วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555

โลกียะ – โลกุตตระ (ตอนจบ)


ความเดิมตอนที่แล้ว หลังจากกลับมาจากเส้นทางโลกียะตอนตีสี่กว่า ก็อาบน้ำ สระผม เพราะหัวเหม็นบุหรี่มาก แหล่งอโคจรจะทำให้หัวเหม็นบุหรี่ทั้งที่เราก็ไม่ได้สูบ เก็บของยัดใส่เป้แบบชุ่ยๆ มึนๆ เพราะยังไม่ได้นอนเลย หัวหลอนๆ กลัวว่าตัวเองจะตื่นไม่ทัน เพราะนัดกับไอ้ปุ้ย น้องที่ทำงานเอาไว้แต่เช้า ตอนนี้เกือบตีห้าแล้ว ตัดสินใจนั่งเอาหลังพิงเตียง เปิดไฟหัวนอน ตั้งนาฬิกาปลุก อ่านหนังสือประวัติสตีฟ จ๊อปส์ วันนี้สตีฟ จ๊อปส์มีประวัติสั้นมาก ยังไม่ถึงสี่บรรทัดก็จบแล้ว สติได้หมดลง

ตีห้าครึ่ง เสียงนาฬิกาปลุกดัง ช่างเป็นเสียงที่ทำให้ใจหล่นวูบ ไม่มีความตื่นเต้นที่จะได้เดินทางธรรมเหลืออยู่แม้แต่น้อย หัวมึนตึ้บ ครั้งสุดท้ายที่ทำตัวแบบนี้ และไม่นอนเลยน่าจะเป็นสมัยอยู่มหาลัยเมื่อสิบกว่าปีก่อน เฒ่าชะแรแก่ชราแล้วเหรอวะเนี่ย เหนื่อยชิบหาย กระดูกกระเดี้ยวช่างไม่เป็นใจ ปวดเมื่อยไปหมด

หกโมงกว่าเดินออกมาจากคอนโด พร้อมเป้ใบโต หลังตุง มองหาหมาตัวเมื่อคืน มันตื่นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ อยากขอโทษที่โดนไอ้หมียิงน้ำเย็นๆใส่ หมีรังแกหมา คิดอีกทีจะจำตัวถูกรึเปล่าก็ไม่รู้ ช่างมันเถอะ ไปวัดดีกว่า อย่างน้อยที่วัดก็มีบรรยากาศดีๆรออยู่ เดินไปขึ้นแท็กซี่พร้อมสมองมึนๆ เพื่อไปเจอไอ้ปุ้ยและไปวัดด้วยกัน

ไปถึงวัดตอนเจ็ดโมงกว่า เดินเข้าไปหาจุดเริ่มต้น เพราะไม่เคยมาที่นี่ ปุ้ยเคยไปที่อื่นมาแล้ว จึงพอจะรู้ขั้นตอนอยู่บ้าง ส่วนเราอย่างที่เล่าไปแล้วว่า เคยแต่เข้าค่ายพุทธศาสนาที่โรงเรียนที่สุรินทร์ตอนม.ต้น ถึงแม้จะอยู่ในชาติเดียวกันนี้ แต่ก็จำอะไรไม่ค่อยได้จริงๆ เราเริ่มกันที่ไปหาที่ลงทะเบียน เป็นคล้ายๆเรือนหลังเล็ก ตั้งอยู่บนน้ำ (ที่นี่ทุกอย่างอยู่บนน้ำหมด เพราะว่าโดนน้ำทะเลเซาะ จนที่ที่เป็นแผ่นดินเหลืออยู่นิดเดียว) เค้าก็ให้เรากรอกเอกสาร อยากบวชวันไหน อยากสึกวันไหน และรายละเอียดอื่นๆ แล้วก็ให้เราไปเปลี่ยนชุด

เราต้องนุ่งขาวห่มขาว และมีผ้าสะไบพาดบ่าด้วย ครั้งแรกในชีวิตเลยนะเนี่ย เราเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาจากห้องน้ำ มีป้าชีพราหมณ์ผู้เชี่ยวชาญคอยจัดการความเรียบร้อย หรืออีกนัยหนึ่งคือ คอยวิจารณ์เราอยู่ ตั้งแต่เดินออกมา
“ไม่ได้...นี่สั้นเกินไป”
เราใส่ผ้าถุง นับจากปลายตีนทีติดกับพื้นสูงขึ้นมาประมาณ 1 คืบ เค้าบอกเราว่า...สั้นเกินไป เออวะ...สงสัยมันจะไม่งามสำหรับนางชี โชว์ตาตุ่ม มันคงดูเอ็กซ์เกินไปล่ะมั้ง กูเอาลงอีกก็ได้วะ ด้วยความที่ตัวเตี้ย ไอ้ผ้าที่พับอยู่ด้านในมีเยอะ ปล่อยออกมาได้อีกเพียบ พอนุ่งใหม่เสร็จ กำลังจะยิ้ม เค้าก็บอกเราว่า

“เก็บตะเข็บด้วย” ตะเข็บ...ตะเข็บอะไรวะ
ถามเค้าว่า “ตะเข็บอะไรคะ”
เค้าบอก “ตะเข็บที่ผ้านุ่งไง”
หันไปถามไอ้ปุ้ย อ๋อ...มันคือรอยเย็บที่ทำให้ผ้าสี่เหลี่ยม แปลงร่างกลายเป็นผ้าถุงได้นั่นแหล่ะ แล้วเก็บตะเข็บหมายความว่ายังไงวะ เราหันไปถามเค้า
เค้าบอกว่า “ก็ซ่อนเก็บตะเข็บไว้ด้านในไง มันออกมาด้านนอก มันไม่สวย” สงสัยเราจะหงุดหงิดเพราะง่วงรึเปล่าวะ เราตั้งคำถามในใจว่า บทแรกของการละกิเลสก็คือ ให้เก็บตะเข็บ เพราะตะเข็บไม่สวย เหรอวะ...แต่ว่าไม่กล้าถามออกไปนะ กลัวถูกถีบตกทะเล เออ...เรามันคงเรื่องมากไปเองแหล่ะ เค้าให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะ ไม่เห็นคนอื่นเค้าจะมีปัญหาเลย ว่าแต่...กูเอาตะเข็บไว้ที่ไหนก็ได้นะ ยังคงเกาหัวหาเหตุผลโง่ๆให้ตัวเองต่อไป

