ครั้งนี้หายไปสามเกือบอาทิตย์ เพราะว่าดันเจอสภาวะไม่ปกติของชีวิตเข้า ชีวิตที่เฉื่อยชา ไม่หือไม่อือมาระยะใหญ่ วันดีคืนดี ก็มีคนจาก Recruitment โทร.มาถามว่าสนใจงานที่เค้าเสนอให้มั้ย ลองสัมภาษณ์ดูเอารึเปล่า ไม่ได้กะจะเล่นตัวหรืออะไร แต่ไม่อยากจะตั้งความหวัง สร้างโอกาสในการทำร้ายตัวเองตอนผิดหวังมากไปกว่าที่เคยเป็น สถานะนี้ ถ้าพูดเป็นภาษาง่ายๆก็คือ “ขี้แพ้” นั่นเอง ไม่อยากจะว่าตัวเองอย่างงี้เลย แต่ต้องอธิบายตามเนื้อผ้านะ ต้องเป็นกลางแม้กับตัวเอง (ดูช่างเป็นคนยุติธรรมไม่น้อย) ยอมแพ้ เพราะไม่อยากสู้ ไม่อยากแข่งขัน ตะเกียกตะกายอะไรทั้งนั้น อยู่อย่างงี้ก็ไม่เป็นไรแล้ว
พอเค้าโทร.มาถาม ตอนแรกก็ไม่ใส่ใจ แต่ด้วยความชอบแส่ที่มีอยู่อย่างเปี่ยมล้น ก็เลยถามเค้าไปว่า บริษัทอะไร ที่ไหน ได้ความตามท้องเรื่องมาว่าเป็นบริษัทอิตาลี มาเปิดตลาดใหม่เอี่ยมในเมืองไทย อยากรับ Quality Engineer ทำงานที่บริษัทลูกค้า ซึ่งเป็นรถยนต์ค่ายพี่บิ๊กที่นี่แหล่ะ กิเลสในตัวเรามีอยู่ไม่กี่อย่าง รัก โลภ โกรธ หลง มันเกาะกินเราอยู่ ในกรณีนี้ ความโลภและความหลงมาจูงมือเราไปต่อหน้าต่อตา
ความหลงเดินมาหา : พอบอกว่าเป็นอิตาลี โอย...นักบอลที่เราหลงไหลได้ปลื้มตั้งแต่ม.ปลาย ก็ลอยมาเกาะลูกกะตาปิ๊งๆเต็มไปหมด เรากินพิซซ่า เราเรียนรู้เรื่องของประเทศนี้ ผ่านคำบอกเล่าและหนังสือเยอะแยะตาแป๊ะไก่ หนังเรื่องที่มันยังจิกใจเราอยู่จนทุกวันนี้เรื่องหนึ่งก็คือ Life is beautiful เป็นหนังดีมากของอิตาลี ให้ความงดงามในใจมากที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่ในชีวิตเคยดูมา เป็นหนังดีที่ไม่กล้าดูรอบสอง เพราะร้องไห้น้ำตาไหลพรากๆ แถมอีกเรื่องซึ่งไม่เกี่ยวกันเลยก็คือ เวลามีใครมาทักเรื่องปมด้อยในเนื้อคู่ระบบปากหมาอัตโนมัติมักจะโต้กลับไปว่า “เนื้อคู่กูอยู่อิตาลี เราแค่ยังไม่เจอกันเท่านั้นเอง” “ถ้ากูแต่งงานเนี่ย...ที่อิตาลีนะ มึงจะไปเหรอ” เรื่องนี้พูดบ่อยนะ เพราะมันมีคนชอบมาตอกย้ำบ่อยนั่นเอง เราหลงเสน่ห์ประเทศนี้แหล่ะ....แน่นอนที่สุด....
