วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2555

โลกียะ – โลกุตตระ (ตอนที่ 1)

ครั้งหนึ่งเมื่อหลายเดือนก่อน ตอนที่เพื่อนเก่านัดเจอกัน มีเพื่อนคนหนึ่งชอบไปวัดเกือบทุกอาทิตย์ เราได้เอาจิตสีเทาของตัวเองเข้าไปขวางมันไว้ เพื่อให้มันอยู่กับเพื่อนจนดึกดื่น มันบอกว่าวันรุ่งขึ้นต้องไปวัดแต่เช้า เราอ้างกับมันว่า มันจะไปวัดเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นานแสนนานกว่าเพื่อนจะเจอกันที เห็นวัดดีกว่าเพื่อน มีอย่างที่ไหน มันบอกว่าพวกเราเอาโลกโลกียะมาขวางทางโลกุตตระของมัน เออ...ถูกต้อง ใช่เลย แต่แล้วเราก็ลากมันมาจนได้


หลายเดือนเคลื่อนคล้อยผ่านไป อาทิตย์ก่อน สำเหนียกรู้สึกตัวแล้วว่า เราเป็นคนสมาธิไม่ดี หนึ่งเรื่องที่ตัดสินใจได้ คืออยากตามหาสมาธิของตัวเองกลับมา ของบางอย่างมันเป็นของเรานี่แหล่ะ อยู่กับตัวเรา แต่เราไม่ยักกะหามันเจอแฮะ ต้องหาทางไปหาจากที่อื่น ถึงแม้จะเป็นคนบ้าอ่านหนังสือ แต่การอ่านเยอะ มันก็ไม่ได้บ่งบอกว่าเราสมาธิดีเลย เพราะพอเจอเหตุการณ์ที่จิตมันฟุ้งซ่าน มันถึงกับกระเจิดกระเจิง ควบคุมไม่อยู่กันเลยทีเดียว


หยุดสงกรานต์ไม่ได้กลับบ้าน ก็ไม่รู้จะไปไหน ได้ข่าวว่าน้องที่ทำงานคนหนึ่งมันจะไปบวชชีพราหมณ์ที่วัด เออแฮะ...น่าสนใจ คือเค้าไม่ได้ชวนเราหรอก แต่เราแอบได้ยินเค้าพูดกับคนอื่นเลยหูผึ่ง นึกถึงตอนที่ตัวเองยังเด็ก ได้เข้าค่ายพุทธศาสนากับเพื่อนๆที่โรงเรียน ตั้งใจบ้างเล่นบ้าง แต่สรุปได้ว่ารู้สึกดีนะ ตอนนั้นก็รู้สึกดีกับการนั่งสมาธิ ฟังพระเทศน์ ซึ้ง...ร้องไห้น้ำตาไหล บางคนถึงกับร้องไห้ขี้มูกโป่ง อันนั้นก็ตลกดี...นึกแล้วก็อยากลองดูอีกสักครั้ง ตอนโตแล้ว มีความคิดเยอะแล้ว มันจะเป็นยังไงนะ


เราก็เลยไปถามไอ้น้องคนนั้นว่าเราไปด้วยได้มั้ย มันก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่มีเพื่อนอยู่พอดี เรานัดกันวันที่ 14 ตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อนั่งรถไปวัด แล้วบวชชีพรามณ์ 14-15-16 เช้าวันที่ 16 ก็ค่อยออกจากวัด ไปหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต มีข้อมูลอยู่แค่นิดเดียว ว่าวัดนี้อยู่ที่ฉะเชิงเทรา มีโบสถ์และสถานที่ปฏิบัติธรรมยื่นออกไปในทะเล แค่เรื่องธรรมชาติก็น่าสนใจแล้ว ถือว่าเป็นการไปเที่ยวทางธรรมครั้งแรกในรอบยี่สิบปี ดูซิ...ว่าจิตเรามันจะจูนอะไรดีๆเจอมั้ย