หลังจากเค้าพึงพอใจในสภาพการแต่งตัวของเราทุกกระเบียดนิ้ว ความยาวผ้านุ่งเท่าตาตุ่ม ตะเข็บถูกซ่อนไว้อย่างดี งามตามที่เค้าต้องการแล้ว เค้าก็ให้เราไปรอในศาลาเพื่อรอบวชรับศีล 8 ตอนเก้าโมงเช้า เป็นศาลาใหญ่ของวัด ที่พระท่านออกปฏิบัติกิจสงฆ์ทั้งปวง สองข้างของศาลาจะมีปีก พื้นอยู่ต่ำกว่ากันเล็กน้อย ให้เป็นที่อยู่ของพวกที่มาบวชพราหมณ์ เห็นชีพราหมณ์นอนระเกะระกะ เห็นแล้วอึ้ง...คือนอนระเกะระกะจริงๆ ชีพราหมณ์ใส่ชุดขาว ใครใคร่นอนก็นอน พวกเราเข้าไปถามคนอื่นๆว่า ต้องทำไงคะ เค้าบอกว่านั่งรอแถวนี้แหล่ะ เดี๋ยวก็มีคนมาเรียกไปรับศีลเอง

เนื่องจากเป็นวันที่ 14 เมษา ญาติโยมจึงเนืองแน่นเต็มศาลา เรางงๆว่า แล้วรวมๆกันอย่างเงี้ยเหรอ คือคนที่จะบวชกับคนที่จะทำบุญ ไม่มีแยกกันให้ชัดเจนเลย อาจเพราะไม่ได้นอน บวกอากาศร้อน มันมึนๆ เลยงงๆมากกว่าที่ควรจะเป็น พวกเราเห็นคนอื่นไปเอาพานใส่ดอกไม้ธูปเทียน และซองใส่ตังค์ที่เรียกเท่ๆว่าซองถวายปัจจัย...ปัจจัยที่ไม่ได้อยู่ในปัจจัย 4 แต่อันนี้เข้าใจได้ เพราะทุกอย่างที่เรามาอยู่นี่คงไม่ได้งอกมาจากข้างฝา มันคงจะใช้ตังค์ซื้อมา พวกเราก็ไปเอามาทำให้เหมือนๆกัน

เก้าโมงครึ่ง ญาติโยมยังคงล้นหลาม หลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านคงเหนื่อยนะ รอบแล้วรอบเล่า ญาติโยมยังคงแย่งกันทำบุญ กลัวว่าจะได้บุญทีหลัง แย่งกันเข้าถึง พอรอบนี้สวดหมด รอบหน้าก็นั่งกดดันรออยู่แล้ว เราก็นั่งดูอึ้งๆ ถามในใจว่า แล้วคิวกูล่ะ นั่งดูไปตั้ง 6-7 รอบแล้ว แล้วยังไงวะ ไหนใครที่ว่าจะมานำ มีป้าพวกหนึ่งที่แกนุ่งขาวห่มขาวเหมือนเรา แกทนดูไม่ได้ แกเลยบอกว่า ถึงทีที่เราจะเลื่อนแถวคนที่จะบวช ขึ้นไปด้านหน้าบ้างแล้ว พอหมดรอบ คนที่จะบวชชีพราหมณ์ทั้งหมดก็เลยเลื่อนตัวเองขึ้นไปด้านหน้า

เราก็ขยับด้วยเหมือนกัน ขยับพร้อมความรู้สึกว่า เราก็กลัวคนอื่นจะมาแย่งบุญเราเหรอวะ มันน่าสลดตรงที่ว่า เหล่าฆราวาสก็ไม่ยอม เพราะเค้าก็พยายามแทรกตัวเองเข้าไปเหมือนกัน นุ่งขาวห่มขาวอะไรฉันก็ไม่สนหรอกเว้ย เราเริ่มถามตัวเองพร้อมความง่วงว่า ตัวเองทำอะไรอยู่ เราอยากนั่งสมาธิ และนี่คือขั้นตอนที่จำเป็นที่ต้องให้ได้มามั้ย แต่คนมันเยอะ ทำอะไรไม่ได้ ตลกมาก มีพระรูปหนึ่งออกมาตัดสินว่า คนที่จะบวชฯให้ถอยไปก่อน ให้หลวงพ่อสวดให้ฆราวาสก่อน ทั้งๆที่ทางวัดกำหนดเวลา 9 โมงเอาไว้ กำหนดไว้ทำไมวะแต่เราโล่งใจรีบถอยออกมา ไม่ต้องแย่งกันแล้ว ไม่ต้องแข่งบุญแข่งวาสนา

เราเดินถอยออกมา เหลือบมองอีกที ปรากฏว่าพวกนุ่งขาวห่มขาวไม่ยอมถอย ยังรักษาฐานที่มั่นด้านหน้าเอาไว้ ฮ้า...นี่มันอะไรกัน แล้วก็มีพระอีกรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละรูปกับตะกี๊นี้ออกมาบอกว่า โยมที่จะบวชชีพราหมณ์มารอนานแล้ว ให้ญาติโยมทั้งหลายออกไปก่อน ให้หลวงพ่อบวชให้พวกนี้ก่อน เราอึ้งกับรูปแบบการจัดการที่แสนจะประนีประนอมของพระ ที่ท่านก็ไม่รู้จะทำยังไง อ้าว...แล้วพวกเราซึ่งเดินออกมาแล้วล่ะ เราเข้าใจว่าชาวบ้านเค้าจะถอยให้เราเข้าไปก่อน แต่ผิดถนัด มีคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ยอมถอยออกมา คนไทยตั้งใจทำอะไรไม่แพ้ชาติใดในโลก เห็นกันจะๆเลย เข้าใจแล้ว...พวกเราแทรกตัวเข้าไปนั่งด้านหลังๆ ซึ่งมีฆราวาสล้อมเราอยู่