ความโลภไม่ยอมแพ้ (ตามมาซ้ำอย่างไม่ปราณี) : สิ่งดีที่อยู่ในตัว...เรื่องงานที่ถนัด ทักษะที่ทำได้ ความท้าทายของงาน คะแนนพุ่งสูงพรวดพราดเลยทีเดียว สั่งตัวเองในทันใด ว่ามึงมันเหมาะกับงานนี้แหล่ะ รับเค้าเข้ามาในดวงใจตั้งแต่ยังไม่พบปะกันด้วยซ้ำ
หลังจากโดนกิเลสสองตัวใหญ่เข้าครอบงำวิญญาณแล้ว เลยบอก Recruitment ไปว่า “น่าสนใจค่ะ” จากนั้นขั้นตอนการสรรหา (ของเค้า) ก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อสามอาทิตย์ก่อน ด้วยการให้เรา Skype คุยกับคนอิตาลีที่อิตาลี เป็น Manager 2 คน ฝ่ายบุคคลและฝ่ายคุณภาพ
ณ ตอนนั้น อากาศรอบข้างเป็นยังไงไม่รู้ แต่ร่างกาย มือไม้มันสั่นไปหมด เสียงก็สั่นเป็นเพื่อนกันด้วย เหมือนองค์ลง แต่ไม่มีใครมาขอหวย ไม่เข้าใจเลยว่า เวลาเราเดินไปพูดซื้อส้มแม่ค้าในตลาด ทำไมเราไม่เคยสั่น วิแคะออกมาได้ความว่า เราคงไม่เคยตั้งความหวังล่ะมั้ง ว่าเราจะได้ส้มที่ดีที่สุดจากส้มทั้งหมดที่แม่ค้ามีอยู่ ถ้าเราลองตั้งความหวัง เราอาจจะสั่นก็ได้...มั้ยฮึ
ภาษาอังกฤษที่มีอยู่ เวลาเขียนมันก็พอจะเรียงกันมารู้เรื่องได้นะ แต่พอนึกด้วย พูดด้วย สั่นด้วยนี่ เอ๊ะยังไง ดูว่า...ความรู้ ทักษะ ความมั่นใจ ทุกอย่างพากันทอดทิ้งเรา บินหนีออกจากหัวเราไปหมด เหลือไว้แค่คำสอนเดียวของคริสโตเฟอร์ ไรท์ คือ ออกไปเป็นคำๆ ที่เหลือมึงนั่งฟังกูเฉยๆ ว่างๆอยู่ ก็กรุณาทำหน้าที่ เอาไปบวก ไปเรียงกันเอาเองแล้วกันวะ อันไหนที่กูเว้นช่องว่างไว้ให้ ก็กรุณาเติมคำในช่องว่างให้ด้วย คนละ 50-50 ชีวิตต้องแบ่งปัน
มันมีคำถามหนึ่งอย่างที่เค้าถามว่า ทำไมถึงสนใจบริษัทเค้า เพราะเค้ามีชื่อเสียง หรือเพราะผลิตภัณฑ์ บอกเค้าไปว่าไม่ใช่เลย แค่เพราะว่าเค้าเป็นบริษัทอิตาลี ที่เราเคยได้ยินตั้งแต่เด็ก เราชอบประเทศนี้ เราคิดว่ามันสวยและมีเสน่ห์...(แน่นอน...ที่พูดไปทั้งหมดย่อมไม่ลื่นไหลอย่างที่เขียน แต่ถ้าเค้าตีความได้ถูกต้อง มันจะได้ใจความตามนี้แน่ๆ) เค้าถามเราเรื่องรถยนต์ ว่ารู้จักและเข้าใจเครื่องยนต์มั้ย เราตอบกลับไปอย่างไม่ถนอมน้ำใจ บอกว่าไม่รู้อะไรเลย แต่ถ้าเค้าสอน เราคิดว่ามันไม่ยากนะ...ก็ว่าไป๊....คุยกันนานเลย เพราะเค้าต้องรอเราพูดซะเยอะ ก็กว่าเราจะเอาคำมาต่อกันเสร็จ ยิ่งพูดยิ่งเกรงใจคนฟัง
เมื่อจบการสัมภาษณ์ เราเอาภูเขาออกจากอก 1 ลูก อุณหภูมิตามผิวหนังร้อนฉ่า หน้าแดง คอตก ถ้ามีหาง หางคงจะตกด้วยแน่ โทร.หา Recruitment ทันที เพื่อรายงานผลความพินาศย่อยยับของตัวเอง และขอโทษที่ทำให้เค้าเสียเวล่ำเวลาไปด้วย ถึงเราจะทำผิดพลาด แต่เราก็ไม่ควรสะบัดตูดหนีไปหน้าตาเฉย กระทำสิ่งสุดท้ายเพื่อแสดงความรับผิดชอบจะดีกว่า
ความเศร้าตามหลอกหลอนเป็นช่วงๆ ทำให้จิตตก อาทิตย์ถัดมาได้หายจากอาการนั้นแล้ว อยู่ๆ คุณคนเดิมโทร.มาบอกว่าเราผ่านสัมภาษณ์นะ เสือกรับโทรศัพท์ตอนนั่งขี้ เจ้ากรรม...จะดีใจยังไงดีวะ ต้องอั้น (บางอย่าง) ไว้ชั่วขณะ เพราะไม่อยากให้เค้าต้องเดาว่าเสียงชักโครกที่เรากดมันเป็นเสียงของอะไร รีบขอบคุณเค้า พอขี้เสร็จเดินดีใจงงๆออกมาจากส้วม ผ่านจริงๆเหรอวะ...เค้าถามเราด้วยว่า มี Engineer จะสัมภาษณ์เราต่อ เค้าให้เบอร์โทร.เราได้ใช่มั้ย...จะเอาไปแจกใครในโลกนี้ก็เอาไปเถอะจ้ะ...
