มที่ เกรงใจน้องเค้า
ถุยไม่ยอม “ไม่...ผมซื้อให้ อยากเห็นคุณแปะ เร็วๆเลย อย่ามาลีลา” เหี้ยนี่...ใจก็กลัวว่าเค้าจะคิดว่าเราดูถูกเค้า เราเลยเดินไปใกล้ๆ ยิ้มให้ แล้วบอกว่า “ขอโทษนะคะ พี่จะแปะล่ะนะ”
พอเราพูดออกไปอย่างนี้ อีถุยรีบหันไปที่พื้นข้างๆเรา “ถุย...กาก้า...ถุยเลย”
เราตบหัวมันหนึ่งที แล้วพูดว่า “นี่..กูเป็นคนดีนะมึง” รีบขอโทษเค้าอีกครั้ง แล้วหลับหูหลับตาแปะไปที่นมโตๆของเค้านั่นแหล่ะ แล้วก็ขอบคุณเค้าด้วย ก่อนที่เค้าจะจูงมือกันออกจากห้องไป เราหันไปสรรเสริญถุย “เหี้ยเอ๊ย”
เราอยู่กันจนถึงเกือบตีสี่ แล้วก็กลับ เพราะผับปิด เมื่อยมาก อยู่ใกล้ๆห้อง แต่ให้ถุยไปส่งเพราะว่ากลัวหมาแถวๆนั้น ตอนไปถึงหน้าคอนโดมีหมานอนอยู่บนม้านั่งด้านนอก เราลงจากรถ
ไอ้หมีเปิดกระจกออกมา ตะโกนถามว่า
“ไหน...หมาตัวไหนจะรังแกพี่ พี่บอกผม ผมมีปืน ยิงแม่งไส้แตกเลย นี่แนๆ” ว่าแล้วมันก็ยิงปืนฉีดน้ำใส่หมาที่นอนอยู่ซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเลย พร้อมทั้งหัวเราะ ฮ่ะๆๆ ดังๆเหมือนตัวโกงในหนังจีน โห...โคตรจะเก่งเลยว่ะ น้องกู...โลกโลกียะจบลงที่ตีสี่นิดๆ แล้วเราจะลากสังขารไปวัดยังไงวะเนี่ย...อาบน้ำ นั่งพิงเตียงแล้วเผลอหลับไป...กระเป๋าก็ยังไม่จัด
เดี๋ยวขอต่อภาคจบ ซึ่งเป็นช่วงมารน้อยค้นหาโลกโลกุตตระในตอนต่อไปนะ
It’s me...
17 เมษายน 2555
วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555
ปม...
ครั้งนี้หายไปสามเกือบอาทิตย์ เพราะว่าดันเจอสภาวะไม่ปกติของชีวิตเข้า ชีวิตที่เฉื่อยชา ไม่หือไม่อือมาระยะใหญ่ วันดีคืนดี ก็มีคนจาก Recruitment โทร.มาถามว่าสนใจงานที่เค้าเสนอให้มั้ย ลองสัมภาษณ์ดูเอารึเปล่า ไม่ได้กะจะเล่นตัวหรืออะไร แต่ไม่อยากจะตั้งความหวัง สร้างโอกาสในการทำร้ายตัวเองตอนผิดหวังมากไปกว่าที่เคยเป็น สถานะนี้ ถ้าพูดเป็นภาษาง่ายๆก็คือ “ขี้แพ้” นั่นเอง ไม่อยากจะว่าตัวเองอย่างงี้เลย แต่ต้องอธิบายตามเนื้อผ้านะ ต้องเป็นกลางแม้กับตัวเอง (ดูช่างเป็นคนยุติธรรมไม่น้อย) ยอมแพ้ เพราะไม่อยากสู้ ไม่อยากแข่งขัน ตะเกียกตะกายอะไรทั้งนั้น อยู่อย่างงี้ก็ไม่เป็นไรแล้ว
พอเค้าโทร.มาถาม ตอนแรกก็ไม่ใส่ใจ แต่ด้วยความชอบแส่ที่มีอยู่อย่างเปี่ยมล้น ก็เลยถามเค้าไปว่า บริษัทอะไร ที่ไหน ได้ความตามท้องเรื่องมาว่าเป็นบริษัทอิตาลี มาเปิดตลาดใหม่เอี่ยมในเมืองไทย อยากรับ Quality Engineer ทำงานที่บริษัทลูกค้า ซึ่งเป็นรถยนต์ค่ายพี่บิ๊กที่นี่แหล่ะ กิเลสในตัวเรามีอยู่ไม่กี่อย่าง รัก โลภ โกรธ หลง มันเกาะกินเราอยู่ ในกรณีนี้ ความโลภและความหลงมาจูงมือเราไปต่อหน้าต่อตา
ความหลงเดินมาหา : พอบอกว่าเป็นอิตาลี โอย...นักบอลที่เราหลงไหลได้ปลื้มตั้งแต่ม.ปลาย ก็ลอยมาเกาะลูกกะตาปิ๊งๆเต็มไปหมด เรากินพิซซ่า เราเรียนรู้เรื่องของประเทศนี้ ผ่านคำบอกเล่าและหนังสือเยอะแยะตาแป๊ะไก่ หนังเรื่องที่มันยังจิกใจเราอยู่จนทุกวันนี้เรื่องหนึ่งก็คือ Life is beautiful เป็นหนังดีมากของอิตาลี ให้ความงดงามในใจมากที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่ในชีวิตเคยดูมา เป็นหนังดีที่ไม่กล้าดูรอบสอง เพราะร้องไห้น้ำตาไหลพรากๆ แถมอีกเรื่องซึ่งไม่เกี่ยวกันเลยก็คือ เวลามีใครมาทักเรื่องปมด้อยในเนื้อคู่ระบบปากหมาอัตโนมัติมักจะโต้กลับไปว่า “เนื้อคู่กูอยู่อิตาลี เราแค่ยังไม่เจอกันเท่านั้นเอง” “ถ้ากูแต่งงานเนี่ย...ที่อิตาลีนะ มึงจะไปเหรอ” เรื่องนี้พูดบ่อยนะ เพราะมันมีคนชอบมาตอกย้ำบ่อยนั่นเอง เราหลงเสน่ห์ประเทศนี้แหล่ะ....แน่นอนที่สุด....
ความโลภไม่ยอมแพ้ (ตามมาซ้ำอย่างไม่ปราณี) : สิ่งดีที่อยู่ในตัว...เรื่องงานที่ถนัด ทักษะที่ทำได้ ความท้าทายของงาน คะแนนพุ่งสูงพรวดพราดเลยทีเดียว สั่งตัวเองในทันใด ว่ามึงมันเหมาะกับงานนี้แหล่ะ รับเค้าเข้ามาในดวงใจตั้งแต่ยังไม่พบปะกันด้วยซ้ำ
หลังจากโดนกิเลสสองตัวใหญ่เข้าครอบงำวิญญาณแล้ว เลยบอก Recruitment ไปว่า “น่าสนใจค่ะ” จากนั้นขั้นตอนการสรรหา (ของเค้า) ก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อสามอาทิตย์ก่อน ด้วยการให้เรา Skype คุยกับคนอิตาลีที่อิตาลี เป็น Manager 2 คน ฝ่ายบุคคลและฝ่ายคุณภาพ
ณ ตอนนั้น อากาศรอบข้างเป็นยังไงไม่รู้ แต่ร่างกาย มือไม้มันสั่นไปหมด เสียงก็สั่นเป็นเพื่อนกันด้วย เหมือนองค์ลง แต่ไม่มีใครมาขอหวย ไม่เข้าใจเลยว่า เวลาเราเดินไปพูดซื้อส้มแม่ค้าในตลาด ทำไมเราไม่เคยสั่น วิแคะออกมาได้ความว่า เราคงไม่เคยตั้งความหวังล่ะมั้ง ว่าเราจะได้ส้มที่ดีที่สุดจากส้มทั้งหมดที่แม่ค้ามีอยู่ ถ้าเราลองตั้งความหวัง เราอาจจะสั่นก็ได้...มั้ยฮึ