หลวงพ่อสวดและให้เรารับศีล 8 ด้วยการพูดตาม แต่ลำโพงเบามาก หลวงพ่อท่านก็เหนื่อยและแก่มากแล้ว เสียงก็เลยเบาเข้าไปอีก น่าสงสารท่าน เราฟังไม่ค่อยออกยังไม่เซ็งเท่าชาวบ้านที่นั่งล้อมอยู่ด้านซ้าย ด้านขวา และด้านหลังคุยกันเรื่องของตัวเอง 3 ด้าน ก็ 3 เรื่อง ถ้าตอนนี้เราไม่มีสีขาวหุ้มตัวอยู่ล่ะก็ มีหวังเละกันไปข้างหนึ่ง หงุดหงิดผิดปกติอยู่แล้วด้วย รับศีลมาแบบหลุดมือมาก พยายามเก็บอารมณ์ของตัวเอง แล้วทำความเข้าใจ ลองเห็นใจคนอื่นดูซิ เค้าอาจจะจำเป็นต้องคุยเล่นกัน เพราะนี่มันไม่ใช่เรื่องของเค้า ลองมองในมุมเค้า แต่งานนี้ใช้ไม่ได้ผล เพราะมองยังไง มันก็น่าตบให้เกรียนแตกกันไปเลย

เราไม่รู้แม้กระทั่งว่า ศีลที่เพิ่มมาอีก 3 ข้อคืออะไร ถวายของที่อยู่ในมือแล้วก็เดินออกมา รู้สึกว่ามาห้างสรรพสินค้าที่เค้าพากันมาช้อปปิ้งบุญ และแน่นอนเราก็ไม่ต่างจากคนอื่น เราจะอยู่ได้ยังไงวะ มันเริ่มต้นที่ความไม่สงบเลย เราเดินบ่นออกมา ก็บ่นให้ปุ้ยฟัง แต่ปุ้ยก็ไม่ใช่คนที่จะมาค้านอะไรกับระบบบุญแบบนี้ มันก็ฟังๆเรา แล้วหัวเราะแฮ่ะๆ เราไม่รู้ว่ามีน้องคนหนึ่งเดินตามมา เค้าตามมาข้างหลัง พูดหน้าตาย ใจเย็นมาก ทำเสียงนุ่มๆบอกเราว่า หลวงพ่อคงเหนื่อย ไมค์ก็ไม่ดีด้วย วันนี้วันพระ คนก็จะเยอะมาก ไม่เป็นไรหรอก  หน้าเค้านิ่งมาก เห็นแล้วตลก ด่าตัวเองว่ากูจะร้อนไปไหน

เค้าให้เราเดินไปเอาถาดอาหารในครัว เพื่อเป็นอาวุธให้เราใช้ตลอดการกินนอนอยู่ที่นี่ เราหันไปถามไอ้ปุ้ยว่า กลับกันดีกว่ามั้ย เราจะอยู่กันได้ยังไง ทุกอย่างมันไม่มีแยกเลย ถ้าเป็นอย่างงี้ 2 วัน เราจะได้บุญกลับไปจริงๆเหรอวะ ปุ้ยบอกว่ากลัวบาป เพราะรับศีลมาแล้ว เขียนในใบลงทะเบียนแล้วด้วยว่าจะลาศีล (สึก) วันที่ 16 เราก็พอจะเข้าใจน้องมัน จะดึงดันก็ใช่ที่ เพราะมึงเป็นคนขอมาเอง ไม่มีใครชวนซะหน่อย

เราเก็บรองเท้าที่หน้าโรงครัว แล้วเอาถาดหลุมประจำตัว ถือเดินออกไปข้างปีกศาลาที่มีคนนอนระเกะระกะอยู่ น้องคนเดิมตามเรามาบอกว่า เดี๋ยวเราไปนอนกันที่โรงเจกันก็ได้ ดูเค้าจะเอื้ออาทรเราดีอยู่ พักหนึ่งก็มีแม่ชีเดินถือโทรโข่งมาบอกว่า 11 โมง ให้เราเจอกันที่โรงเจ และสามารถไปนอนที่โรงเจได้ เราแบกสัมภาระเป็นเป้ใบใหญ่ใส่หลังตุง ที่ไม่ได้สีขาว เดินเท้าเปล่าไปที่โรงเจ แดดร้อน เหยียบพื้นซีเมนต์ ร้อนตีนมาก ความจริงเค้าไม่ได้ห้ามใส่รองเท้า แต่เราขี้เกียจใส่เอง ตั้งใจจะไม่ใส่ ก็เลยเอามันไปเก็บตั้งแต่แรก

โรงเจเป็นตึกที่ยังสร้างไม่เสร็จ อยู่กลางทะเล พอเห็นแล้วชอบมาก มีสะพานซีเมนต์ให้เดินผ่าน ระหว่างทางแขวนกระดิ่งใบโพธิ์ดังกรุ๊งกริ๊งๆ เต็มทางเดินไปหมด มีลมเย็นพัดตลอดเวลา เหมาะกับจิตร้อนๆของเรามาก ในโรงเจมีช่องประตูรับลม 4 ทิศ มีแต่ช่อง ขนาดประมาณ 4-5 เมตรได้ ยังไม่มีประตู เพราะสร้างยังไม่เสร็จ ลมเย็นมาก ตัดสินใจถูกเลยที่คิดจะมานอนที่นี่ บรรยากาศดีมาก