ตอนเย็นวันนั้น ยืนซื้อส้มตำและแกงอ่อมอยู่ข้างถนนกับน้องที่ทำงาน มีโทรศัพท์เข้ามา พอรับสาย ชัดเลย อิตาเลียนแมนชัวร์ เค้าแนะนำตัว ชื่ออะไรหว่า ฟังไม่ออก เราบอกเค้าว่าพูดดังๆหน่อย แต่ว่า...พอเค้าพูดดังแล้ว กูก็ฟังไม่ออกอยู่ดี ฟังออกแต่วันเวลาที่เค้าถามว่าว่างมั้ย ก็เออออห่อหมกไป เค้าพูด ร.เรือ เยอะมาก อย่างกะกลั้วน้ำอยู่ในปาก สำหรับเรา ต่อให้พูดเป็นภาษาอังกฤษต้นแบบ เรายังฟังไม่ค่อยเข้าใจเลย นี่ใส่ทักษะเสริมด้วย อยากเอาหัวโหม่งแกงอ่อมก็กลัวร้อน เลยเอาความมึนเข้าข่มว่า ช่วยส่งรายละเอียดมาที่ mail ได้มั้ย เพราะเค้าถามถึงสถานที่ว่าเรารู้จักมั้ย เฮ้อ...อีกสิบรอบก็คงไม่รู้เรื่องหรอก
อยากขอบคุณรถไฟฟ้าทั้งสอง ที่ทำให้เราสามารถเดินทางไปไหนต่อไหนในเมืองได้อย่างสะดวกโยธิน ครั้งนี้เค้าให้เราไปหา Engineer อิตาลีคนหนึ่ง ที่บริษัทหนึ่งแถวๆรัชดา แต่ชื่อบริษัทที่บอกมา ทำไมมันไม่เหมือนกันหว่า พอไปบอกว่าเรามาพบคนนี้กับพนักงานบริษัทนั้น ซึ่งก็มั่นใจว่าเดินมาถูกที่ เค้าพากันทำหน้างง เค้างง เรางงกว่า เราบอกว่าคนนี้เป็นคนอิตาลี นัดเรามาที่นี่อ่ะ เค้าก็อ๋อ...รอก่อนแล้วกันนะ เรางงๆ บริษัทเดียวกัน นั่งกันไม่ถึง 5 คนเลย ทำไมจำกันไม่ได้ฟะ
นั่งอ่านหนังสือเรื่อยเปื่อยดับอารมณ์ตื่นตูมใจเต้นตุ้บตั้บของตัวเองไป ซักพักใหญ่เค้าก็มา เป็น Engineer หนุ่ม หน้าตาใจดี แต่ว่าน่าจะไปเป็นนักบอลมากๆ พี่เตะบอลเมื่อไหร่ เกิดแน่...หัวหยิกลอนใหญ่ๆ ฟูเต็มหัวเลย แต่งตัวเซอร์ๆ และทำหน้าเท่ๆ เป็นอ๊อปชั่นเสริม ก็คุยๆกันไป ได้ข้อมูลเพิ่มมาว่า เค้าไม่มีบริษัทที่ไทยนะ ถ้ารับเรา เราต้องจัดการทุกอย่างแต่เพียงคนเดียว ทำงานที่บริษัทลูกค้าประมาณนั้น
เราฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ที่ฮา ที่เราเหยียบอยู่นี่คือบริษัท Dealer เค้าในไทย ตัวเค้าประจำอยู่ที่จีน มาทำงานที่ไทยแป๊บหนึ่ง เลยแวะมาสัมภาษณ์เรา คือมายืมสถานที่ใช้เฉยๆว่างั้นเถอะ (ถึงว่า...ไม่มีใครเค้ารู้จักแกเล้ย) อยากจะขำตรงที่เค้าถามเรื่องเครื่องยนต์และผลิตภัณฑ์เค้าอีกแล้ว ตอบไปอย่างชัดเจน หึ...ไม่รู้อะไรซักอย่างเลย ส่ายหัวแถมให้ด้วย แต่ข้าพเจ้ายินดีเรียนรู้นะ ถ้าจะสอนกันล่ะก็ เค้าลงทุนอธิบายเรื่องเบสิกเครื่องยนต์ และผลิตภัณฑ์เค้าให้เราฟังเป็นหน้ากระดาษ เหมือนคุณครูสอนเด็กน้อย ถามนำ แล้วก็รอให้เราตอบตามสั้นๆ เค้าพูดเหมือนมันง่ายโคตร แถมบอกเราด้วยว่าคุณไม่ต้องชำนาญหรอก แหม...อยากกระโดดกอดขอบคุณ ว่าแต่ว่า...ไม่ได้โกหกกันใช่มั้ย