ภาษาอังกฤษที่มีอยู่ เวลาเขียนมันก็พอจะเรียงกันมารู้เรื่องได้นะ แต่พอนึกด้วย พูดด้วย สั่นด้วยนี่ เอ๊ะยังไง ดูว่า...ความรู้ ทักษะ ความมั่นใจ ทุกอย่างพากันทอดทิ้งเรา บินหนีออกจากหัวเราไปหมด เหลือไว้แค่คำสอนเดียวของคริสโตเฟอร์ ไรท์ คือ ออกไปเป็นคำๆ ที่เหลือมึงนั่งฟังกูเฉยๆ ว่างๆอยู่ ก็กรุณาทำหน้าที่ เอาไปบวก ไปเรียงกันเอาเองแล้วกันวะ อันไหนที่กูเว้นช่องว่างไว้ให้ ก็กรุณาเติมคำในช่องว่างให้ด้วย คนละ 50-50 ชีวิตต้องแบ่งปัน
มันมีคำถามหนึ่งอย่างที่เค้าถามว่า ทำไมถึงสนใจบริษัทเค้า เพราะเค้ามีชื่อเสียง หรือเพราะผลิตภัณฑ์ บอกเค้าไปว่าไม่ใช่เลย แค่เพราะว่าเค้าเป็นบริษัทอิตาลี ที่เราเคยได้ยินตั้งแต่เด็ก เราชอบประเทศนี้ เราคิดว่ามันสวยและมีเสน่ห์...(แน่นอน...ที่พูดไปทั้งหมดย่อมไม่ลื่นไหลอย่างที่เขียน แต่ถ้าเค้าตีความได้ถูกต้อง มันจะได้ใจความตามนี้แน่ๆ) เค้าถามเราเรื่องรถยนต์ ว่ารู้จักและเข้าใจเครื่องยนต์มั้ย เราตอบกลับไปอย่างไม่ถนอมน้ำใจ บอกว่าไม่รู้อะไรเลย แต่ถ้าเค้าสอน เราคิดว่ามันไม่ยากนะ...ก็ว่าไป๊....คุยกันนานเลย เพราะเค้าต้องรอเราพูดซะเยอะ ก็กว่าเราจะเอาคำมาต่อกันเสร็จ ยิ่งพูดยิ่งเกรงใจคนฟัง
เมื่อจบการสัมภาษณ์ เราเอาภูเขาออกจากอก 1 ลูก อุณหภูมิตามผิวหนังร้อนฉ่า หน้าแดง คอตก ถ้ามีหาง หางคงจะตกด้วยแน่ โทร.หา Recruitment ทันที เพื่อรายงานผลความพินาศย่อยยับของตัวเอง และขอโทษที่ทำให้เค้าเสียเวล่ำเวลาไปด้วย ถึงเราจะทำผิดพลาด แต่เราก็ไม่ควรสะบัดตูดหนีไปหน้าตาเฉย กระทำสิ่งสุดท้ายเพื่อแสดงความรับผิดชอบจะดีกว่า
ความเศร้าตามหลอกหลอนเป็นช่วงๆ ทำให้จิตตก อาทิตย์ถัดมาได้หายจากอาการนั้นแล้ว อยู่ๆ คุณคนเดิมโทร.มาบอกว่าเราผ่านสัมภาษณ์นะ เสือกรับโทรศัพท์ตอนนั่งขี้ เจ้ากรรม...จะดีใจยังไงดีวะ ต้องอั้น (บางอย่าง) ไว้ชั่วขณะ เพราะไม่อยากให้เค้าต้องเดาว่าเสียงชักโครกที่เรากดมันเป็นเสียงของอะไร รีบขอบคุณเค้า พอขี้เสร็จเดินดีใจงงๆออกมาจากส้วม ผ่านจริงๆเหรอวะ...เค้าถามเราด้วยว่า มี Engineer จะสัมภาษณ์เราต่อ เค้าให้เบอร์โทร.เราได้ใช่มั้ย...จะเอาไปแจกใครในโลกนี้ก็เอาไปเถอะจ้ะ...
ตอนเย็นวันนั้น ยืนซื้อส้มตำและแกงอ่อมอยู่ข้างถนนกับน้องที่ทำงาน มีโทรศัพท์เข้ามา พอรับสาย ชัดเลย อิตาเลียนแมนชัวร์ เค้าแนะนำตัว ชื่ออะไรหว่า ฟังไม่ออก เราบอกเค้าว่าพูดดังๆหน่อย แต่ว่า...พอเค้าพูดดังแล้ว กูก็ฟังไม่ออกอยู่ดี ฟังออกแต่วันเวลาที่เค้าถามว่าว่างมั้ย ก็เออออห่อหมกไป เค้าพูด ร.เรือ เยอะมาก อย่างกะกลั้วน้ำอยู่ในปาก สำหรับเรา ต่อให้พูดเป็นภาษาอังกฤษต้นแบบ เรายังฟังไม่ค่อยเข้าใจเลย นี่ใส่ทักษะเสริมด้วย อยากเอาหัวโหม่งแกงอ่อมก็กลัวร้อน เลยเอาความมึนเข้าข่มว่า ช่วยส่งรายละเอียดมาที่ mail ได้มั้ย เพราะเค้าถามถึงสถานที่ว่าเรารู้จักมั้ย เฮ้อ...อีกสิบรอบก็คงไม่รู้เรื่องหรอก
อยากขอบคุณรถไฟฟ้าทั้งสอง ที่ทำให้เราสามารถเดินทางไปไหนต่อไหนในเมืองได้อย่างสะดวกโยธิน ครั้งนี้เค้าให้เราไปหา Engineer อิตาลีคนหนึ่ง ที่บริษัทหนึ่งแถวๆรัชดา แต่ชื่อบริษัทที่บอกมา ทำไมมันไม่เหมือนกันหว่า พอไปบอกว่าเรามาพบคนนี้กับพนักงานบริษัทนั้น ซึ่งก็มั่นใจว่าเดินมาถูกที่ เค้าพากันทำหน้างง เค้างง เรางงกว่า เราบอกว่าคนนี้เป็นคนอิตาลี นัดเรามาที่นี่อ่ะ เค้าก็อ๋อ...รอก่อนแล้วกันนะ เรางงๆ บริษัทเดียวกัน นั่งกันไม่ถึง 5 คนเลย ทำไมจำกันไม่ได้ฟะ
นั่งอ่านหนังสือเรื่อยเปื่อยดับอารมณ์ตื่นตูมใจเต้นตุ้บตั้บของตัวเองไป ซักพักใหญ่เค้าก็มา เป็น Engineer หนุ่ม หน้าตาใจดี แต่ว่าน่าจะไปเป็นนักบอลมากๆ พี่เตะบอลเมื่อไหร่ เกิดแน่...หัวหยิกลอนใหญ่ๆ ฟูเต็มหัวเลย แต่งตัวเซอร์ๆ และทำหน้าเท่ๆ เป็นอ๊อปชั่นเสริม ก็คุยๆกันไป ได้ข้อมูลเพิ่มมาว่า เค้าไม่มีบริษัทที่ไทยนะ ถ้ารับเรา เราต้องจัดการทุกอย่างแต่เพียงคนเดียว ทำงานที่บริษัทลูกค้าประมาณนั้น
เราฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ที่ฮา ที่เราเหยียบอยู่นี่คือบริษัท Dealer เค้าในไทย ตัวเค้าประจำอยู่ที่จีน มาทำงานที่ไทยแป๊บหนึ่ง เลยแวะมาสัมภาษณ์เรา คือมายืมสถานที่ใช้เฉยๆว่างั้นเถอะ (ถึงว่า...ไม่มีใครเค้ารู้จักแกเล้ย) อยากจะขำตรงที่เค้าถามเรื่องเครื่องยนต์และผลิตภัณฑ์เค้าอีกแล้ว ตอบไปอย่างชัดเจน หึ...ไม่รู้อะไรซักอย่างเลย ส่ายหัวแถมให้ด้วย แต่ข้าพเจ้ายินดีเรียนรู้นะ ถ้าจะสอนกันล่ะก็ เค้าลงทุนอธิบายเรื่องเบสิกเครื่องยนต์ และผลิตภัณฑ์เค้าให้เราฟังเป็นหน้ากระดาษ เหมือนคุณครูสอนเด็กน้อย ถามนำ แล้วก็รอให้เราตอบตามสั้นๆ เค้าพูดเหมือนมันง่ายโคตร แถมบอกเราด้วยว่าคุณไม่ต้องชำนาญหรอก แหม...อยากกระโดดกอดขอบคุณ ว่าแต่ว่า...ไม่ได้โกหกกันใช่มั้ย