พอ 11 โมง เค้าก็ให้เราตั้งแถวก่อนกินข้าว หยิบอาวุธตัวเองไปตั้งแถว ต้องทำให้เต็มทุกแถว ยกเว้นแถวสุดท้ายที่เป็นเศษ หันหน้าเข้าหากัน ได้นั่งใกล้น้องหน้านิ่งโดยบังเอิญ ไอ้ปุ้ยกินมังสวิรัติต้องแยกไปนั่งคนละแถว ตอนนี้อากาศดี เราก็ไม่หงุดหงิดแล้ว แม่ชีให้ไปตักข้าวทีละแถว ค่อยๆทำ เสร็จแล้วมานั่งสมาธิ สวดมนต์ก่อนกินข้าว ชอบนั่งสมาธิในบรรยากาศเย็นๆ ถือว่าจิตนิ่งมาก เมื่อเทียบกับตัวตนปกติ

เรากินข้าวเร็วและหมดเกลี้ยง แล้วก็เอาถาดไปล้างเอง เอามาเก็บไว้ใกล้ๆเป้ เพื่อใช้วันพรุ่งนี้อีก อยู่ที่นี่ต้องกินแค่ 2 มื้อ 7 โมงเช้า และ 11 โมง หลังจากเที่ยงก็กินได้แต่น้ำกับนม ดีใจที่ได้หัดอดอาหารเย็นไปโดยปริยาย แม่ชีบอกว่า ที่นี่จะไม่มีคนพาปฏิบัติอะไรทั้งนั้น นอกจากสวดมนต์และเดินจงกรมในตอนทำวัตรเช้าตี 4 และทำวัตรเย็น ตอน 4 โมงเย็น นอกนั้นเราต้องควบคุมตัวเองเอาเอง ตอนแรกแอบผิดหวังอยู่นิดหน่อย แต่คิดไปคิดมาก็ดีนะ อยากนั่งก็นั่งเอง บรรยากาศก็เหมาะแล้ว ถ้าโดนบังคับเราก็ไม่ชอบอยู่ดีแหล่ะ

กินข้าวเสร็จมานั่งรับลมข้างช่องประตู สงสัยรับมากไปหน่อย หัวก็เลยส่ายโงนเงน บอกไอ้ปุ้ยว่า พี่ไม่ไหวแล้วนะ ขอลาไปเฝ้าพระอินทร์ก่อน ว่าแล้ว ก็เอาหัวปักเป้ตัวเอง และหลับแน่นิ่งไป ตื่นมาอีกทีเกือบบ่ายสาม หายเพลียไปเยอะเลย เจอไอ้ปุ้ยนั่งคุยกับน้องหน้านิ่งอยู่ เออ...เค้าก็คุยได้เหมือนคนธรรมดานี่แหล่ะ เค้าเป็นพยาบาลอยู่โรงพยาบาลเอกชนใหญ่โตย่านบางนา เค้าบอกว่า เจอมาเยอะ ลูกค้าโรงพยาบาลส่วนใหญ่ก็เป็นคนมีตังค์ มาพร้อมกับความเรื่องมากทั้งนั้น ต่อให้โกรธขนาดไหน หน้าเค้าก็จะนิ่งและอมยิ้มอยู่เสมอ ว่าแล้วเค้าก็ทำให้ดู เหมือนได้ฝึกตนอย่างสม่ำเสมอ ถือว่าเนียนมาก เราก็เลยอธิบายให้เค้าเข้าใจ...(พูดง่ายๆว่า แก้ตัวนั่นเอง) ว่าทำไมเมื่อเช้าเราถึงโกรธ เรารู้สึกว่าทุกคนหิวบุญ ไม่มีใครยอมใคร ไม่สนใจว่าใครจะเป็นยังไง เรื่องของฉันต้องมาก่อน เห็นแล้วหงุดหงิดมาก เพราะวัดในความรู้สึกเรา มันเป็นเหมือนที่แบ่งปันเอื้อเฟื้อ ต้องมาแล้วทำให้เราเย็นลง ไม่ใช่ร้อนขึ้น ทำบุญเพื่อติดสินบน ว่าตายห่าแล้วจะได้ไปสวรรค์แน่นอนน่ะ มันไร้สาระสิ้นดี

เราล้างหน้าเอาน้ำมันพรายออก เค้าห้ามทาแป้ง ทาเครื่องหอมอะไรทั้งนั้น ก็เลยมีหน้าที่มันเงาตลอดเวลา หัวฟูไม่เกรงใจผู้พบเห็นคนไหนทั้งสิ้น แล้วก็ไปนั่งรอทำวัตรเย็น หนังสือสวดมนต์เล่มหนาเตอะ บทสวดมนต์ที่เราไม่รู้จักมากมาย เป็นการเปิดโลกทัศน์หนึ่งอย่าง คือถ้าไม่ตั้งใจจริง ยังไงมึงก็อ่านผิดแน่ เมื่อยทั้งมือที่นั่งพนม และขาที่พลิกไปทางไหนก็ชาไปหมด ในที่สุดตัดสินใจนั่งขัดสมาธิ หาข้ออ้างให้ตัวเองว่า ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจวะ

ตอนที่ใจมันเย็นไม่ร้อนนี่ดีมากนะ อ่านอะไรก็อ่านถูกหมดเลย อยากตบมือให้ตัวเอง พอเผลอคิดว่า เออ...กูสวดถูกได้ไงวะ เราก็จะเริ่มสวดผิดทันที มีช็อตหนึ่งลุกออกไปฉี่ พอกลับมา มองไปในทะเล เห็นพระอาทิตย์ตก ดวงใหญ่เบ้อเริ่มกลมดิ๊ก สีแดงสวยไม่แสบตา ตกลงระหว่างป่าชายเลนและทะเล ธรรมะมันต้องสวยอย่างงี้ งดงามอย่างงี้ ธรรมชาติมันก็บอกอยู่ ใจจริงไม่ค่อยชอบสวดมนต์นะ คือรู้สึกดีแค่ระยะหนึ่ง สวดสองชั่วโมงนี่เยอะไปสำหรับเรา เพราะมันเข้าไม่ถึง อยากนั่งสมาธิ นั่งคิด รับสัมผัสจากธรรมชาติ อย่างทางสายเซน...ที่พอจะบรรลุก็บรรลุซะอย่างงั้น รู้แล้ว เห็นแล้ว เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว อ้อ...มันเป็นเช่นนั้นเอง รู้แจ้ง...ที่ทางเซนเค้าเรียกว่า ซาโตริน่ะ รู้สึกชอบจริงๆ ดูเป็นธรรมชาติมาก ดูเป็นปราชญ์ด้วย ขบคิดแล้วก็บรรลุ แม้จะรู้อยู่ว่าการสวดมนต์นำมาซึ่งสมาธิเหมือนกัน แต่เหมือนโดนบังคับก็เลยรู้สึกไม่ซึมซับอย่างที่ควรจะเป็น เหมือนยิ่งอยากได้ ก็จะยิ่งไม่ได้ หรือว่าพระเซนท่านก็สวดมนต์เยอะๆเหมือนกันนะ ก่อนจะแตกฉาน อันนี้ไม่เคยเจอกับตัว เลยไม่แน่ใจ ไม่เคยศึกษาอย่างจริงจังด้วย...

เมื่อสวดมนต์จนขาแข็ง ตาตุ่มขึ้นตาปลาแล้ว เราก็ได้รับคำสั่งให้ลุกมาเดินจงกรมบ้าง เป็นการเดินจงกรมที่ชอบมาก เราต้องเดินผ่านสะพานเข้าไปอ้อมโบสถ์ในทะเล เราก็ฝึกสติของเราเอง เดินช้าๆ ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ กำหนดสติให้รู้ว่าทำอะไรอยู่ อากาศตอนค่ำ ลมเย็นมาก เสียงกระดิ่งใบโพธิ์ที่แขวนตามสองข้างทางสะพาน ยังคงดังกรุ๊งกริ๊งๆๆ แข่งกับเสียงลมไปตลอดทาง เป็นตัวแปรที่ส่งให้ใจสงบพบความสบายดีมาก ถ้าให้เดินอย่างนี้เป็นชั่วโมงหรือหลายชั่วโมงก็คิดว่าทำได้แน่ เหมือนกับว่าจิตมันมาจ่ออยู่ที่จิต ยิ้มในหัวใจกันไปเลย สงสัยว่าคนอื่นเค้าคิดยังไงกัน แต่ไม่กล้าถามใคร เพราะดูว่าเป็นการไม่สำรวม แล้วเค้าจะว่าเราคิดไม่ดี (กับเรื่องสวดมนต์) จริงๆคนเราก็จะมีที่ชอบที่ชอบใช่มั้ย ก็เป็นธรรมดานะที่จะมีอะไรที่ไม่ชอบด้วย จะมาบอกว่าละแล้วอะไรกัน ขนาดตะเข็บยังทนดูไม่ได้เล้ย ในขณะที่เราไม่เดือดร้อนซะหน่อย...

พอกลับจากเดินจงกรม เค้าต้องมีกรวดน้ำต่อ แต่เราไม่เน้น ข้ออ้างที่ว่า “ทุกอย่างอยู่ที่ใจ” ใช้ได้เสมอสำหรับเรา แต่ที่ต้องมาตามหาอะไรบางอย่าง ก็เป็นเพราะมันหายไปจากใจเรานี่แหล่ะ พอเราสรุปได้ว่าเราไม่เน้นกิจกรรมช่วงหลัง เราก็ชิ่งไปอาบน้ำก่อนแต่เนิ่นๆ ทุกคนอยากได้บุญครบตามหลักสูตร แต่ห้องน้ำที่มีไม่กี่ห้อง ต้องรองรับผู้คนหลายร้อย คงลำบากมากกว่าที่เราต้องมารอต่อคิวยาวเหยียด ใจเราอาจไม่สะอาดขาวจั๊ว แต่ร่างกายเรานี่สะอาดตัวเบา พลิ้วไหวเลยทีเดียว ล้างเหงื่อไคลเหนียวเหนอะหนะ ผลพวงที่ได้มาจากลมทะเลเย็นๆแสนสุขใจของเราได้เป็นอย่างดี

เมื่อตัวเบาแล้ว เราก็เอาเป้มาหาทำเลนอน แถวสองจากช่องประตู เพราะแถวแรกต้องนอนหันหัวออกจากโบสถ์ แต่ที่ที่เรานอนคือต้องเอาขาชนกับเค้า มองโบสถ์ตอนกลางคืนได้พอดี ลมก็พัดเย็นสบาย นั่งสมาธิก่อนนอน เหมือนลมพัดเข้าไปในใจด้วย เราล้มตัวลงนอน ตื่นมากลางดึกหลายครั้ง เป็นการตื่นที่ต้องการหลับแล้วตื่นขึ้นมาบ่อยๆ เพราะพอลืมตามา ก็เจอโบสถ์ที่อยู่ห่างไกลออกไป (มันไม่ได้งดงามมากในเวลากลางวัน เพราะว่าคงได้ช่างฝีมือที่ไม่เก่งมากเท่าที่ควร หรือว่าเงินไม่ถึงก็ไม่รู้) ในเวลากลางคืนอย่างนี้ สีทองสีเงินที่ตัวโบสถ์มันสะท้อนระยิบระยับแต่พองาม มีดาวอยู่บนฟ้ารอบๆโบสถ์ สวยมาก ไม่รู้จะบอกว่าเป็นสุขเท่าไหร่ มันช่างกิโลให้ดูไม่ได้ อยากหลับแล้วตื่นบ่อยๆ เหมือนฝัน เห็นโบสถ์ เห็นดาว เห็นท้องฟ้ารอบๆ เหมือนเลนส์กล้องเทพๆ เจอภาพที่มีองค์ประกอบดีๆ แต่ตาดิจิตอลของเรามันถ่ายเก็บไม่ได้อย่างนั้น ก็เลยอยากหลับแล้วตื่นบ่อยๆแทน