แต่สรุปโดยรวมก็คิดว่าน่าจะแห้ว เพราะเราดูโง่เกินไปนะ พูดถึงงานตัวเอง ยังดูมั่วไปมั่วมาเลย อย่าว่าแต่เรื่องงานเค้า โอ๊ย...เจ็บปวดจริง เค้าบอกเราว่า เค้าจะบอกอีกคนหนึ่ง (ซึ่งโทร.หาเรา แล้วเราฟังเค้าพูดแทบไม่รู้เรื่องเลยนั่นแหล่ะ) เค้าบอกว่าถ้าโอเค ยังไงคนนั้นต้องสัมภาษณ์เราอีกรอบหนึ่ง...ฮ้า....นี่มันคัดเลือกบอลโลกหรือไงวะ ไม่หมดซักที เค้าบอกว่า ตอนนี้คนนั้นไม่ว่าง ติดลูกค้าไง เลยมาไม่ได้ มันน่าเอามือไปจิ้มหัวหยองเล่นจริงๆ แต่ก็เข้าใจว่าเค้าคงมาขัดตาทัพเฉยๆแหล่ะ เอาเข้าไป
กลับมาห้อง ว่าจะไปทำงานต่อ แต่มันเศร้า ไปไม่ไหว ใจมันช้ำ ไม่ไปดีกว่า ขอเวลาทำใจหน่อยละกันวะ คนอย่างเราไม่ทุกข์นานอยู่แล้ว นี่คือข้อดีข้อหนึ่งที่ค้นพบตอนโตแล้ว การที่เรายังมีบางมุมที่เหมือนเด็ก เราไม่อยู่กับความทุกข์นานๆ ถึงจะเศร้ายังไง แต่เดี๋ยวมันก็หายแล้ว ดีจริงๆที่เราค้นเจอสิ่งที่เรามีอันนี้
บ่ายแก่ๆ นั่งดู dvd ปลอบใจตัวเองอยู่ คุณอิตาลีเจ้าเก่าก็โทร.มา ฮะฮ่า...รอดได้ไงวะ เชื่ออย่างหมดใจไปแล้วว่า mission failed ปฏิบัติการล้มเหลว ทีนี้เค้าจะให้เราไปสัมภาษณ์กับเค้าในวันรุ่งขึ้น ตายห่า...ลางานอย่างกับเป็นบริษัทพ่อตัวเองเลย เว้นวันให้เราไปทำงานบ้างเถอะพ่อคุณ (ประโยคหลังไม่ได้พูดออกไป) เราเลยบอกไปว่า ตอนนี้เราได้เฉพาะเสาร์-อาทิตย์นะ เค้าบอกว่างั้นวันเสาร์ ว่างกี่โมง เราบอกว่าแล้วแต่คุณเลย (กล้านัดกูสามทุ่มมั้ยล่ะ) เค้าบอก 11 โมงนะ แล้วรู้จักที่.......มั้ย เอาอีกแล้ว มันที่ไหนวะ ครั้งนี้คุยกันจนรับรู้ได้เลยว่าเค้ารำคาญที่เราฟังไม่รู้เรื่อง เราเลยบอกว่าส่ง mail มาเถอะ เค้าเหมือนจะเป็นกังวล กลัวเราไปไม่ถูก อันนี้เดาเอานะ พูดมาซะเยอะ แต่ฟังไม่ออกเลย ได้แต่บอกไปว่าไม่ต้องเป็นห่วงนะ ชั้นหาแผนที่ไปเจอแกได้แน่ พอได้รับ mail ปรากฏว่าเค้านัดที่ห้องโถงของโรงแรม 5 ดาวแห่งหนึ่ง (สำหรับชาวต่างชาติชัวร์) ข้างริมแม่น้ำเจ้าพระยา เราก็หาแผนที่ แล้วก็คอนเฟิร์มกลับไปว่าโอเคนะจ๊ะพ่อหนุ่ม แล้วเจอกัน