วันที่ 13 ไม่มีอะไรทำ เลยไปทำงานก่อน ก็แต่งชุดโรงงาน ไปทำงานหน้าตาเฉยเป็นปกติ ถนนหนทางโล่งมาก หมู่มวลมนุษย์มีอยู่บางตา อยากให้เป็นอย่างงี้ทุกๆวัน เลิกงานก็กลับห้อง ไปหาซื้อของที่โลตัสข้างห้องอีกเล็กน้อย คิดว่าซื้อของเสร็จก็จะกลับไปจัดกระเป๋า อาบน้ำ และเข้านอนแต่เร็วๆ พรุ่งนี้จะต้องย้ายไปนอนวัดแล้ว ตื่นเต้นๆ น่าสนุก ระหว่างเดินซื้อของอยู่ เสียงมือถือก็ดังขึ้น เบอร์ใครวะไม่รู้จัก แต่รับหน่อยก็ได้


“ฮัลโหล...กาก้า คุณอยู่ไหน มานี่เลยนะ” เสียงของน้องที่ทำงานชื่ออีถุย (ความจริงมันไม่ได้ชื่อนี้ แต่พวกเราคิดว่ามันเหมาะกับชื่อนี้มากกว่า เลยเรียกมันอย่างงี้มาโดยตลอด) อีถุยจิกหัวเรียกเราอย่างสนิทสนม พวกมันเรียกเราว่า “กาก้า” ที่ไม่ได้มี “เลดี้” นำหน้าแต่อย่างใด อาจเพราะครั้งหนึ่งตอนบอลโลก เราเคยชอบ ริคาโด้ กาก้า และชื่อมาพ้องกับชื่อจริงเราพอดี


“ไป...จะให้กูไปไหน พรุ่งนี้กูจะไปวัด ต้องรีบนอน ว่าแต่...พวกมึงอยู่ไหน อยู่กับใครบ้างเนี่ย”


ถุยได้ถามเราผ่านทางโทรศัพท์ว่าคิดดีแล้วเหรอจะไปวัดเนี่ย มันจะเหมาะเหรอ เป็นภัยศาสนามั้ย คิดใหม่มั้ย ถุยบอกว่ามานี่เถอะ มันอยู่ที่บ้านเดอะจิ๋มส์ (พวกเราเรียกมันว่าจิ๋ม เพราะมันไม่เหมาะกับชื่อเล่นจริงๆของตัวเองเช่นกัน เหมาะกับชื่อนี้มากกว่า ตัว “ส์” ที่เติมด้านหลัง ก็เป็นไปตามหลักไวยกรณ์ที่แสดงความเป็นพหูพจน์นั่นแหล่ะ) เราไม่ได้เจอเดอะจิ๋มส์นานแล้ว เพราะมันลาออกจากบริษัทไปทำงานที่อื่น พวกมันนั่งกินเหล้ากันอยู่ มีไอ้หมีด้วย ไอ้หมีเป็นน้องที่ออกไปจากที่ทำงานนานแล้วเหมือนกัน แต่มีความสนิทสนมและความบ้าที่เข้ากันได้ ไม่ได้เจอมาเป็นปี หลังจากออกไป มันก็ไปเป็นผู้จัดการที่โรงงานอื่นอยู่หลายปี ก่อนที่จะกลับไปทำกิจการเกี่ยวกับยางพาราของบ้านตัวเองที่นครศรีธรรมราช จะล่องลอยขึ้นมาหลอกหลอนแค่เหตุการณ์เฉพาะกิจเท่านั้น


“ถ้าไปแล้วพวกมึงออกมาส่งกูนะ กูต้องนอนเร็ว เพราะกูต้องไปวัดแต่เช้า เข้าใจใช่มั้ย”