แต่สรุปโดยรวมก็คิดว่าน่าจะแห้ว เพราะเราดูโง่เกินไปนะ พูดถึงงานตัวเอง ยังดูมั่วไปมั่วมาเลย อย่าว่าแต่เรื่องงานเค้า โอ๊ย...เจ็บปวดจริง เค้าบอกเราว่า เค้าจะบอกอีกคนหนึ่ง (ซึ่งโทร.หาเรา แล้วเราฟังเค้าพูดแทบไม่รู้เรื่องเลยนั่นแหล่ะ) เค้าบอกว่าถ้าโอเค ยังไงคนนั้นต้องสัมภาษณ์เราอีกรอบหนึ่ง...ฮ้า....นี่มันคัดเลือกบอลโลกหรือไงวะ ไม่หมดซักที เค้าบอกว่า ตอนนี้คนนั้นไม่ว่าง ติดลูกค้าไง เลยมาไม่ได้ มันน่าเอามือไปจิ้มหัวหยองเล่นจริงๆ แต่ก็เข้าใจว่าเค้าคงมาขัดตาทัพเฉยๆแหล่ะ เอาเข้าไป
กลับมาห้อง ว่าจะไปทำงานต่อ แต่มันเศร้า ไปไม่ไหว ใจมันช้ำ ไม่ไปดีกว่า ขอเวลาทำใจหน่อยละกันวะ คนอย่างเราไม่ทุกข์นานอยู่แล้ว นี่คือข้อดีข้อหนึ่งที่ค้นพบตอนโตแล้ว การที่เรายังมีบางมุมที่เหมือนเด็ก เราไม่อยู่กับความทุกข์นานๆ ถึงจะเศร้ายังไง แต่เดี๋ยวมันก็หายแล้ว ดีจริงๆที่เราค้นเจอสิ่งที่เรามีอันนี้
บ่ายแก่ๆ นั่งดู dvd ปลอบใจตัวเองอยู่ คุณอิตาลีเจ้าเก่าก็โทร.มา ฮะฮ่า...รอดได้ไงวะ เชื่ออย่างหมดใจไปแล้วว่า mission failed ปฏิบัติการล้มเหลว ทีนี้เค้าจะให้เราไปสัมภาษณ์กับเค้าในวันรุ่งขึ้น ตายห่า...ลางานอย่างกับเป็นบริษัทพ่อตัวเองเลย เว้นวันให้เราไปทำงานบ้างเถอะพ่อคุณ (ประโยคหลังไม่ได้พูดออกไป) เราเลยบอกไปว่า ตอนนี้เราได้เฉพาะเสาร์-อาทิตย์นะ เค้าบอกว่างั้นวันเสาร์ ว่างกี่โมง เราบอกว่าแล้วแต่คุณเลย (กล้านัดกูสามทุ่มมั้ยล่ะ) เค้าบอก 11 โมงนะ แล้วรู้จักที่.......มั้ย เอาอีกแล้ว มันที่ไหนวะ ครั้งนี้คุยกันจนรับรู้ได้เลยว่าเค้ารำคาญที่เราฟังไม่รู้เรื่อง เราเลยบอกว่าส่ง mail มาเถอะ เค้าเหมือนจะเป็นกังวล กลัวเราไปไม่ถูก อันนี้เดาเอานะ พูดมาซะเยอะ แต่ฟังไม่ออกเลย ได้แต่บอกไปว่าไม่ต้องเป็นห่วงนะ ชั้นหาแผนที่ไปเจอแกได้แน่ พอได้รับ mail ปรากฏว่าเค้านัดที่ห้องโถงของโรงแรม 5 ดาวแห่งหนึ่ง (สำหรับชาวต่างชาติชัวร์) ข้างริมแม่น้ำเจ้าพระยา เราก็หาแผนที่ แล้วก็คอนเฟิร์มกลับไปว่าโอเคนะจ๊ะพ่อหนุ่ม แล้วเจอกัน
แต่ลงแรงเพิ่มนะครั้งนี้ คืออายไง...นี่รอบสามแล้วนะ ถ้ามึงยังกล้ายืนยันว่าไม่มีความรู้เรื่องเครื่องยนต์อีก มึงจะหน้าด้านเกินไปมั้ยฮึ ออกแนวทุเรศแล้ว เราก็เลยอ่านพวกพื้นฐานไป แถมท่องชื่อพี่เค้าไปด้วย เป็นชื่อสี่พยางค์ นามสกุลสี่พยางค์ แต่ไม่รู้...ว่าอันไหนชื่อ อันไหนนามสกุล เดาว่าเป็นอันหน้าคือชื่อละกันวะ ชื่อและนามสกุลก็เรียกยาก แอบเอาไปนินทาด้วยว่าชื่อง่ายๆกว่านี้ไม่มีจะตั้งแล้วเหรอวะ กว่ากูจะจำได้...
เป็นการไปสัมภาษณ์งานของกะเหรี่ยงหน้าเด๋อด๋าคนหนึ่ง ซึ่งดูมีปมมาก ใส่กางเกงที่แทบจะใกล้เคียงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ เสื้อเชิ้ต แบกเป้ด้วย สมฐานะจริงๆ ไม่ลงทุนอะไรเลย ก็คิดว่าคุยกันที่กึ๋นสิ เปลือกนอกจะเอาอะไรนักหนา (อย่างกับตัวเองมีกึ๋นให้เค้าค้นหา) แล้วอีกอย่าง เป็นวันเสาร์ด้วย ไม่ใส่เสื้อยืดไปก็บุญเท่าไหร่แล้ว (ไม่รู้นะ ว่าบุญของใคร) เค้านัด 11 โมง เราไปถึง 10 โมงนิดๆ มันไกลไง ก็กะเวลาไม่ค่อยถูก
ไปนั่งรอที่ล็อปบี้ สงบสติอันพลุ่งพล่าน แต่ยิ่งพยายามสงบ ทำไมมันยิ่งแตกกระเจิงวะ เอาเข้าไป ส่งข้อความไปบอกเค้าว่า เรามาถึงแล้ว นั่งอยู่นี้ๆๆนะ ตามสบาย เรารอได้...หึๆๆ พยายามกลบเกลื่อนความตื่นเต้นของตัวเองด้วยการอ่านหนังสือ ฟังเพลงด้วย เอาเอกสารที่จะใช้ออกจากเป้มาวางข้างตัว สร้างความกลัวใส่ตัวเองทำไมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
แล้วเค้าก็ลงมา ถ้าอกอีแป้นจะแตกคงจะดีกว่านี้ แต่นี่มันอกเราเอง โถ...หล่อเกินไปแล้ว น่าจะสูง 190 กว่าได้ ใส่สูท ผูกไท้ด์ รองเท้าหนังมันแว้บ นึกว่าแคะมาจากแม็กกาซีน กะเหรี่ยงเอย...ตื่นเถอะ ลุกมาจะจับมือกะเค้า หนังสงหนังสือร่วง เฮ้อ..จิตป่วนไปหมด สติถูกทำลาย เค้าบอกว่าให้เราตามเค้าไป เราหยิบเป้และหนังสือเดินตามไปต้อยๆ เค้าถามว่ามาที่นี่ยากหรือง่าย ฟังตั้งหลายครั้ง เพราะมันเป็นสำเนียงอิตาเลี่ยน มี “รรรรร” อยู่ในทุกคำที่เปล่งออกมา แต่เวลาพูดช่างดูใจดีเสียนี่กระไร ถ้าเราฟังออกง่ายๆคงจะดีไม่น้อย กะเหรี่ยงอยากละลายลงไปกองกับพื้นเลย
ขึ้นลิฟท์ไปร่วมกับผู้คนอีกมากมาย แน่นอน...ไม่มีคนไทย เค้าให้เรากดชั้น 18 ให้ มี 36 ชั้น กว่ากูจะหาเลข 18 เจอ ทำไมสติมันช่างเลอะเลือนอย่างงี้วะ ออกจากลิฟท์ เดินไปที่หน้าห้อง เค้าก็เอาคีย์การ์ดเสียบ เปิดประตูเข้าไป (เอ่อ...อย่าคิดลึก ห้องนอนน่าจะถูกปิดไว้เรียบร้อยดี เพราะมองไม่เห็นอะไร) พอนั่งแปะลงที่เก้าอี้...ตายหอก...ลืมเอกสารไว้ข้างล่าง เวรกรรม...อายชิบหาย จะตายอยู่แล้ว...