แต่ลงแรงเพิ่มนะครั้งนี้ คืออายไง...นี่รอบสามแล้วนะ ถ้ามึงยังกล้ายืนยันว่าไม่มีความรู้เรื่องเครื่องยนต์อีก มึงจะหน้าด้านเกินไปมั้ยฮึ ออกแนวทุเรศแล้ว เราก็เลยอ่านพวกพื้นฐานไป แถมท่องชื่อพี่เค้าไปด้วย เป็นชื่อสี่พยางค์ นามสกุลสี่พยางค์ แต่ไม่รู้...ว่าอันไหนชื่อ อันไหนนามสกุล เดาว่าเป็นอันหน้าคือชื่อละกันวะ ชื่อและนามสกุลก็เรียกยาก แอบเอาไปนินทาด้วยว่าชื่อง่ายๆกว่านี้ไม่มีจะตั้งแล้วเหรอวะ กว่ากูจะจำได้...
เป็นการไปสัมภาษณ์งานของกะเหรี่ยงหน้าเด๋อด๋าคนหนึ่ง ซึ่งดูมีปมมาก ใส่กางเกงที่แทบจะใกล้เคียงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ เสื้อเชิ้ต แบกเป้ด้วย สมฐานะจริงๆ ไม่ลงทุนอะไรเลย ก็คิดว่าคุยกันที่กึ๋นสิ เปลือกนอกจะเอาอะไรนักหนา (อย่างกับตัวเองมีกึ๋นให้เค้าค้นหา) แล้วอีกอย่าง เป็นวันเสาร์ด้วย ไม่ใส่เสื้อยืดไปก็บุญเท่าไหร่แล้ว (ไม่รู้นะ ว่าบุญของใคร) เค้านัด 11 โมง เราไปถึง 10 โมงนิดๆ มันไกลไง ก็กะเวลาไม่ค่อยถูก
ไปนั่งรอที่ล็อปบี้ สงบสติอันพลุ่งพล่าน แต่ยิ่งพยายามสงบ ทำไมมันยิ่งแตกกระเจิงวะ เอาเข้าไป ส่งข้อความไปบอกเค้าว่า เรามาถึงแล้ว นั่งอยู่นี้ๆๆนะ ตามสบาย เรารอได้...หึๆๆ พยายามกลบเกลื่อนความตื่นเต้นของตัวเองด้วยการอ่านหนังสือ ฟังเพลงด้วย เอาเอกสารที่จะใช้ออกจากเป้มาวางข้างตัว สร้างความกลัวใส่ตัวเองทำไมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
แล้วเค้าก็ลงมา ถ้าอกอีแป้นจะแตกคงจะดีกว่านี้ แต่นี่มันอกเราเอง โถ...หล่อเกินไปแล้ว น่าจะสูง 190 กว่าได้ ใส่สูท ผูกไท้ด์ รองเท้าหนังมันแว้บ นึกว่าแคะมาจากแม็กกาซีน กะเหรี่ยงเอย...ตื่นเถอะ ลุกมาจะจับมือกะเค้า หนังสงหนังสือร่วง เฮ้อ..จิตป่วนไปหมด สติถูกทำลาย เค้าบอกว่าให้เราตามเค้าไป เราหยิบเป้และหนังสือเดินตามไปต้อยๆ เค้าถามว่ามาที่นี่ยากหรือง่าย ฟังตั้งหลายครั้ง เพราะมันเป็นสำเนียงอิตาเลี่ยน มี “รรรรร” อยู่ในทุกคำที่เปล่งออกมา แต่เวลาพูดช่างดูใจดีเสียนี่กระไร ถ้าเราฟังออกง่ายๆคงจะดีไม่น้อย กะเหรี่ยงอยากละลายลงไปกองกับพื้นเลย
ขึ้นลิฟท์ไปร่วมกับผู้คนอีกมากมาย แน่นอน...ไม่มีคนไทย เค้าให้เรากดชั้น 18 ให้ มี 36 ชั้น กว่ากูจะหาเลข 18 เจอ ทำไมสติมันช่างเลอะเลือนอย่างงี้วะ ออกจากลิฟท์ เดินไปที่หน้าห้อง เค้าก็เอาคีย์การ์ดเสียบ เปิดประตูเข้าไป (เอ่อ...อย่าคิดลึก ห้องนอนน่าจะถูกปิดไว้เรียบร้อยดี เพราะมองไม่เห็นอะไร) พอนั่งแปะลงที่เก้าอี้...ตายหอก...ลืมเอกสารไว้ข้างล่าง เวรกรรม...อายชิบหาย จะตายอยู่แล้ว...