“กาก้า อย่าห่วง คืนนี้พวกมันจะไป dark อยู่แล้ว ใกล้โลตัสเลย เดี๋ยวไปส่ง” คำว่า dark เป็นคำที่ใช้กันอย่างเป็นทางการในกลุ่ม โดยนัยยะ แปลว่า กิจกกรมใดๆก็ตามที่เป็นไปในทางมืด ทางเสื่อม เรียกว่า dark ได้หมด


“สัญญาต้องเป็นสัญญานะพวกมึง กูมีโลกโลกุตตระรออยู่ อย่าทำให้กูมัวหมองด้วยโลกโลกียะ โอเคนะ”


หลังจากสัญญากันเป็นมั่นเป็นเหมาะ เราเลยเดินไปขึ้นแท็กซี่ที่ปากซอย เพื่อไปสุมหัวนั่งเม้าท์ที่บ้านพวกมันในทันใด คิดไว้ว่าไม่เกิน 5 ทุ่มน่าจะได้กลับมานอน พอไหวนะพอไหว ไปก็ได้วะ คิดถึงน้องๆ ด้วย


ก็ไปนั่งคุยกับพวกมัน ทั้งๆที่ก็ไม่ได้กินเหล้ากินเบียร์นี่แหล่ะ กินน้ำเปล่า และขนมถุง ปากก็เม้าท์ๆไป เรื่องอะไรต่อมิอะไรที่ผิดหวังมา เรื่องที่สมหวัง...ว้า...ไม่มีเลย


ไม่เจอหน้าอีหมีนาน แต่พฤติกรรมบางอย่างก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง มันจะมีใครอีกมั้ยวะในโลกนี้ ที่เวลานั่งคุยกับเพื่อนแล้วชอบถูขี้ไคลที่ตีนไปด้วย ยกตีนขึ้นมาแล้วก็ถูขี้ไคลที่ฝ่าตีนโดยอัตโนมัติ ถูอย่างเป็นจังหวะจะโคน เหมือนดีเจ scratch แผ่น ถูไปเรื่อยๆ ถูแล้วก็เอานิ้วเดียวกันนั่นแหล่ะ ไปถูหน้ารูจมูก อยากจะทำให้ดูจริงๆ จะได้รู้ว่ามันตลกและน่ารังเกียจขนาดไหน


เราถามมันว่า นี่มึงยังไม่เลิกถูตีนอีกเหรอ มันบอกว่า ถึงจะถูตีนอยู่ แต่ว่าตีนหายเหม็นแล้วนะ พี่ควรจะดีใจและรู้จักพอ มันว่าเวลามันไปรับซื้อยาง มันก็นั่งถูตีนนี่แหล่ะรอ เรานั่งหัวเราะ และคอยควบคุมมันว่า มึงห้ามเอามือล้วงน้ำแข็งนะ ห้ามเด็ดขาดเลย เดี๋ยวให้คนอื่นชงให้ มึงนั่งแดกไปอย่างเดียวพอ มีครั้งหนึ่งมันเอามือที่ถูตีนนั่นแหล่ะ มาสะกิดเรียกเรา “พี่ๆๆ”


เราตกใจ “ไอ้หอกหมี มึงเรียกเฉยๆก็ได้ ไม่ต้องมาแตะกูเลย กูยินดีบอกมึงอย่างจริงใจเลยว่า กูรังเกียจ แม่งเอ๊ย”


และทั้งๆที่นั่งจ้องมือมันเอาไว้ แต่สุดท้ายพอเผลอ มันก็เอาถังน้ำแข็งไปล้วงจนได้ ไอ้ห่าหมี...มึงช่างไม่เห็นใจเพื่อนๆเลย คิดแล้วก็อยากจะอ้วก ทำใจกินต่อไม่ไหวจริงๆ พวกเราคุยเรื่องใครต่อใคร วิเคราะห์สถานการณ์โลก ถุยเอาฝาโซดามาทำหมากเดินแทนตัวละครทุกตัวที่เราพูดถึง ให้ทุกคนเข้าใจมากขึ้น ทักษะการเสือกเรื่องชาวบ้านสูงกันทู้กคนเลย