บอกเค้าว่าลืมของ ขอลงไปเอาได้มั้ย เค้าบอกได้สิ เอาคีการ์ดไปด้วยนะ ต้องเสียบคีย์การ์ด....ฟังออกแค่ตรงนี้ เสียบกับอะไรกูก็ฟังไม่ออก ตามเซ้นส์มันก็น่าจะเป็นประตูหน้าห้องตามปกติ ก็เดินเด๋อออกไปพร้อมคีย์การ์ด 1 ใบถ้วน ลงลิฟท์ไป วิ่งไปหยิบของ เข้ามาในลิฟท์ (คนเดียว) กดชั้นที่ต้องการ แล้วก็ยืนเหม่อ ซักพัก เริ่มรู้ตัว...เฮ้ย ลิฟท์ไม่ไป ทำไงดี ในลิฟท์มันมีรู เหมือนเป็นช่องใส่การ์ดนะ แต่ว่า...อยู่คนเดียวไง เกิดเสียบไปแล้วไม่ใช่นี่...มึงไปป่วนโรงแรมเค้าเลยนะ คราวนี้ล่ะดังแน่ๆ...ตัดใจออกมายืนข้างนอกดีกว่า รอลิฟท์อีกตัวมาแล้วทำเหมือนเดิมซิ น่านไง...กดไม่ติด แสดงว่าลิฟท์ปกติ กูเองที่ผิดปกติ ในแง่การบริหารความเสี่ยงแล้ว รอคนอื่นมากด แล้วมึงเป็นตัวแถมจะดีกว่า ก็ออกไปยืนข้างนอก จนกระทั่งมีฝรั่งสองคนมาขึ้นลิฟท์ เราก็ตามเข้าไป เค้าเอาการ์ดเสียบ เสร็จแล้วก็ดึงออก มันก็กดได้แระ แอบเก็บความสะเหร่อของตัวเองเอาไว้ อย่าให้ใครเห็น เค้าจะสงสัยมั้ย ว่ามันหายไปไหนนานโคตร
พอไปถึงหน้าห้องได้ ก็เอาการ์ดเสียบ แล้วหมุนมือจับตามรูปในการ์ดเลย แต่ว่า...ฮือๆ...ทำไมมันไม่เปิดวะ สุดท้ายเค้าก็เดินมาเปิดให้ แทบอยากจะเอาหน้าแทรกแผนดินหนี แล้วการสัมภาษณ์ก็ได้ดำเนินไปอย่างน่าสงสารมากทั้งคู่ ฝรั่งแม่งคงงงเรา เราก็งงฝรั่ง อยากบอกว่าอย่า “รรรร” ได้มั้ย ก็ทำไม่ได้ มันเดาไม่ถูก ฟังไป เดาไป งงไป เวลาเราพูด เค้าก็คงงงไม่แพ้กัน อะไรของมึ้ง พูดก็ช้า ตะกุกตะกัก เดี๋ยวผิดเดี๋ยวถูก มะงุมมะงาหรา ตื่นไปหมด
ถามเรื่องการใช้ MS Office Excel, Power point ใน Excel กูก็ใช้ทุกวี่ทุกวัน ดันมาถามฟังชั่นคอนเวิร์ทตารางที่กูไม่เคยใช้ซะอย่างงั้น บอกเค้าว่าไม่เคยใช้นะ รู้แต่ว่า เอาไว้คอนเวิร์ทตาราง ถามเรื่อง Power point ให้ทำให้ตัวรูปมันเลื่อนไปมา เราหาฟังก์ชั่นจนเจอ พอกดดูตัวเลือก ฮือๆๆ มันเป็นภาษาอิตาเลี่ยน แบบว่าเดาไม่ออกเลย คือ laptop เค้าลงเวอร์ชั่นอิตาเลี่ยนหมด บางคำมันก็พอเดาได้ เพราะภาษามันคล้ายๆกัน แต่ตัวที่เหนือมนุษย์จริงๆก็ไม่ไหว หันมามองหน้าเค้าแล้วบอกว่า อ่านไม่ออกอ่ะ เค้าก็ใจดี บอกว่าอันไหนก็ได้ แถมบอกว่าเข้าใจนะ เพราะไม่ใช่ laptop ของเรา ไม่เป็นไร ชมเราว่า very good เหมือนชมหมาเลย จะดีใจดีมั้ย บางเวลาอยากเอื้อมมือไปจับหน้าดู แต่กลัวว่าเดี๋ยวจะโดนถีบทะลุกระจกตกเจ้าพระยาตายฟรี เก็บมือไว้ข้างบนตักก็ดีอยู่แล้ว หน้าสวยจัง ขาวแต่หน้าเข้ม ชาติหน้าขอเกิดแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนบ้างนะ...นะนะ...
ทำอะไรก็มือไม้สั่นไปหมด เค้าดูสนใจนะ เมื่อบอกว่าเราจบที่ขอนแก่น เค้าบอกว่าจะไปขอนแก่นพรุ่งนี้ ก็ถามว่าไปทำอะไรเหรอ เสือกเลยมึง เค้าตอบว่าไปทำงานอะไรซักอย่างเนี่ยแหล่ะ แม่งยาว...ฟังไม่ออก และแน่นอน งานอะไรไม่รู้ รู้แต่มี “ร” เยอะมาก คิดสะระตะในหัว อยากจะโฆษณาของดีจังหวัดที่เราเคยอยู่ แม่งร้อน...มีอะไรอีกวะ แห้งแล้ง เออ...แต่เราชอบนะ แล้วจะบอกว่าชอบเพราะอะไรวะ มีเพื่อนๆ เพื่อนก็ตั่วเฮียเกือบทุกตัวเลย คิดไม่ออก อย่าเลย ให้แมลงหวี่มันบินไปเถอะ...เค้าถามว่ามหาลัยเรานี่ดังมั้ย ถ้าถามเป็นไทย คงจะตะโกนปล่อยมุขให้ดูเลย “ดังมากนะ ถ้าตะโกนดังๆ” เราบอกไปว่า ก็ดังที่สุดในภาคอีสานแหล่ะ ส่วนแกจะรู้มั้ยว่าประเทศชั้นมันมีกี่ภาค และเฉพาะในกทม.นี่ มันมีมหาลัยยัดทะนานอยู่เท่าไหร่ ก็ไม่ต้องไปบอก ให้ประกอบประโยคยากเย็นอะไร ผ่านๆมันไปเลยก็ได้
เรื่องที่ควรพูดได้คล่องที่สุด ก็ควรเป็นเรื่องงาน ซึ่งเสือกพูดได้ตะกุกตะกักที่สุด เปล่งออกมายากเย็น เค้าอธิบายให้ฟังว่า ถ้าทำงานนี้ต้องโดดเดี่ยวและลุยงานขนาดไหน ซึ่งโคตรจะน่าสนุกเลย แต่คงพลาดซะแล้วล่ะ คุยกันเสร็จ เค้าเปิดประตูให้ เรื่องที่ยังขำอยู่ตอนถึงตอนนี้ก็คือ การเดินออกจากประตู เค้าเปิดประตูออกมาส่ง เอาแขนตัวเองจับขอบประตูไว้ เราเดินลอดแขนเค้าออกมา...แบบไม่ต้องก้มเลย ช่างตอกย้ำความเตี้ยตะแมะแคะของตัวเองจริงๆ มากระทืบหัวใจกันเลยดีกว่า เดินออกมาพร้อมน้ำตาที่ไหลในหัวใจ เศร้าชะมัด เราจะไม่ได้เจอเค้าเป็นครั้งที่สองด้วยซ้ำไปหรือเนี่ย เค้าเดินมาส่งที่ลิฟท์ บ๊ายบายกัน ขอให้โชคดี เสียใจมาก เพราะว่ามันไม่ได้มีปัญหาเรื่องวิธีการทำงานหรือประสบการณ์เลย แต่ดันมีปัญหาที่พูดไม่รู้เรื่อง คนที่สัมภาษณ์เรามา 3 ครั้ง มีแต่คนที่ดูใจดีหมดเลย คนประเทศนี้ก็ขึ้นชื่อเรื่องอัธยาศัยใจคอดี แต่เราดันทำพังซะได้ หันหลังให้โรงแรมห้าดาว เดินคอตกออกมาอย่างเศร้าสร้อย ไม่อยากมองหน้าใครเลย
นั่งแท็กซี่ไปขึ้นรถไฟฟ้าไปหาเพื่อน ต้องหาใครมาระบายความอัดอั้น ถ้าอยู่คนเดียวอาจฟุ้งซ่านได้ หาคนมาฟังเราพล่ามจะดีกว่า ต้องยอมรับเลยว่าเพิ่งจะเคยคิดอย่างงี้ คือการที่เราบอกว่าเราอะไรก็ได้ ยังไงก็ได้ อยู่อย่างงี้ก็โอเคนะ ไม่เดือดร้อนน่ะ มันเพียงแค่เพราะว่ายังไม่เจออะไรที่เราชอบจริงๆเข้าต่างหาก ถ้าหากเราพร้อม ทุกอย่างมันก็จะดีกว่านี้แน่ ซาบซึ้งถึงที่เค้าว่า “โอกาสเป็นของคนที่พร้อมเสมอ” แล้ว จุกเข้าไปที่กระบังลมเลย ตัดสินใจว่า คงถึงเวลาที่จะต้องซ่อมแซมตัวเองอย่างจริงจังแล้ว...โห...ไม่ใช่งานง่ายๆเลย...
ก่อนกลับ สองทุ่มกว่า ไปกินส้มตำกัน เราสั่งส้มตำปูมากิน เพื่อนถามว่า สั่งตำปู ไม่เห็นกินปูเลย เราบอกว่าไม่กินหรอก ต้องนั่งรถกลับไกล เดี๋ยวปวดท้อง สามทุ่มกว่าก็แยกย้ายกัน เรานั่งรถไฟฟ้ากลับ พอถึงสยาม ท้องเริ่มปั่นป่วน และมันเริ่มเยอะ พยายามนึกหาเหตุแห่งทุกข์ของการปวดขี้นี้ ตัดภาพกลับไปที่ส้มตำปูจานนั้น ไม่กินปู...แต่ดันเอาน้ำส้มตำมาราดข้าวกิน ลืมตัว จะบ้าตาย ยิ่งคิดถึงจะยิ่งปวด ยิ่งคิดว่าจะไม่คิดถึง จะยิ่งคิดถึงมัน และจะปวดมากขึ้นอีก ซวยแล้ว...