ที่นี่มีไอเดียที่ดีมาก หลวงพ่อ (เราน่าจะเรียกหลวงปู่มากกว่า ท่านแก่มากแล้ว) เจ้าอาวาสท่านเป็นนักพัฒนา จากวัดที่ไม่มีใครมอง ที่ดินก็โดนน้ำทะเลรุกราน แทบไม่เหลือที่ดิน ท่านเลยสร้างทุกอย่างมันในทะเลซะเลย เพราะมันก็คือที่ของวัดนั่นแหล่ะ ท่านทำจนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่กลางทะเลมีรูปปั้นยักษ์ผีเสื้อสมุทร พระอภัยมณี สินสมุทร ฤาษี นางเงือก อยู่ข้างๆโรงเจนี่แหล่ะ แต่ด้วยเหตุผลเดียวกับโบสถ์รึเปล่าไม่รู้เลยทำให้ได้รูปปั้นที่ไม่ค่อยสวย ไม่ค่อยเก็บรายละเอียด ได้เฉพาะความใหญ่ หรือว่ามันเป็นแอ๊ปสแตร็กซ์แล้วเรามองไม่ออกเองก็ไม่รู้ แล้วก็เพราะน้ำทะเลที่นี่เป็นสีโคลนด้วย ก็เลยไม่งามเท่าไหร่ ถ้าพวกนี้ไปตั้งอยู่ที่สิมิลันล่ะก็ ไม่อยากจะคิดเลย ฝรั่งอาจจะปากอ้าตาค้างไปเลยก็ได้ แต่เท่าที่เป็นอยู่นี้ คนก็มาเที่ยวกันเยอะแยะแล้วล่ะ

ตอนเช้าเราตื่นมาตีสามกว่า ล้างหน้ามันๆออกหนึ่งปื้ด แล้วไปทำวัตรเช้า เริ่มสวดมนต์ตั้งแต่ตีสี่ ขาก็เริ่มชาตามระเบียบ พลิกไปพลิกมาบ่อยเท่าที่จะทำได้ ตีห้ากว่าก็ได้ลุกไปเดินจงกรม ถูกจริตกับการเดินจงกรมอย่างมาก อากาศเย็นๆตอนเช้า ลมทะเลก็เย็น เสียงกระดิ่งใบโพธิ์ยังคงดังอยู่ตลอดทางเดิน ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอไปเรื่อยๆ ไม่ได้อยู่กับสติดีๆแบบนี้มานานมากๆ แล้ว พอเดินอ้อมโบสถ์แล้วก็ยัง ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนออยู่ จนกระทั่ง โอ๊ะ...โอ...ปวดท้องหนอ ปวดขี้หนอ ปั่นป่วนแล้วหนอ ไปขี้ดีกว่าหนอ ไม่ไหวแล้วหนอ เลี้ยวหนอ รีบๆดีกว่าหนอ ห้องน้ำอยู่เบื้องหน้าหนอ ขี้เสร็จแล้วสบายจริงหนอ ไม่ต้องแย่งห้องน้ำใครด้วยนะหนอ ก็เลยไม่ได้กวดน้ำตามระเบียบหนอ

ออกมาจากห้องน้ำ กำลังจะเดินกลับไปที่ศาลา ระหว่างทางเดิน แลซ้าย พระอาทิตย์กำลังขึ้น ดวงใหญ่เท่าวา สีแดงสวยไม่จ้าตา ถ้าสีแดงในประเทศเราสวยและไม่จ้าตาอย่างนี้คงดี เปลี่ยนใจไม่เดินไปศาลาแล้ว นั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ดีกว่า หลังจากเพิ่งปลดทุกข์มาด้วย ถือว่าจิตเป็นสุขมาก

ตอน 7 โมง พบว่าตัวเองหิวข้าวสุดๆไปเลย ดีใจมากที่จะได้กินข้าว รีบทำตัวดีๆต่อแถวถือถาดรอรับอาหาร ปรากฏว่าแม่ชีใจดี อยากสอนโยคะและธรรมะเพิ่มเติม ตกใจเกือบทำถาดร่วง เราต้องวางถาดมาเล่นโยคะก่อน สอนถึงแปดโมง โอย...ใจจะขาด เลยกินข้าวซะเกลี้ยงทุกเม็ด แถมกับข้าวก็เอามาเยอะด้วย กินไม่เหลือ ไปล้างถาดเก็บ เข้าโหมดนั่งสมาธิของตัวเองได้ซักพัก แล้วก็เปลี่ยนโหมดเป็นนอนสมาธิ แล้วก็เปลี่ยนโหมดเป็นหลับสนิทตามลำดับ เพื่อหลีกทางให้กระเพาะทำงานอย่างเต็มที่ แหม...เกรงใจจัง

ไม่ทันไร 11 โมง ได้เวลากินข้าวอีกแล้ว ตอนนี้ตักข้าวเหมือนเอามาดม เพราะมันจะถี่เกินไปแล้ว กินเสร็จก็ล้างถาด แล้วไปนั่งสมาธิ แล้วก็เข้าเฝ้าพระอินทร์อีกหนึ่งรอบ ตื่นมาก็ล้างหน้าแล้วก็อาบน้ำ (แทนการอาบตอนเช้า) คนไม่นิยมอาบตอนนี้ เราเลยสามารถอาบได้ ไปทำวัตรเย็น วันนี้ออกมานั่งในทำเลที่เล็งว่าพระอาทิตย์จะตก จะได้ดูไปด้วย แต่กลับมีเมฆหนาซะอย่างงั้น ไม่เห็นอะไร นอกจากท้องฟ้าทะมึน จิตใจหม่นลงนิดหน่อย ไม่เห็นอาทิตย์ตก แต่ได้เจอยุงเป็นอภินันทนาการจากธรรมชาติแทน ตอมเป็นตอมควายเลยนะมึง ตบก็ไม่ได้ เพราะถือศีลอยู่ ก็ต้องหนีเข้าไปนั่งในโซนสว่าง มีพัดลม ด้วยความที่เป็นประเพณีอะไรซักอย่างของวัดที่วันนี้จะต้องสวดบังสุกุลให้ญาติผู้ล่วงลับ ก็เลยอดเดินจงกรมที่แสนจะชอบ ว้า...