เกือบห้าทุ่ม พวกเราออกมา โดยถุยสัญญาว่าจะมาส่งกลับ พวกมันจะไป dark ต่อที่ผับแถวๆนั้นแหล่ะ มีเหตุจำเป็นบางอย่างที่ทำให้จิ๋มเปลี่ยนใจไม่ไปแล้ว เนื่องจากเจ้าพ่อแห่งการ dark คือเดอะจิ๋มส์ พอจิ๋มไม่มา อีถุยกับอีหมีก็เลยเปลี่ยนใจไม่ไปผับแล้ว แต่ไปกินเบียร์และฟังเพลงต่อที่ร้านอาหารแถวๆคอนโดเราดีกว่า แล้วมันก็พูดจาหว่านล้อมให้เราไปด้วย บอกว่าไม่ใช่ว่าหมีจะมากับเราได้ทุกวัน นานๆเจอกันที


“แม่ง...แล้วทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วยวะ แป๊บเดียวนะมึง เดี๋ยวกูกลับ พรุ่งนี้กูต้องไปวัดแต่เช้า” พยายามย้ำ


หมีบอกว่า “ผมเลี้ยงนะ...ไม่ใช่ว่าพี่จะได้กินง่ายๆ พี่คิดดูละกัน” พูดซะ กูคงต้องไปใช่มั้ย...


พวกมันก็ไปนั่งกินเบียร์กัน เราก็กินน้ำเปล่า และกับข้าว เป็นเพื่อน เฮ้อ...ให้อนาถตัวเอง เราพยายามพูดเรื่องไปวัด เพื่อให้ดูว่า เรากำลังใฝ่ดี อีหมีบอกว่า “รู้มั้ยพี่ว่าก่อนที่จะพบทางธรรม พี่ก็ต้องเจอมารผจญก่อน พี่ต้องผ่านมันไปให้ได้ฮะ”เออ...กูกำลังก้าวผ่านอยู่


เนื่องจากเป็นวันสงกรานต์ ผู้คนก็เลยเล่นน้ำกันในร้านอาหารด้วย น้ำที่เค้าเล่นก็คือน้ำในถังใหญ่ ซึ่งใส่น้ำแข็งก้อนอย่างควายเอาไว้ อย่างเย็น เราไม่เล่นด้วย นั่งเฉยๆ และยังอยู่ในชุดยูนิฟอร์มของโรงงาน อย่างมากเค้าก็ฉีดน้ำปิ๊ดๆ ใส่ แค่พอเป็นกระสัย เด็กๆในร้านยิงปืนฉีดน้ำใส่อีหมี หมีจะบอกว่า “มายิงที่หัวใจพี่เลยดีกว่าฮะ” แล้วก็เอามือชี้หัวใจ ทำท่าน้ำเน่าใส่ เค้าก็เลยเอาน้ำเย็นๆใส่ถังน้ำแข็งมาราดมัน หมีตะโกนว่า “ไข่ครับไข่” น้ำมันเย็น ราดที่หัวใจ เปียกไปถึงไข่เลย เพราะปากหมี อีถุยก็เลยโดนด้วย ซึ่งถุยอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ พอเปียกก็เลยพูดไม่ออก


อีหมีเป็นผู้ชายตัวใหญ่ สูงร้อยแปดสิบกว่า หัวเหลี่ยม เป็นคนจอนจัด คือมีจอนหนามาก หนวดเคราอีกเพียบ ใส่เสื้อโปโล กางเกงขาสั้นเท่าเข่า แต่วันนั้นเพิ่มอ๊อปชั่นด้วยการมีกระเป๋าพลาสติกเล็กๆ เหมือนของเด็กผู้หญิง สายเป็นเชือก คาดที่บ่ามาถึงข้างเอว เก็บมือถือและตังค์ เหมือนเด็กถือกระติกน้ำหมีน้อย แต่พอเป็นอีหมี มันดูขัดแย้งมาก เจ้าของวลีเด็ดประจำตัว “อย่าสงสัยในความรักของหมีเลย”  ทำหน้าเท่ๆ แต่มันดูตลกมากในสายตาพวกเรา