เริ่มชั่งใจว่ากูจะลงไปแวะปล่อยทุกข์นี้ออกไปก่อนดีมั้ย อีกใจบอกว่า เราควรอดทนนะ ควรผ่านมันไปให้ได้ ในรถไฟฟ้าแอร์เย็น มันจะเย็นหนักเข้าไปอีกเวลาเราปวดขี้ ผ่านเซ็นทรัลชิดลมไป ขนแขนก็เริ่มพร้อมอกพร้อมใจลุกกันเกรียว เอ๊ะ...เริ่มจะเอาไม่อยู่ แต่ผ่านไปอีกพักหนึ่ง อาการก็เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ แล้วก็กลับมาวิกฤติอีก ใช้ความอดทนเข้าสู้จนผ่านเทอร์มินอล 21 ที่อโศกมาได้ โดยไม่ลงจากรถ ตอนผ่านเอ็มโพเรี่ยมที่พร้อมพงษ์ แอบคิดแว๊บหนึ่งว่า เราคิดถูกรึเปล่า ที่ไม่กำจัดทุกข์นี้ไปก่อนที่จะก้าวต่อไปดีๆ แต่มันผ่านไปแล้วนี่จะไปคิดอะไร ไม่มีที่ขจัดทุกข์แล้ว อดทนได้จนถึงแบริ่ง ไปอดทนต่อบนรถแท็กซี่ ไม่เคยคิดถึงและอยากกลับห้องตัวเองขนาดนี้มาก่อน
ในที่สุดก็เอาชีวิตรอดมาถึงห้องตอนสี่ทุ่มกว่า ปลดปล่อยทุกข์ที่อัดอั้นอยู่ทั้งในร่างกายและจิตใจที่รับมาอย่างบอบช้ำ ไปกับการกดชักโครกอย่างไร้ความปราณี ทุกข์มาก ก็สุขมาก นี่คือธรรมดาโลก เราพบว่าท้องเสียหายได้ แต่ใจเสียยังค้างอยู่ ต้องใช้ชักโครกแห่งกาลเวลามาช่วย ก็ยังดีนะ ที่ป่วยง่าย แต่หายเร็ว...
It’s me…
13 เมษายน 2555
พอเค้าโทร.มาถาม ตอนแรกก็ไม่ใส่ใจ แต่ด้วยความชอบแส่ที่มีอยู่อย่างเปี่ยมล้น ก็เลยถามเค้าไปว่า บริษัทอะไร ที่ไหน ได้ความตามท้องเรื่องมาว่าเป็นบริษัทอิตาลี มาเปิดตลาดใหม่เอี่ยมในเมืองไทย อยากรับ Quality Engineer ทำงานที่บริษัทลูกค้า ซึ่งเป็นรถยนต์ค่ายพี่บิ๊กที่นี่แหล่ะ กิเลสในตัวเรามีอยู่ไม่กี่อย่าง รัก โลภ โกรธ หลง มันเกาะกินเราอยู่ ในกรณีนี้ ความโลภและความหลงมาจูงมือเราไปต่อหน้าต่อตา
ความหลงเดินมาหา : พอบอกว่าเป็นอิตาลี โอย...นักบอลที่เราหลงไหลได้ปลื้มตั้งแต่ม.ปลาย ก็ลอยมาเกาะลูกกะตาปิ๊งๆเต็มไปหมด เรากินพิซซ่า เราเรียนรู้เรื่องของประเทศนี้ ผ่านคำบอกเล่าและหนังสือเยอะแยะตาแป๊ะไก่ หนังเรื่องที่มันยังจิกใจเราอยู่จนทุกวันนี้เรื่องหนึ่งก็คือ Life is beautiful เป็นหนังดีมากของอิตาลี ให้ความงดงามในใจมากที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่ในชีวิตเคยดูมา เป็นหนังดีที่ไม่กล้าดูรอบสอง เพราะร้องไห้น้ำตาไหลพรากๆ แถมอีกเรื่องซึ่งไม่เกี่ยวกันเลยก็คือ เวลามีใครมาทักเรื่องปมด้อยในเนื้อคู่ระบบปากหมาอัตโนมัติมักจะโต้กลับไปว่า “เนื้อคู่กูอยู่อิตาลี เราแค่ยังไม่เจอกันเท่านั้นเอง” “ถ้ากูแต่งงานเนี่ย...ที่อิตาลีนะ มึงจะไปเหรอ” เรื่องนี้พูดบ่อยนะ เพราะมันมีคนชอบมาตอกย้ำบ่อยนั่นเอง เราหลงเสน่ห์ประเทศนี้แหล่ะ....แน่นอนที่สุด....
ความโลภไม่ยอมแพ้ (ตามมาซ้ำอย่างไม่ปราณี) : สิ่งดีที่อยู่ในตัว...เรื่องงานที่ถนัด ทักษะที่ทำได้ ความท้าทายของงาน คะแนนพุ่งสูงพรวดพราดเลยทีเดียว สั่งตัวเองในทันใด ว่ามึงมันเหมาะกับงานนี้แหล่ะ รับเค้าเข้ามาในดวงใจตั้งแต่ยังไม่พบปะกันด้วยซ้ำ
หลังจากโดนกิเลสสองตัวใหญ่เข้าครอบงำวิญญาณแล้ว เลยบอก Recruitment ไปว่า “น่าสนใจค่ะ” จากนั้นขั้นตอนการสรรหา (ของเค้า) ก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อสามอาทิตย์ก่อน ด้วยการให้เรา Skype คุยกับคนอิตาลีที่อิตาลี เป็น Manager 2 คน ฝ่ายบุคคลและฝ่ายคุณภาพ
ณ ตอนนั้น อากาศรอบข้างเป็นยังไงไม่รู้ แต่ร่างกาย มือไม้มันสั่นไปหมด เสียงก็สั่นเป็นเพื่อนกันด้วย เหมือนองค์ลง แต่ไม่มีใครมาขอหวย ไม่เข้าใจเลยว่า เวลาเราเดินไปพูดซื้อส้มแม่ค้าในตลาด ทำไมเราไม่เคยสั่น วิแคะออกมาได้ความว่า เราคงไม่เคยตั้งความหวังล่ะมั้ง ว่าเราจะได้ส้มที่ดีที่สุดจากส้มทั้งหมดที่แม่ค้ามีอยู่ ถ้าเราลองตั้งความหวัง เราอาจจะสั่นก็ได้...มั้ยฮึ
ภาษาอังกฤษที่มีอยู่ เวลาเขียนมันก็พอจะเรียงกันมารู้เรื่องได้นะ แต่พอนึกด้วย พูดด้วย สั่นด้วยนี่ เอ๊ะยังไง ดูว่า...ความรู้ ทักษะ ความมั่นใจ ทุกอย่างพากันทอดทิ้งเรา บินหนีออกจากหัวเราไปหมด เหลือไว้แค่คำสอนเดียวของคริสโตเฟอร์ ไรท์ คือ ออกไปเป็นคำๆ ที่เหลือมึงนั่งฟังกูเฉยๆ ว่างๆอยู่ ก็กรุณาทำหน้าที่ เอาไปบวก ไปเรียงกันเอาเองแล้วกันวะ อันไหนที่กูเว้นช่องว่างไว้ให้ ก็กรุณาเติมคำในช่องว่างให้ด้วย คนละ 50-50 ชีวิตต้องแบ่งปัน
มันมีคำถามหนึ่งอย่างที่เค้าถามว่า ทำไมถึงสนใจบริษัทเค้า เพราะเค้ามีชื่อเสียง หรือเพราะผลิตภัณฑ์ บอกเค้าไปว่าไม่ใช่เลย แค่เพราะว่าเค้าเป็นบริษัทอิตาลี ที่เราเคยได้ยินตั้งแต่เด็ก เราชอบประเทศนี้ เราคิดว่ามันสวยและมีเสน่ห์...(แน่นอน...ที่พูดไปทั้งหมดย่อมไม่ลื่นไหลอย่างที่เขียน แต่ถ้าเค้าตีความได้ถูกต้อง มันจะได้ใจความตามนี้แน่ๆ) เค้าถามเราเรื่องรถยนต์ ว่ารู้จักและเข้าใจเครื่องยนต์มั้ย เราตอบกลับไปอย่างไม่ถนอมน้ำใจ บอกว่าไม่รู้อะไรเลย แต่ถ้าเค้าสอน เราคิดว่ามันไม่ยากนะ...ก็ว่าไป๊....คุยกันนานเลย เพราะเค้าต้องรอเราพูดซะเยอะ ก็กว่าเราจะเอาคำมาต่อกันเสร็จ ยิ่งพูดยิ่งเกรงใจคนฟัง
เมื่อจบการสัมภาษณ์ เราเอาภูเขาออกจากอก 1 ลูก อุณหภูมิตามผิวหนังร้อนฉ่า หน้าแดง คอตก ถ้ามีหาง หางคงจะตกด้วยแน่ โทร.หา Recruitment ทันที เพื่อรายงานผลความพินาศย่อยยับของตัวเอง และขอโทษที่ทำให้เค้าเสียเวล่ำเวลาไปด้วย ถึงเราจะทำผิดพลาด แต่เราก็ไม่ควรสะบัดตูดหนีไปหน้าตาเฉย กระทำสิ่งสุดท้ายเพื่อแสดงความรับผิดชอบจะดีกว่า
ความเศร้าตามหลอกหลอนเป็นช่วงๆ ทำให้จิตตก อาทิตย์ถัดมาได้หายจากอาการนั้นแล้ว อยู่ๆ คุณคนเดิมโทร.มาบอกว่าเราผ่านสัมภาษณ์นะ เสือกรับโทรศัพท์ตอนนั่งขี้ เจ้ากรรม...จะดีใจยังไงดีวะ ต้องอั้น (บางอย่าง) ไว้ชั่วขณะ เพราะไม่อยากให้เค้าต้องเดาว่าเสียงชักโครกที่เรากดมันเป็นเสียงของอะไร รีบขอบคุณเค้า พอขี้เสร็จเดินดีใจงงๆออกมาจากส้วม ผ่านจริงๆเหรอวะ...เค้าถามเราด้วยว่า มี Engineer จะสัมภาษณ์เราต่อ เค้าให้เบอร์โทร.เราได้ใช่มั้ย...จะเอาไปแจกใครในโลกนี้ก็เอาไปเถอะจ้ะ...