บอกเค้าว่าลืมของ ขอลงไปเอาได้มั้ย เค้าบอกได้สิ เอาคีการ์ดไปด้วยนะ ต้องเสียบคีย์การ์ด....ฟังออกแค่ตรงนี้ เสียบกับอะไรกูก็ฟังไม่ออก ตามเซ้นส์มันก็น่าจะเป็นประตูหน้าห้องตามปกติ ก็เดินเด๋อออกไปพร้อมคีย์การ์ด 1 ใบถ้วน ลงลิฟท์ไป วิ่งไปหยิบของ เข้ามาในลิฟท์ (คนเดียว) กดชั้นที่ต้องการ แล้วก็ยืนเหม่อ ซักพัก เริ่มรู้ตัว...เฮ้ย ลิฟท์ไม่ไป ทำไงดี ในลิฟท์มันมีรู เหมือนเป็นช่องใส่การ์ดนะ แต่ว่า...อยู่คนเดียวไง เกิดเสียบไปแล้วไม่ใช่นี่...มึงไปป่วนโรงแรมเค้าเลยนะ คราวนี้ล่ะดังแน่ๆ...ตัดใจออกมายืนข้างนอกดีกว่า รอลิฟท์อีกตัวมาแล้วทำเหมือนเดิมซิ น่านไง...กดไม่ติด แสดงว่าลิฟท์ปกติ กูเองที่ผิดปกติ ในแง่การบริหารความเสี่ยงแล้ว รอคนอื่นมากด แล้วมึงเป็นตัวแถมจะดีกว่า ก็ออกไปยืนข้างนอก จนกระทั่งมีฝรั่งสองคนมาขึ้นลิฟท์ เราก็ตามเข้าไป เค้าเอาการ์ดเสียบ เสร็จแล้วก็ดึงออก มันก็กดได้แระ แอบเก็บความสะเหร่อของตัวเองเอาไว้ อย่าให้ใครเห็น เค้าจะสงสัยมั้ย ว่ามันหายไปไหนนานโคตร
พอไปถึงหน้าห้องได้ ก็เอาการ์ดเสียบ แล้วหมุนมือจับตามรูปในการ์ดเลย แต่ว่า...ฮือๆ...ทำไมมันไม่เปิดวะ สุดท้ายเค้าก็เดินมาเปิดให้ แทบอยากจะเอาหน้าแทรกแผนดินหนี แล้วการสัมภาษณ์ก็ได้ดำเนินไปอย่างน่าสงสารมากทั้งคู่ ฝรั่งแม่งคงงงเรา เราก็งงฝรั่ง อยากบอกว่าอย่า “รรรร” ได้มั้ย ก็ทำไม่ได้ มันเดาไม่ถูก ฟังไป เดาไป งงไป เวลาเราพูด เค้าก็คงงงไม่แพ้กัน อะไรของมึ้ง พูดก็ช้า ตะกุกตะกัก เดี๋ยวผิดเดี๋ยวถูก มะงุมมะงาหรา ตื่นไปหมด
ถามเรื่องการใช้ MS Office Excel, Power point ใน Excel กูก็ใช้ทุกวี่ทุกวัน ดันมาถามฟังชั่นคอนเวิร์ทตารางที่กูไม่เคยใช้ซะอย่างงั้น บอกเค้าว่าไม่เคยใช้นะ รู้แต่ว่า เอาไว้คอนเวิร์ทตาราง ถามเรื่อง Power point ให้ทำให้ตัวรูปมันเลื่อนไปมา เราหาฟังก์ชั่นจนเจอ พอกดดูตัวเลือก ฮือๆๆ มันเป็นภาษาอิตาเลี่ยน แบบว่าเดาไม่ออกเลย คือ laptop เค้าลงเวอร์ชั่นอิตาเลี่ยนหมด บางคำมันก็พอเดาได้ เพราะภาษามันคล้ายๆกัน แต่ตัวที่เหนือมนุษย์จริงๆก็ไม่ไหว หันมามองหน้าเค้าแล้วบอกว่า อ่านไม่ออกอ่ะ เค้าก็ใจดี บอกว่าอันไหนก็ได้ แถมบอกว่าเข้าใจนะ เพราะไม่ใช่ laptop ของเรา ไม่เป็นไร ชมเราว่า very good เหมือนชมหมาเลย จะดีใจดีมั้ย บางเวลาอยากเอื้อมมือไปจับหน้าดู แต่กลัวว่าเดี๋ยวจะโดนถีบทะลุกระจกตกเจ้าพระยาตายฟรี เก็บมือไว้ข้างบนตักก็ดีอยู่แล้ว หน้าสวยจัง ขาวแต่หน้าเข้ม ชาติหน้าขอเกิดแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนบ้างนะ...นะนะ...