พวกเราอยากได้ปืนฉีดน้ำแต่ไม่อยากซื้อ หมีซื้อเบียร์ มันต่อรองขอแถมปืนฉีดน้ำ ได้ปืนอันเล็กจิ๋วมา 1 อัน แปลงร่างเป็น “มือปืนนกเพลิงลำพอง มาริโอ้ ณ ทุ่งสง” คาบบุหรี่ 1 ตัว ออกอาละวาดใส่ facebook แต่ดึกแล้ว เลยไม่ได้รับความสนใจ ตลกและน่าสงสารมาก พอหกทุ่มเราเห็นควรว่าจะกลับ แต่ดันไปเปรยให้พวกมันฟังว่า ไปคาราโอเกะกับน้องๆรุ่นใหม่ไม่สนุกเลย เพราะน้องๆไม่บ้า ถุยเลยบอกว่า งั้นไปกันมั้ยฮึ มาแล้วไงทางสายดาร์ค เราเลยนึกสนุก เออเนาะ...ไหนๆ พวกเรามันก็บ้าๆแล้ว นานๆเจอกันที ว่าแต่จะไปที่ไหนวะ ถุยบอกนี่เลย “โรมัน” ผมสนิทกับมาม่า อย่าไปห่วง...ฮ้า...


“โรมัน” คือคาราโอเกะ ปนผับปนเล้าจ์ ปนแม่เล้าปนลูกเล้าเต็มไปหมด อาจปนอีกหลายอย่างที่เราไม่รู้ด้วย พวกนั้นมันชอบเรียกชื่อให้มันเท่ๆขึ้นไปอีกว่า “โรมัน พั้บลิเชนโก้” ตามชื่อนักบอลที่เราไม่รู้จัก มันเรียกจนเราจำได้ เมื่อก่อนจะรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะจะมีเด็กนั่งดริ๊งค์เต็มไปหมด เห็นแล้วมันหดหู่ สถานที่เชิงนี้จะไม่อยากไปเลย เราก็บอกมันตรงๆว่า เวลาเพื่อนๆไปอย่างงี้ แล้วเรามักจะถูกทิ้ง มันน่าเบื่อ และก็รู้สึกแปลกๆด้วยที่เราเป็นผู้หญิงแต่ต้องมาดูมารู้มาเห็นโลกด้านนี้ เหมือนเป็นด้านมืด ถุยได้ให้ความมั่นใจอย่างจริงจังว่า


“ผมพาคุณไป ผมไม่ทิ้งคุณหรอก เราก็อยู่ในห้องคาราโอเกะของเราไป ไม่ต้องไปสนใจข้างนอก เชื่อผมสิ” ไอ้ที่พูดกัน คุณ – ผม เนี่ย ไม่ใช่ว่าสุภาพอะไรนะ มันแทนคำว่า กู – มึง เฉยๆ


“พวกมึงจะทนไหวเหรอ ไม่เรียกเด็กจริงๆนะ” ถุยให้คำมั่น ถุยบอกว่า ถ้าไม่รักก็ทำอะไรไม่ได้หรอก หมีบอกว่า หมีเมาก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน งั้นโอเค ลุยเป็นลุย ไปก็ไป เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ถุยอ้างว่า เราก็ไม่ได้ไปกันบ่อยๆด้วย ช่วยพวกมันกินเบียร์นิดหน่อยให้หมดหลอดเพราะเสียดายของ แล้วหกทุ่มครึ่งเราก็ย้ายทำเล Next Station...“โรมัน พั้บลิเชนโก้”