พระท่านให้ทุกคนเขียนชื่อญาติผู้ล่วงลับใส่กระดาษ แล้วท่านจะทำพิธีล้อมสายสิญจน์กรวดน้ำ สวดมนต์ให้ เป็นการแผ่ส่วนบุญส่วนกุศล เราได้แต่นึกเอาในใจ เพราะไม่อยากไปต่อคิวเขียน ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านมีจริง อะไรดีๆที่เราทำก็น่าจะส่งผลถึงผู้ล่วงลับได้อย่างไม่ยากลำบากอะไร ปู่ย่าตายายเราน่าจะเข้าใจเจตนาเราได้ เราไม่รู้หรอกว่าคิดอย่างนี้มันบาปมั้ย แต่คิดอย่างงี้แหล่ะ เหมือนกับเวลาที่เราไหว้พระ ถ้าเลี่ยงได้ เราจะไม่จุดธูปจุดเทียน เราไม่เชื่อว่าธูปเทียนจะเป็นสื่อที่ทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มองเห็นหรือเข้าใจความเคารพของเราได้ ถ้าเรายกมือไหว้ด้วยความเคารพที่มาจากในใจจริงๆ ท่านน่าจะมองเห็นนะ...คิดเข้าข้างตัวเองจริงๆ ถ้าพ่อแม่รู้ว่าลูกตัวเองคิดอย่างงี้ล่ะก็ เราคงโดนตบกระโหลกร้าวตั้งแต่เด็กแล้ว

ก่อนที่พิธีจะเสร็จสิ้น เราก็ชิ่งไปอาบน้ำก่อนเหมือนเดิม เพราะว่าไม่อยากจะเหนียวตัวมากๆก่อนนอน คืนนี้หวังไว้ว่าจะได้เห็นนิมิตงามๆเหมือนเมื่อคืนอีก ก็หลับลงไปอย่างมีความหวัง ตกดึก ปรากฏว่าลมพัดแรง หนาวชิบเป๋ง ไม่มีความสวยงามของโบสถ์ให้นึกถึงอีกต่อไป ถึงกับทนอยู่ไม่ได้ ต้องลากเป้ไปนอนข้างกำแพง ที่น่าจะอบอุ่นกว่าเดิม ธรรมชาติสอนให้รู้ว่าไม่มีอะไรแน่นอน อย่าฝันหวานไปเลย วันนี้โรงเจค่อนข้างว่าง เพราะผู้คนลาศีล (สึก) ออกไปหมดแล้ว เราก็เลยนอนไหนก็ได้ตามอัธยาศัย เพื่อจะตื่นเช้ามาทำวัตรและสึกออกไปบ้างเหมือนกัน

เช้ามาก็ตื่นเกือบตีสี่ ล้างหน้า ไม่อาบน้ำแล้ว เก็บไปอาบที่บ้านเลย ไปสวดมนต์แสนนาน เดินจงกรมที่ชอบครั้งสุดท้าย  เข้าไปไหว้พระในโบสถ์ มองเห็นพระพุทธรูปแค่สลัวๆเพราะมืดมาก ขอให้ตัวเองมีสติที่จะคิดดีทำดี อย่าหลงผิด ถ้าทำดี ก็ขอให้ได้ดีในที่สุด ขอให้พระคุ้มครองคนในครอบครัว อย่ามีทุกข์ร้ายแรงที่เราหาทางออกไม่ได้ ขอให้เมื่อมีปัญหาก็มีปัญญาแก้ทุกครั้ง ขอเท่านี้แหล่ะ เยอะมากเดี๋ยวพระท่านจะเหนื่อย นี่เป็นแพทเทิ่ร์นในการขอพรพระทุกๆครั้งของเราอยู่แล้ว

วันนี้ไม่มีพระอาทิตย์ขึ้นให้ดู เจอเมฆบังอีกแล้ว ลาสึกตอนเช้ามีพิธีมากมาย แต่เรารับถึงแค่ตอนลาศีลสึก ทุกอย่างเกือบจะดีแล้วเชียว มาตกม้าตายตอนที่ไปเจอป้าพราหมณ์ที่นำสวดเข้า น่าจะเป็นคนเดียวกับที่เห็นว่าตะเข็บไม่สวยด้วย แกบอกว่าให้เข้าแถวถวายพานธูปเทียนดอกไม้ และปัจจัยใส่ซอง เราเห็นเลยว่าแถวหนึ่งมันสั้น เราเลยไปต่อ อยู่ๆซ้ายมือเราเค้าก็ตั้งแถวใหม่ มาทีหลังแน่ๆ ไม่แทรก แต่เพิ่มขึ้นมาทางซ้าย

ป้าพราหมณ์พยายามประกาศออกไมค์ว่าแถวที่เราต่ออยู่เป็นแถวแทรก คือเป็นส่วนเกินที่มาทีหลัง ช่วยไปต่อแถวด้านซ้ายด้วย พอไม่มีใครออกจากแถว ป้าแกก็เลยเริ่มประจานออกไมค์ ว่าพวกเราไม่เป็นระเบียบ แล้วสังคมจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าทุกคนก็ต่างจ้องจะเอา โดยคิดเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว อยากจะบอกว่า ขนาดตะเข็บชายผ้า ป้ายังละไม่ได้เลย สวดมนต์เก่งมาทั้งชาติมันก็เท่านั้นแหล่ะป้าเอ๋ย และป้าก็ไม่ได้แหกตาดูเลยว่างานนี้ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน ป้ากระแนะกระแหนออกไมค์ระยะยาว เมื่อไม่มีใครถอยจริงๆแล้ว ป้าจึงบอกแถวทางซ้ายมือว่า ให้ทำตัวเป็นผู้เสียสละซะ ในเมื่อเค้าไม่ยอม ก็ต้องมีคนถอย เพื่อทำให้สังคมสงบสุข ประหนึ่งแถวทางซ้ายเป็นผู้เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม เสียสละให้แถวเราได้ไปก่อน โอย...เซ็งป้าตะเข็บขึ้นมาในทันใด