ทำอะไรก็มือไม้สั่นไปหมด เค้าดูสนใจนะ เมื่อบอกว่าเราจบที่ขอนแก่น เค้าบอกว่าจะไปขอนแก่นพรุ่งนี้ ก็ถามว่าไปทำอะไรเหรอ เสือกเลยมึง เค้าตอบว่าไปทำงานอะไรซักอย่างเนี่ยแหล่ะ แม่งยาว...ฟังไม่ออก และแน่นอน งานอะไรไม่รู้ รู้แต่มี “ร” เยอะมาก คิดสะระตะในหัว อยากจะโฆษณาของดีจังหวัดที่เราเคยอยู่ แม่งร้อน...มีอะไรอีกวะ แห้งแล้ง เออ...แต่เราชอบนะ แล้วจะบอกว่าชอบเพราะอะไรวะ มีเพื่อนๆ เพื่อนก็ตั่วเฮียเกือบทุกตัวเลย คิดไม่ออก อย่าเลย ให้แมลงหวี่มันบินไปเถอะ...เค้าถามว่ามหาลัยเรานี่ดังมั้ย ถ้าถามเป็นไทย คงจะตะโกนปล่อยมุขให้ดูเลย “ดังมากนะ ถ้าตะโกนดังๆ” เราบอกไปว่า ก็ดังที่สุดในภาคอีสานแหล่ะ ส่วนแกจะรู้มั้ยว่าประเทศชั้นมันมีกี่ภาค และเฉพาะในกทม.นี่ มันมีมหาลัยยัดทะนานอยู่เท่าไหร่ ก็ไม่ต้องไปบอก ให้ประกอบประโยคยากเย็นอะไร ผ่านๆมันไปเลยก็ได้
เรื่องที่ควรพูดได้คล่องที่สุด ก็ควรเป็นเรื่องงาน ซึ่งเสือกพูดได้ตะกุกตะกักที่สุด เปล่งออกมายากเย็น เค้าอธิบายให้ฟังว่า ถ้าทำงานนี้ต้องโดดเดี่ยวและลุยงานขนาดไหน ซึ่งโคตรจะน่าสนุกเลย แต่คงพลาดซะแล้วล่ะ คุยกันเสร็จ เค้าเปิดประตูให้ เรื่องที่ยังขำอยู่ตอนถึงตอนนี้ก็คือ การเดินออกจากประตู เค้าเปิดประตูออกมาส่ง เอาแขนตัวเองจับขอบประตูไว้ เราเดินลอดแขนเค้าออกมา...แบบไม่ต้องก้มเลย ช่างตอกย้ำความเตี้ยตะแมะแคะของตัวเองจริงๆ มากระทืบหัวใจกันเลยดีกว่า เดินออกมาพร้อมน้ำตาที่ไหลในหัวใจ เศร้าชะมัด เราจะไม่ได้เจอเค้าเป็นครั้งที่สองด้วยซ้ำไปหรือเนี่ย เค้าเดินมาส่งที่ลิฟท์ บ๊ายบายกัน ขอให้โชคดี เสียใจมาก เพราะว่ามันไม่ได้มีปัญหาเรื่องวิธีการทำงานหรือประสบการณ์เลย แต่ดันมีปัญหาที่พูดไม่รู้เรื่อง คนที่สัมภาษณ์เรามา 3 ครั้ง มีแต่คนที่ดูใจดีหมดเลย คนประเทศนี้ก็ขึ้นชื่อเรื่องอัธยาศัยใจคอดี แต่เราดันทำพังซะได้ หันหลังให้โรงแรมห้าดาว เดินคอตกออกมาอย่างเศร้าสร้อย ไม่อยากมองหน้าใครเลย
นั่งแท็กซี่ไปขึ้นรถไฟฟ้าไปหาเพื่อน ต้องหาใครมาระบายความอัดอั้น ถ้าอยู่คนเดียวอาจฟุ้งซ่านได้ หาคนมาฟังเราพล่ามจะดีกว่า ต้องยอมรับเลยว่าเพิ่งจะเคยคิดอย่างงี้ คือการที่เราบอกว่าเราอะไรก็ได้ ยังไงก็ได้ อยู่อย่างงี้ก็โอเคนะ ไม่เดือดร้อนน่ะ มันเพียงแค่เพราะว่ายังไม่เจออะไรที่เราชอบจริงๆเข้าต่างหาก ถ้าหากเราพร้อม ทุกอย่างมันก็จะดีกว่านี้แน่ ซาบซึ้งถึงที่เค้าว่า “โอกาสเป็นของคนที่พร้อมเสมอ” แล้ว จุกเข้าไปที่กระบังลมเลย ตัดสินใจว่า คงถึงเวลาที่จะต้องซ่อมแซมตัวเองอย่างจริงจังแล้ว...โห...ไม่ใช่งานง่ายๆเลย...