ตอนขึ้นรถ...เราเอาปืนฉีดน้ำ มาจ่อหัวไอ้ถุย “ขับไปดีๆเลยนะมึง ไม่งั้นกูยิงไอ้นี่สมองกระจุยแน่” ว่าแล้วก็ฉีดปิ๊ดออกไปเลย สะใจจริงๆ ไอ้ถุยถามว่า “นี่กูอยู่กับคนบ้าใช่มั้ย”


เราเอาปืนฉีดน้ำจ่อคางตัวเอง “อย่าพูดอย่างงี้นะ ไม่งั้นกูยิงอีนี่แน่” แล้วก็ฉีดน้ำใส่คางตัวเองปิ๊ดๆ สนุกดี


พอไปถึง... มาม่าซึ่งเราคิดว่าเค้าจะแก่งั่ก แต่กลับเป็นเด็กสาวอัธยาศัยดี ก็ปรี่เข้ามาทักทายถุยอย่างสนิทสนมมากกกกก...ถุยรีบยืนยันเจตนารมย์ว่าวันนี้ถุยจะร้องคาราโอเกะเท่านั้น ไม่ยุ่งทางอื่น วะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะ...ดีมากอีถุยที่รีบแจ้งเจตนารมย์ ก่อนที่จะโดนกูเตะ สิ่งหนึ่งอย่างที่นึกได้คือ ถ้าถุยสามารถสนิทกับมาม่าได้ แสดงว่าความช่ำชองคงไม่แพ้ใครในโลกหล้า...หึหึหึ...ถุยสมชื่อมาก ไม่รัก...ทำไม่ลงหรอก...ถุย...


ตอนนั้นเหมือนเราเข้ามาในดงอะไรซักอย่าง แต่ตัวเองไม่รู้สึกหดหู่หรือรังเกียจอะไรเลย ตื่นตามาก ผู้หญิงที่นี่จะผอมเพรียวหุ่นดี ไม่รู้ว่าเพราะวันนั้นคือวันสงกรานต์รึเปล่า ทุกคนเลยแต่งชุดบิกินี่ ข้างบนชิ้น ข้างล่างก็อีกชิ้น และรองเท้าส้นสูงปรี๊ด ว่ากันว่าที่นี่จะเป็นสถานที่รวมเด็กวรรณะสูงของย่านนี้ ผู้หญิงที่นั่นพากันนมโตมาก จะโตกันไปไหนนี่ หมีบอกเราเป็นข้อมูลเสริม “เค้าทำมาครับพี่” มันแปลกมากที่เราไม่รู้สึกแย่ ไม่รู้สึกว่าควรดูถูกเค้าด้วย เมื่อก่อนเราจะมองว่าโลกด้านนี้มันคือโลกมืด ตอนนี้กลับมองว่าเค้าเป็นคนธรรมดาที่ก็แค่ทำงานของตัวเอง อาจดูก๋ากั่นเกินเลยไปบ้าง เพราะสภาพแวดล้อมันพาไป ตลกตัวเองมากกว่าที่ใส่ชุดโรงงาน มานั่งทำหน้าเด๋อด๋าอยู่ที่นี่


ตอนแรกเค้าไม่มีห้องคาราโอเกะว่าง เราบอกมาม่าว่า ไปไล่ออกมาซักห้องหนึ่งได้มั้ยอ่ะ อยากร้องเพลง (เสียงก็ห่วย เสือกอยากร้องเพลง) แต่เค้าทำให้ไม่ได้ เราก็เลยต้องนั่งที่บาร์ดูพวกผู้ชายหื่นกระหาย กับเด็กสาวบั่งเบียดเสียดทำนู่นทำนี่กันไป เราปลงตกและเห็นว่า มันเป็นเรื่องขำๆซะอย่างงั้น ผู้หญิงนมกลมโต ขาวๆ ใส่บิกินี่ร้องเพลง เดินว่อนไปมา นึกว่านั่งอยู่ฮาวาย แต่มืด...และแน่นอน ใครจะจับจะอะไรก็เชิญตามสะดวก แอบสงสัยว่ากูเป็นผู้หญิงจริงๆใช่มั้ย อย่างน้อยๆมันก็ไม่น่าจะต่างกันขนาดนี้ นมโตๆเต็มไปหมด มองไปมองมา ตาลาย ถามพวกมันว่าแล้วถ้าเข้าห้องน้ำล่ะ มันก็บอกว่า ก็ไปเข้าสิวะ กลัวอะไร เอ่อ...กูเกรงใจเค้าน่ะ ไม่รู้จะทำหน้ายังไง