พอเสร็จแล้วก็ออกมานั่งรอที่พื้นที่ว่างๆรอบๆนั่นแหล่ะ เรานั่งกอดเข่า เพราะเซ็งกับที่โดนด่าฟรีมาตะกี๊นี้ นั่งอยู่ดีๆ มีป้าคนหนึ่งมาตีขาเรา เราหันไปงงๆ ป้าคนนั้นและอีกสองคนที่นั่งข้างๆทำหน้าเสมือนเป็นญาติผู้ใหญ่เราปลอมตัวมา ดุเราอีกว่า “ลาศีลแล้ว ห้ามนั่งกอดเข่าสิ นั่งให้มันดีๆ” กูอยากรู้ว่า ใครมันบัญญัติไว้วะ อยากจะบ้า แทนที่จะมาดูกันว่า จิตใจเราดีขึ้นมั้ย นี่คือสิ่งที่เราได้จากการเข้าวัดหรือนี่ รีบเถียงออกไปในทันใด “ค่ะ” เซ็งหนักกว่าเก่า เปลี่ยนเป็นนั่งขัดสมาธิ ดูซิ...จะกล้าดุกูอีกมั้ย ถ้าเดาไม่ผิด แกคงจะนั่งซุบซิบนินทาเราต่อแน่ๆ เฮ้อ...

พอไอ้ปุ้ยออกมาสมทบแล้ว เราก็ไม่รอพิธีอะไรต่อทั้งนั้น ต้องรีบจากไป as soon as possible ไปเปลี่ยนชุด แปลงร่างกลับมาเป็นคนปกติ เข้าไปไหว้พระที่เจดีย์กลางทะเลส่งท้าย อธิษฐานขออะไรบางอย่างที่พลาดไปแล้ว แล้วแบกเป้เดินคอตกออกมา ผ่านศาลาทำพิธีอีกหนึ่งรอบ พิธียังไม่เสร็จสิ้น มีการแจกของดีไว้คุ้มครองกายและใจ น่าจะเป็นพระนั่นแหล่ะ ปุ้ยบ่นว่า “อดได้ของดีเลย” เราบอกมันไปว่า “ของดีน่ะ มันอยู่ที่ใจนะ” มนุษย์ฝ่ายค้านคนเดิมกลับมาแล้ว...Welcome to my world!

มีป้าคนหนึ่งจะให้เราติดรถออกมาด้วย แต่เราขี้เกียจรอแก เลยไปถามหารถรับจ้าง มีมอเตอร์ไซด์สกายแล็ป (เป็นมอไซด์ ที่เอามาต่อด้านข้าง ทำให้มีที่นั่งเพิ่มขึ้น) ถ้าเป็นแบบในหนังสงครามจะเท่มาก แต่อันนี้เป็นมอเตอร์ไซด์เก่าๆ คนขับเป็นลุงแก่ๆ มีรอยสักที่ลำแขน เป็นรูปผู้หญิงสาวผมยาว มีไฝอันเบ้อเร่อที่มุมปาก เราจะถามว่าแกสักรูปเมียน้อยไว้เหรอ ก็ไม่กล้า แต่มันไม่ค่อยเหมือนรอยสักเท่าไหร่ มันเหมือนเด็กเอาปากกาเมจิกมาวาดมากกว่า ดูแล้วตลกดี ดูแกจะเป็นคนฮาๆด้วย แก่ๆยิ้มฟันหลอ ให้แกไปส่งที่ตลาดคลองด่าน ซึ่งไกลจากที่นี่หลายกิโล แกบอกขอแวะบ้านไปเอาหมวกกันน็อคก่อน กันเองจริงๆ เราก็แซวแกเรื่องหวยเรื่องอะไรไป

พอไปถึงบ้านแก ที่บ้านเค้าตะโกนบอกแกว่าให้มาถ่ายงูใส่กระสอบให้ก่อน แกตะโกนตอบว่า “ถ่ายเองสิวะ จะไปส่งคนที่ตลาด” เรามองเข้าไปในถุงตาข่าย มีงูมันเลื่อมตัวอย่างใหญ่นอนขดอยู่ รู้สึกขนลุก เราตะโกนถามเค้าว่า “งูอะไรคะ” เค้าบอกอย่างสนิทสนม “อ๋อ..ไอ้เห่าน่ะ” ทำท่าเหมือนธรรมดา จับกันประจำ อย่างกับเจอจิ้งจก ดูจิ๊บๆ ง่ายๆของกล้วยๆ ไม่กลัวอะไรกันเลย แต่เราแค่เห็นก็...บรึ๋ยยยย...ขนลุก...(ถึงว่าไม่มีคู่ เพราะกลัวงูนี่เอง)...หึหึหึ...

แล้วโลกโลกุตตระของเราก็จบลง ได้ตะกอนบาปมาเป็นของแถมเล็กน้อย ด้วยประการฉะนี้แล...

ปล.ถึงผู้ที่อ่านมาถึงตรงนี้อย่างตั้งใจ:
สิ่งไหนที่เป็นทัศนคติส่วนตัวของผู้เขียนที่เห็นว่าไม่ดี ก็โปรดอย่าทำเทียมและเลียนแบบ เพราะถึงจะคิดอย่างงี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะดูถูกความคิดของคนอื่นแต่อย่างใด เราก็โตๆกันแล้ว โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านให้ถ้วนถี่...อัตตาหิ อัตตโน นาโถ...ตัวใครตัวมัน...

It’s me…
Where is my way?
19 เมษายน 2555





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น