ตอนเย็นวันนั้น ยืนซื้อส้มตำและแกงอ่อมอยู่ข้างถนนกับน้องที่ทำงาน มีโทรศัพท์เข้ามา พอรับสาย ชัดเลย อิตาเลียนแมนชัวร์ เค้าแนะนำตัว ชื่ออะไรหว่า ฟังไม่ออก เราบอกเค้าว่าพูดดังๆหน่อย แต่ว่า...พอเค้าพูดดังแล้ว กูก็ฟังไม่ออกอยู่ดี ฟังออกแต่วันเวลาที่เค้าถามว่าว่างมั้ย ก็เออออห่อหมกไป เค้าพูด ร.เรือ เยอะมาก อย่างกะกลั้วน้ำอยู่ในปาก สำหรับเรา ต่อให้พูดเป็นภาษาอังกฤษต้นแบบ เรายังฟังไม่ค่อยเข้าใจเลย นี่ใส่ทักษะเสริมด้วย อยากเอาหัวโหม่งแกงอ่อมก็กลัวร้อน เลยเอาความมึนเข้าข่มว่า ช่วยส่งรายละเอียดมาที่ mail ได้มั้ย เพราะเค้าถามถึงสถานที่ว่าเรารู้จักมั้ย เฮ้อ...อีกสิบรอบก็คงไม่รู้เรื่องหรอก
อยากขอบคุณรถไฟฟ้าทั้งสอง ที่ทำให้เราสามารถเดินทางไปไหนต่อไหนในเมืองได้อย่างสะดวกโยธิน ครั้งนี้เค้าให้เราไปหา Engineer อิตาลีคนหนึ่ง ที่บริษัทหนึ่งแถวๆรัชดา แต่ชื่อบริษัทที่บอกมา ทำไมมันไม่เหมือนกันหว่า พอไปบอกว่าเรามาพบคนนี้กับพนักงานบริษัทนั้น ซึ่งก็มั่นใจว่าเดินมาถูกที่ เค้าพากันทำหน้างง เค้างง เรางงกว่า เราบอกว่าคนนี้เป็นคนอิตาลี นัดเรามาที่นี่อ่ะ เค้าก็อ๋อ...รอก่อนแล้วกันนะ เรางงๆ บริษัทเดียวกัน นั่งกันไม่ถึง 5 คนเลย ทำไมจำกันไม่ได้ฟะ
นั่งอ่านหนังสือเรื่อยเปื่อยดับอารมณ์ตื่นตูมใจเต้นตุ้บตั้บของตัวเองไป ซักพักใหญ่เค้าก็มา เป็น Engineer หนุ่ม หน้าตาใจดี แต่ว่าน่าจะไปเป็นนักบอลมากๆ พี่เตะบอลเมื่อไหร่ เกิดแน่...หัวหยิกลอนใหญ่ๆ ฟูเต็มหัวเลย แต่งตัวเซอร์ๆ และทำหน้าเท่ๆ เป็นอ๊อปชั่นเสริม ก็คุยๆกันไป ได้ข้อมูลเพิ่มมาว่า เค้าไม่มีบริษัทที่ไทยนะ ถ้ารับเรา เราต้องจัดการทุกอย่างแต่เพียงคนเดียว ทำงานที่บริษัทลูกค้าประมาณนั้น
เราฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ที่ฮา ที่เราเหยียบอยู่นี่คือบริษัท Dealer เค้าในไทย ตัวเค้าประจำอยู่ที่จีน มาทำงานที่ไทยแป๊บหนึ่ง เลยแวะมาสัมภาษณ์เรา คือมายืมสถานที่ใช้เฉยๆว่างั้นเถอะ (ถึงว่า...ไม่มีใครเค้ารู้จักแกเล้ย) อยากจะขำตรงที่เค้าถามเรื่องเครื่องยนต์และผลิตภัณฑ์เค้าอีกแล้ว ตอบไปอย่างชัดเจน หึ...ไม่รู้อะไรซักอย่างเลย ส่ายหัวแถมให้ด้วย แต่ข้าพเจ้ายินดีเรียนรู้นะ ถ้าจะสอนกันล่ะก็ เค้าลงทุนอธิบายเรื่องเบสิกเครื่องยนต์ และผลิตภัณฑ์เค้าให้เราฟังเป็นหน้ากระดาษ เหมือนคุณครูสอนเด็กน้อย ถามนำ แล้วก็รอให้เราตอบตามสั้นๆ เค้าพูดเหมือนมันง่ายโคตร แถมบอกเราด้วยว่าคุณไม่ต้องชำนาญหรอก แหม...อยากกระโดดกอดขอบคุณ ว่าแต่ว่า...ไม่ได้โกหกกันใช่มั้ย
แต่สรุปโดยรวมก็คิดว่าน่าจะแห้ว เพราะเราดูโง่เกินไปนะ พูดถึงงานตัวเอง ยังดูมั่วไปมั่วมาเลย อย่าว่าแต่เรื่องงานเค้า โอ๊ย...เจ็บปวดจริง เค้าบอกเราว่า เค้าจะบอกอีกคนหนึ่ง (ซึ่งโทร.หาเรา แล้วเราฟังเค้าพูดแทบไม่รู้เรื่องเลยนั่นแหล่ะ) เค้าบอกว่าถ้าโอเค ยังไงคนนั้นต้องสัมภาษณ์เราอีกรอบหนึ่ง...ฮ้า....นี่มันคัดเลือกบอลโลกหรือไงวะ ไม่หมดซักที เค้าบอกว่า ตอนนี้คนนั้นไม่ว่าง ติดลูกค้าไง เลยมาไม่ได้ มันน่าเอามือไปจิ้มหัวหยองเล่นจริงๆ แต่ก็เข้าใจว่าเค้าคงมาขัดตาทัพเฉยๆแหล่ะ เอาเข้าไป
กลับมาห้อง ว่าจะไปทำงานต่อ แต่มันเศร้า ไปไม่ไหว ใจมันช้ำ ไม่ไปดีกว่า ขอเวลาทำใจหน่อยละกันวะ คนอย่างเราไม่ทุกข์นานอยู่แล้ว นี่คือข้อดีข้อหนึ่งที่ค้นพบตอนโตแล้ว การที่เรายังมีบางมุมที่เหมือนเด็ก เราไม่อยู่กับความทุกข์นานๆ ถึงจะเศร้ายังไง แต่เดี๋ยวมันก็หายแล้ว ดีจริงๆที่เราค้นเจอสิ่งที่เรามีอันนี้
บ่ายแก่ๆ นั่งดู dvd ปลอบใจตัวเองอยู่ คุณอิตาลีเจ้าเก่าก็โทร.มา ฮะฮ่า...รอดได้ไงวะ เชื่ออย่างหมดใจไปแล้วว่า mission failed ปฏิบัติการล้มเหลว ทีนี้เค้าจะให้เราไปสัมภาษณ์กับเค้าในวันรุ่งขึ้น ตายห่า...ลางานอย่างกับเป็นบริษัทพ่อตัวเองเลย เว้นวันให้เราไปทำงานบ้างเถอะพ่อคุณ (ประโยคหลังไม่ได้พูดออกไป) เราเลยบอกไปว่า ตอนนี้เราได้เฉพาะเสาร์-อาทิตย์นะ เค้าบอกว่างั้นวันเสาร์ ว่างกี่โมง เราบอกว่าแล้วแต่คุณเลย (กล้านัดกูสามทุ่มมั้ยล่ะ) เค้าบอก 11 โมงนะ แล้วรู้จักที่.......มั้ย เอาอีกแล้ว มันที่ไหนวะ ครั้งนี้คุยกันจนรับรู้ได้เลยว่าเค้ารำคาญที่เราฟังไม่รู้เรื่อง เราเลยบอกว่าส่ง mail มาเถอะ เค้าเหมือนจะเป็นกังวล กลัวเราไปไม่ถูก อันนี้เดาเอานะ พูดมาซะเยอะ แต่ฟังไม่ออกเลย ได้แต่บอกไปว่าไม่ต้องเป็นห่วงนะ ชั้นหาแผนที่ไปเจอแกได้แน่ พอได้รับ mail ปรากฏว่าเค้านัดที่ห้องโถงของโรงแรม 5 ดาวแห่งหนึ่ง (สำหรับชาวต่างชาติชัวร์) ข้างริมแม่น้ำเจ้าพระยา เราก็หาแผนที่ แล้วก็คอนเฟิร์มกลับไปว่าโอเคนะจ๊ะพ่อหนุ่ม แล้วเจอกัน
แต่ลงแรงเพิ่มนะครั้งนี้ คืออายไง...นี่รอบสามแล้วนะ ถ้ามึงยังกล้ายืนยันว่าไม่มีความรู้เรื่องเครื่องยนต์อีก มึงจะหน้าด้านเกินไปมั้ยฮึ ออกแนวทุเรศแล้ว เราก็เลยอ่านพวกพื้นฐานไป แถมท่องชื่อพี่เค้าไปด้วย เป็นชื่อสี่พยางค์ นามสกุลสี่พยางค์ แต่ไม่รู้...ว่าอันไหนชื่อ อันไหนนามสกุล เดาว่าเป็นอันหน้าคือชื่อละกันวะ ชื่อและนามสกุลก็เรียกยาก แอบเอาไปนินทาด้วยว่าชื่อง่ายๆกว่านี้ไม่มีจะตั้งแล้วเหรอวะ กว่ากูจะจำได้...