พวกเรานั่งอยู่จนตีหนึ่งกว่า ก็มีห้องว่าง ถือว่ามาด้วยใจกันจริงๆ เริ่มร้องเพลงโดยเริ่มจากเพลงเกรงใจของแร็พเตอร์ ทันสมัยกันมากๆ เจ เจตริน คริสติน่า คาราบาว เพลงยุค 2540 ลงไป ถูกขุดขึ้นมาฟีเจอริ่งใหม่โดยพวกเราเอง ทำตัวเหมือนไส้เดือนโดนน้ำร้อนลวก ดิ้นจนกระดูกร้าวกันไปข้างหนึ่ง พวกเราทบทวนท่าเต้นในอดีต (อดีตใครอดีตมัน) สนานกันมาก ตอนนี้เราตัดสินใจแล้วว่า เอาเป็นว่ากูไม่นอนละกัน มาถึงขั้นนี้ วัดกันที่วัดไปเลย ว่าหมู่มารมันเอาชนะยากขนาดไหน ความสนุกอาจมาตกที่เรามากเป็นพิเศษ เพราะพวกมันสองตัวมาที่แบบนี้ ความสนุกของพวกมันอาจเป็นอีกแบบหนึ่งก็เป็นได้


ตอนเราออกไปเข้าห้องน้ำ บาร์ข้างนอก ได้แปลงร่างเป็นอะโกโก้ นมโตๆทั้งหลาย ได้ขึ้นไปดิ้นกระเจิงบนโต๊ะ พวกผู้ชายทั้งหมดก็แปลงร่างเป็นสัมภเวสีผีเปรต ยืนชูไม้ชูมือขอส่วนบุญอยู่เบื้องล่าง เห็นแล้วสยอง ฮ้า...ภาพจำลองของนรกชั้นอเวจี เดินผ่านนรกไปที่ห้องน้ำเด็ก ที่นี่จะจะไม่มีห้องน้ำหญิงหรอก มีห้องน้ำชายและห้องน้ำเด็ก ซึ่งอยู่คนละโซนกันเลย ก็พอจะเข้าใจนะว่า ทำไมมันอยู่ห่างกัน พอดีเราเป็นเพศเดียวกับเด็ก ก็เลยควรเข้าห้องน้ำเด็กมากกว่าห้องน้ำชาย ในห้องน้ำ...มีน้องๆยืนตัวเปียกปอนกัน ไม่ต้องห่วงว่าจะหนาว เพราะว่าเสื้อผ้าเปียกนิดเดียว ก็มันเป็นบิกินี่ เค้ายืนดูดบุหรี่ควันฉุย แมลงสาบแอบกินขนม อมลูกอมเสียจนแก้มตุ่ย ฮือๆๆ พยายามทำหน้าให้เป็นมิตรที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราเป็นคนเดียวที่แต่งชุดมิดชิด แถมเป็นชุดโรงงานอีกต่างหาก และหน้าตาเหมือนแม่บ้านมาก น้องๆเค้าคงกลัวเราจะเขิน เค้ายิ้มให้ แล้วก็ขอโทษเรา และขออนุญาตปะแป้งที่แก้ม เออ...มันช่วยได้มากเลยแฮะ เค้าก็น่ารักดีนะ ยังขำตัวเองอยู่จนถึงตอนนี้ พูดถึงแล้วหน้าแดง...