ก่อนกลับ สองทุ่มกว่า ไปกินส้มตำกัน เราสั่งส้มตำปูมากิน เพื่อนถามว่า สั่งตำปู ไม่เห็นกินปูเลย เราบอกว่าไม่กินหรอก ต้องนั่งรถกลับไกล เดี๋ยวปวดท้อง สามทุ่มกว่าก็แยกย้ายกัน เรานั่งรถไฟฟ้ากลับ พอถึงสยาม ท้องเริ่มปั่นป่วน และมันเริ่มเยอะ พยายามนึกหาเหตุแห่งทุกข์ของการปวดขี้นี้ ตัดภาพกลับไปที่ส้มตำปูจานนั้น ไม่กินปู...แต่ดันเอาน้ำส้มตำมาราดข้าวกิน ลืมตัว จะบ้าตาย ยิ่งคิดถึงจะยิ่งปวด ยิ่งคิดว่าจะไม่คิดถึง จะยิ่งคิดถึงมัน และจะปวดมากขึ้นอีก ซวยแล้ว...
เริ่มชั่งใจว่ากูจะลงไปแวะปล่อยทุกข์นี้ออกไปก่อนดีมั้ย อีกใจบอกว่า เราควรอดทนนะ ควรผ่านมันไปให้ได้ ในรถไฟฟ้าแอร์เย็น มันจะเย็นหนักเข้าไปอีกเวลาเราปวดขี้ ผ่านเซ็นทรัลชิดลมไป ขนแขนก็เริ่มพร้อมอกพร้อมใจลุกกันเกรียว เอ๊ะ...เริ่มจะเอาไม่อยู่ แต่ผ่านไปอีกพักหนึ่ง อาการก็เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ แล้วก็กลับมาวิกฤติอีก ใช้ความอดทนเข้าสู้จนผ่านเทอร์มินอล 21 ที่อโศกมาได้ โดยไม่ลงจากรถ ตอนผ่านเอ็มโพเรี่ยมที่พร้อมพงษ์ แอบคิดแว๊บหนึ่งว่า เราคิดถูกรึเปล่า ที่ไม่กำจัดทุกข์นี้ไปก่อนที่จะก้าวต่อไปดีๆ แต่มันผ่านไปแล้วนี่จะไปคิดอะไร ไม่มีที่ขจัดทุกข์แล้ว อดทนได้จนถึงแบริ่ง ไปอดทนต่อบนรถแท็กซี่ ไม่เคยคิดถึงและอยากกลับห้องตัวเองขนาดนี้มาก่อน
ในที่สุดก็เอาชีวิตรอดมาถึงห้องตอนสี่ทุ่มกว่า ปลดปล่อยทุกข์ที่อัดอั้นอยู่ทั้งในร่างกายและจิตใจที่รับมาอย่างบอบช้ำ ไปกับการกดชักโครกอย่างไร้ความปราณี ทุกข์มาก ก็สุขมาก นี่คือธรรมดาโลก เราพบว่าท้องเสียหายได้ แต่ใจเสียยังค้างอยู่ ต้องใช้ชักโครกแห่งกาลเวลามาช่วย ก็ยังดีนะ ที่ป่วยง่าย แต่หายเร็ว...
It’s me…
13 เมษายน 2555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น