เป็นการไปสัมภาษณ์งานของกะเหรี่ยงหน้าเด๋อด๋าคนหนึ่ง ซึ่งดูมีปมมาก ใส่กางเกงที่แทบจะใกล้เคียงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ เสื้อเชิ้ต แบกเป้ด้วย สมฐานะจริงๆ ไม่ลงทุนอะไรเลย ก็คิดว่าคุยกันที่กึ๋นสิ เปลือกนอกจะเอาอะไรนักหนา (อย่างกับตัวเองมีกึ๋นให้เค้าค้นหา) แล้วอีกอย่าง เป็นวันเสาร์ด้วย ไม่ใส่เสื้อยืดไปก็บุญเท่าไหร่แล้ว (ไม่รู้นะ ว่าบุญของใคร) เค้านัด 11 โมง เราไปถึง 10 โมงนิดๆ มันไกลไง ก็กะเวลาไม่ค่อยถูก
ไปนั่งรอที่ล็อปบี้ สงบสติอันพลุ่งพล่าน แต่ยิ่งพยายามสงบ ทำไมมันยิ่งแตกกระเจิงวะ เอาเข้าไป ส่งข้อความไปบอกเค้าว่า เรามาถึงแล้ว นั่งอยู่นี้ๆๆนะ ตามสบาย เรารอได้...หึๆๆ พยายามกลบเกลื่อนความตื่นเต้นของตัวเองด้วยการอ่านหนังสือ ฟังเพลงด้วย เอาเอกสารที่จะใช้ออกจากเป้มาวางข้างตัว สร้างความกลัวใส่ตัวเองทำไมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
แล้วเค้าก็ลงมา ถ้าอกอีแป้นจะแตกคงจะดีกว่านี้ แต่นี่มันอกเราเอง โถ...หล่อเกินไปแล้ว น่าจะสูง 190 กว่าได้ ใส่สูท ผูกไท้ด์ รองเท้าหนังมันแว้บ นึกว่าแคะมาจากแม็กกาซีน กะเหรี่ยงเอย...ตื่นเถอะ ลุกมาจะจับมือกะเค้า หนังสงหนังสือร่วง เฮ้อ..จิตป่วนไปหมด สติถูกทำลาย เค้าบอกว่าให้เราตามเค้าไป เราหยิบเป้และหนังสือเดินตามไปต้อยๆ เค้าถามว่ามาที่นี่ยากหรือง่าย ฟังตั้งหลายครั้ง เพราะมันเป็นสำเนียงอิตาเลี่ยน มี “รรรรร” อยู่ในทุกคำที่เปล่งออกมา แต่เวลาพูดช่างดูใจดีเสียนี่กระไร ถ้าเราฟังออกง่ายๆคงจะดีไม่น้อย กะเหรี่ยงอยากละลายลงไปกองกับพื้นเลย
ขึ้นลิฟท์ไปร่วมกับผู้คนอีกมากมาย แน่นอน...ไม่มีคนไทย เค้าให้เรากดชั้น 18 ให้ มี 36 ชั้น กว่ากูจะหาเลข 18 เจอ ทำไมสติมันช่างเลอะเลือนอย่างงี้วะ ออกจากลิฟท์ เดินไปที่หน้าห้อง เค้าก็เอาคีย์การ์ดเสียบ เปิดประตูเข้าไป (เอ่อ...อย่าคิดลึก ห้องนอนน่าจะถูกปิดไว้เรียบร้อยดี เพราะมองไม่เห็นอะไร) พอนั่งแปะลงที่เก้าอี้...ตายหอก...ลืมเอกสารไว้ข้างล่าง เวรกรรม...อายชิบหาย จะตายอยู่แล้ว...
บอกเค้าว่าลืมของ ขอลงไปเอาได้มั้ย เค้าบอกได้สิ เอาคีการ์ดไปด้วยนะ ต้องเสียบคีย์การ์ด....ฟังออกแค่ตรงนี้ เสียบกับอะไรกูก็ฟังไม่ออก ตามเซ้นส์มันก็น่าจะเป็นประตูหน้าห้องตามปกติ ก็เดินเด๋อออกไปพร้อมคีย์การ์ด 1 ใบถ้วน ลงลิฟท์ไป วิ่งไปหยิบของ เข้ามาในลิฟท์ (คนเดียว) กดชั้นที่ต้องการ แล้วก็ยืนเหม่อ ซักพัก เริ่มรู้ตัว...เฮ้ย ลิฟท์ไม่ไป ทำไงดี ในลิฟท์มันมีรู เหมือนเป็นช่องใส่การ์ดนะ แต่ว่า...อยู่คนเดียวไง เกิดเสียบไปแล้วไม่ใช่นี่...มึงไปป่วนโรงแรมเค้าเลยนะ คราวนี้ล่ะดังแน่ๆ...ตัดใจออกมายืนข้างนอกดีกว่า รอลิฟท์อีกตัวมาแล้วทำเหมือนเดิมซิ น่านไง...กดไม่ติด แสดงว่าลิฟท์ปกติ กูเองที่ผิดปกติ ในแง่การบริหารความเสี่ยงแล้ว รอคนอื่นมากด แล้วมึงเป็นตัวแถมจะดีกว่า ก็ออกไปยืนข้างนอก จนกระทั่งมีฝรั่งสองคนมาขึ้นลิฟท์ เราก็ตามเข้าไป เค้าเอาการ์ดเสียบ เสร็จแล้วก็ดึงออก มันก็กดได้แระ แอบเก็บความสะเหร่อของตัวเองเอาไว้ อย่าให้ใครเห็น เค้าจะสงสัยมั้ย ว่ามันหายไปไหนนานโคตร
พอไปถึงหน้าห้องได้ ก็เอาการ์ดเสียบ แล้วหมุนมือจับตามรูปในการ์ดเลย แต่ว่า...ฮือๆ...ทำไมมันไม่เปิดวะ สุดท้ายเค้าก็เดินมาเปิดให้ แทบอยากจะเอาหน้าแทรกแผนดินหนี แล้วการสัมภาษณ์ก็ได้ดำเนินไปอย่างน่าสงสารมากทั้งคู่ ฝรั่งแม่งคงงงเรา เราก็งงฝรั่ง อยากบอกว่าอย่า “รรรร” ได้มั้ย ก็ทำไม่ได้ มันเดาไม่ถูก ฟังไป เดาไป งงไป เวลาเราพูด เค้าก็คงงงไม่แพ้กัน อะไรของมึ้ง พูดก็ช้า ตะกุกตะกัก เดี๋ยวผิดเดี๋ยวถูก มะงุมมะงาหรา ตื่นไปหมด
ถามเรื่องการใช้ MS Office Excel, Power point ใน Excel กูก็ใช้ทุกวี่ทุกวัน ดันมาถามฟังชั่นคอนเวิร์ทตารางที่กูไม่เคยใช้ซะอย่างงั้น บอกเค้าว่าไม่เคยใช้นะ รู้แต่ว่า เอาไว้คอนเวิร์ทตาราง ถามเรื่อง Power point ให้ทำให้ตัวรูปมันเลื่อนไปมา เราหาฟังก์ชั่นจนเจอ พอกดดูตัวเลือก ฮือๆๆ มันเป็นภาษาอิตาเลี่ยน แบบว่าเดาไม่ออกเลย คือ laptop เค้าลงเวอร์ชั่นอิตาเลี่ยนหมด บางคำมันก็พอเดาได้ เพราะภาษามันคล้ายๆกัน แต่ตัวที่เหนือมนุษย์จริงๆก็ไม่ไหว หันมามองหน้าเค้าแล้วบอกว่า อ่านไม่ออกอ่ะ เค้าก็ใจดี บอกว่าอันไหนก็ได้ แถมบอกว่าเข้าใจนะ เพราะไม่ใช่ laptop ของเรา ไม่เป็นไร ชมเราว่า very good เหมือนชมหมาเลย จะดีใจดีมั้ย บางเวลาอยากเอื้อมมือไปจับหน้าดู แต่กลัวว่าเดี๋ยวจะโดนถีบทะลุกระจกตกเจ้าพระยาตายฟรี เก็บมือไว้ข้างบนตักก็ดีอยู่แล้ว หน้าสวยจัง ขาวแต่หน้าเข้ม ชาติหน้าขอเกิดแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนบ้างนะ...นะนะ...