ตอนตีสามกว่า มีสองสาวจูงมือกันเข้ามาในห้องที่พวกเราอยู่ คนหนึ่งโนบรา และมีสติ๊กเก้อร์แปะอยู่ที่หัวนมเท่านั้น อุ...อึ้ง...เค้าก็คงอึ้งไม่แพ้กันที่มาเจอเรา ซึ่งเป็นเพศเดียวกันกับเค้า เรายิ้มให้ บอกเค้าว่าไม่เป็นไรค่ะน้อง เชิญตามสบาย อีหมีรีบหนีออกไปเลย เค้าบอกถุยว่า “ช่วยซื้อสติ๊กเกอร์แปะหน่อยค่ะ” เออ...อันนี้ฮาแฮะเพราะไม่เคยเห็น คือให้ซื้อสติ๊กเกอร์เลื่อมๆดวงเล็กๆ ดวงละร้อยบาท มาแปะที่ไหนบนร่างเค้าก็ได้


ถุยซื้อสติ๊กเกอร์สองดวงแล้วแหกปากเรียกเรา

“กาก้า มาแปะเลย ผมอยากเห็นคุณแปะ” อ๊าว...ไอ้เวรนี่ กูอยู่ของกูดีๆ


เราบอกมันว่า “เฮ้ย...มึงตามสะดวกเลย ไม่ต้องสนใจกู” หึหึหึ...มาถึงขั้นนี้แล้ว ยิ้มให้เต็มที่ เกรงใจน้องเค้า


ถุยไม่ยอม “ไม่...ผมซื้อให้ อยากเห็นคุณแปะ เร็วๆเลย อย่ามาลีลา” เหี้ยนี่...ใจก็กลัวว่าเค้าจะคิดว่าเราดูถูกเค้า เราเลยเดินไปใกล้ๆ ยิ้มให้ แล้วบอกว่า “ขอโทษนะคะ พี่จะแปะล่ะนะ”


พอเราพูดออกไปอย่างนี้ อีถุยรีบหันไปที่พื้นข้างๆเรา “ถุย...กาก้า...ถุยเลย”


เราตบหัวมันหนึ่งที แล้วพูดว่า “นี่..กูเป็นคนดีนะมึง” รีบขอโทษเค้าอีกครั้ง แล้วหลับหูหลับตาแปะไปที่นมโตๆของเค้านั่นแหล่ะ แล้วก็ขอบคุณเค้าด้วย ก่อนที่เค้าจะจูงมือกันออกจากห้องไป เราหันไปสรรเสริญถุย “เหี้ยเอ๊ย”


เราอยู่กันจนถึงเกือบตีสี่ แล้วก็กลับ เพราะผับปิด เมื่อยมาก อยู่ใกล้ๆห้อง แต่ให้ถุยไปส่งเพราะว่ากลัวหมาแถวๆนั้น ตอนไปถึงหน้าคอนโดมีหมานอนอยู่บนม้านั่งด้านนอก เราลงจากรถ


ไอ้หมีเปิดกระจกออกมา ตะโกนถามว่า


“ไหน...หมาตัวไหนจะรังแกพี่ พี่บอกผม ผมมีปืน ยิงแม่งไส้แตกเลย นี่แนๆ” ว่าแล้วมันก็ยิงปืนฉีดน้ำใส่หมาที่นอนอยู่ซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเลย พร้อมทั้งหัวเราะ ฮ่ะๆๆ ดังๆเหมือนตัวโกงในหนังจีน โห...โคตรจะเก่งเลยว่ะ น้องกู...โลกโลกียะจบลงที่ตีสี่นิดๆ แล้วเราจะลากสังขารไปวัดยังไงวะเนี่ย...อาบน้ำ นั่งพิงเตียงแล้วเผลอหลับไป...กระเป๋าก็ยังไม่จัด


เดี๋ยวขอต่อภาคจบ ซึ่งเป็นช่วงมารน้อยค้นหาโลกโลกุตตระในตอนต่อไปนะ


It’s me...

17 เมษายน 2555

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น