ทำอะไรก็มือไม้สั่นไปหมด เค้าดูสนใจนะ เมื่อบอกว่าเราจบที่ขอนแก่น เค้าบอกว่าจะไปขอนแก่นพรุ่งนี้ ก็ถามว่าไปทำอะไรเหรอ เสือกเลยมึง เค้าตอบว่าไปทำงานอะไรซักอย่างเนี่ยแหล่ะ แม่งยาว...ฟังไม่ออก และแน่นอน งานอะไรไม่รู้ รู้แต่มี “ร” เยอะมาก คิดสะระตะในหัว อยากจะโฆษณาของดีจังหวัดที่เราเคยอยู่ แม่งร้อน...มีอะไรอีกวะ แห้งแล้ง เออ...แต่เราชอบนะ แล้วจะบอกว่าชอบเพราะอะไรวะ มีเพื่อนๆ เพื่อนก็ตั่วเฮียเกือบทุกตัวเลย คิดไม่ออก อย่าเลย ให้แมลงหวี่มันบินไปเถอะ...เค้าถามว่ามหาลัยเรานี่ดังมั้ย ถ้าถามเป็นไทย คงจะตะโกนปล่อยมุขให้ดูเลย “ดังมากนะ ถ้าตะโกนดังๆ” เราบอกไปว่า ก็ดังที่สุดในภาคอีสานแหล่ะ ส่วนแกจะรู้มั้ยว่าประเทศชั้นมันมีกี่ภาค และเฉพาะในกทม.นี่ มันมีมหาลัยยัดทะนานอยู่เท่าไหร่ ก็ไม่ต้องไปบอก ให้ประกอบประโยคยากเย็นอะไร ผ่านๆมันไปเลยก็ได้
เรื่องที่ควรพูดได้คล่องที่สุด ก็ควรเป็นเรื่องงาน ซึ่งเสือกพูดได้ตะกุกตะกักที่สุด เปล่งออกมายากเย็น เค้าอธิบายให้ฟังว่า ถ้าทำงานนี้ต้องโดดเดี่ยวและลุยงานขนาดไหน ซึ่งโคตรจะน่าสนุกเลย แต่คงพลาดซะแล้วล่ะ คุยกันเสร็จ เค้าเปิดประตูให้ เรื่องที่ยังขำอยู่ตอนถึงตอนนี้ก็คือ การเดินออกจากประตู เค้าเปิดประตูออกมาส่ง เอาแขนตัวเองจับขอบประตูไว้ เราเดินลอดแขนเค้าออกมา...แบบไม่ต้องก้มเลย ช่างตอกย้ำความเตี้ยตะแมะแคะของตัวเองจริงๆ มากระทืบหัวใจกันเลยดีกว่า เดินออกมาพร้อมน้ำตาที่ไหลในหัวใจ เศร้าชะมัด เราจะไม่ได้เจอเค้าเป็นครั้งที่สองด้วยซ้ำไปหรือเนี่ย เค้าเดินมาส่งที่ลิฟท์ บ๊ายบายกัน ขอให้โชคดี เสียใจมาก เพราะว่ามันไม่ได้มีปัญหาเรื่องวิธีการทำงานหรือประสบการณ์เลย แต่ดันมีปัญหาที่พูดไม่รู้เรื่อง คนที่สัมภาษณ์เรามา 3 ครั้ง มีแต่คนที่ดูใจดีหมดเลย คนประเทศนี้ก็ขึ้นชื่อเรื่องอัธยาศัยใจคอดี แต่เราดันทำพังซะได้ หันหลังให้โรงแรมห้าดาว เดินคอตกออกมาอย่างเศร้าสร้อย ไม่อยากมองหน้าใครเลย
นั่งแท็กซี่ไปขึ้นรถไฟฟ้าไปหาเพื่อน ต้องหาใครมาระบายความอัดอั้น ถ้าอยู่คนเดียวอาจฟุ้งซ่านได้ หาคนมาฟังเราพล่ามจะดีกว่า ต้องยอมรับเลยว่าเพิ่งจะเคยคิดอย่างงี้ คือการที่เราบอกว่าเราอะไรก็ได้ ยังไงก็ได้ อยู่อย่างงี้ก็โอเคนะ ไม่เดือดร้อนน่ะ มันเพียงแค่เพราะว่ายังไม่เจออะไรที่เราชอบจริงๆเข้าต่างหาก ถ้าหากเราพร้อม ทุกอย่างมันก็จะดีกว่านี้แน่ ซาบซึ้งถึงที่เค้าว่า “โอกาสเป็นของคนที่พร้อมเสมอ” แล้ว จุกเข้าไปที่กระบังลมเลย ตัดสินใจว่า คงถึงเวลาที่จะต้องซ่อมแซมตัวเองอย่างจริงจังแล้ว...โห...ไม่ใช่งานง่ายๆเลย...
ก่อนกลับ สองทุ่มกว่า ไปกินส้มตำกัน เราสั่งส้มตำปูมากิน เพื่อนถามว่า สั่งตำปู ไม่เห็นกินปูเลย เราบอกว่าไม่กินหรอก ต้องนั่งรถกลับไกล เดี๋ยวปวดท้อง สามทุ่มกว่าก็แยกย้ายกัน เรานั่งรถไฟฟ้ากลับ พอถึงสยาม ท้องเริ่มปั่นป่วน และมันเริ่มเยอะ พยายามนึกหาเหตุแห่งทุกข์ของการปวดขี้นี้ ตัดภาพกลับไปที่ส้มตำปูจานนั้น ไม่กินปู...แต่ดันเอาน้ำส้มตำมาราดข้าวกิน ลืมตัว จะบ้าตาย ยิ่งคิดถึงจะยิ่งปวด ยิ่งคิดว่าจะไม่คิดถึง จะยิ่งคิดถึงมัน และจะปวดมากขึ้นอีก ซวยแล้ว...
เริ่มชั่งใจว่ากูจะลงไปแวะปล่อยทุกข์นี้ออกไปก่อนดีมั้ย อีกใจบอกว่า เราควรอดทนนะ ควรผ่านมันไปให้ได้ ในรถไฟฟ้าแอร์เย็น มันจะเย็นหนักเข้าไปอีกเวลาเราปวดขี้ ผ่านเซ็นทรัลชิดลมไป ขนแขนก็เริ่มพร้อมอกพร้อมใจลุกกันเกรียว เอ๊ะ...เริ่มจะเอาไม่อยู่ แต่ผ่านไปอีกพักหนึ่ง อาการก็เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ แล้วก็กลับมาวิกฤติอีก ใช้ความอดทนเข้าสู้จนผ่านเทอร์มินอล 21 ที่อโศกมาได้ โดยไม่ลงจากรถ ตอนผ่านเอ็มโพเรี่ยมที่พร้อมพงษ์ แอบคิดแว๊บหนึ่งว่า เราคิดถูกรึเปล่า ที่ไม่กำจัดทุกข์นี้ไปก่อนที่จะก้าวต่อไปดีๆ แต่มันผ่านไปแล้วนี่จะไปคิดอะไร ไม่มีที่ขจัดทุกข์แล้ว อดทนได้จนถึงแบริ่ง ไปอดทนต่อบนรถแท็กซี่ ไม่เคยคิดถึงและอยากกลับห้องตัวเองขนาดนี้มาก่อน
ในที่สุดก็เอาชีวิตรอดมาถึงห้องตอนสี่ทุ่มกว่า ปลดปล่อยทุกข์ที่อัดอั้นอยู่ทั้งในร่างกายและจิตใจที่รับมาอย่างบอบช้ำ ไปกับการกดชักโครกอย่างไร้ความปราณี ทุกข์มาก ก็สุขมาก นี่คือธรรมดาโลก เราพบว่าท้องเสียหายได้ แต่ใจเสียยังค้างอยู่ ต้องใช้ชักโครกแห่งกาลเวลามาช่วย ก็ยังดีนะ ที่ป่วยง่าย แต่หายเร็ว...
It’s me…
13 เมษายน 2555
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)