วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ไปขูดหินปูนมา 8-11-12




ได้เวลาทลายหินปูนในปากอีกแล้ว ก่อนที่มันจะเกิดปรากฏการณ์หินงอกหินย้อย หากตายไปอีกล้านปี มีมนุษย์อนาคตมาเยี่ยมชมกราบไหว้หินปูนที่ครอบฟัน ขอโชคลาภหวยออนไลน์ วิญญาณจะหลับไม่สนิทซะเปล่าๆ ก็เลยทำการกำจัดให้เป็นนิสัยจะดีกว่า

หึๆๆ...ความจริง พักหลังๆ เพื่อนๆ มักทักด้วยความหวังดีว่า "ปากเหม็นแล้วนะ" 
น้องชายตามมาด่าด้วยความไม่หวังดีว่า "มึงปากเหม็นนะเนี่ย รู้ตัวมั้ย" แล้วมันก็ทำหน้
ารังเกียจให้รู้ว่าเหม็นจริงๆนะ ไม่ได้โกหก

ว้า...ไม่ไหวแล้ว อ้างไม่ได้ซะด้วยว่า 'แค่ปากเหม็น ไม่ได้เป็นคนเลวซะหน่อย' เพราะปากเหม็น ทำให้ความมั่นใจหายไปหลายกระบุงโกย ไปทะลวงออกก็ได้วะ ก่อนไป น้องที่ทำงานถามว่า ขูดหินปูนภาษาอังกฤษเรียกอะไร เราบอกด้วยความภาคภูมิใจ "take calcium carbonate out!" แล้วก็อ้าปากหัวเราะใส่มันดังๆ 555 กรุณาอย่าจำไปใช้อย่างเด็ดขาด วินาศกันหมดแน่

ไปร้านหมอฟัน อย่างหนึ่งที่ยังไงก็ไม่ชินซักทีก็คือเสียงอุปกรณ์ขูดหินปูน จี๊ดๆกี๊ดๆวี้ดๆอี๊ดๆ ใส่ไม้ยมกอีกหนึ่งหมื่นอัน ระดมใส่หู จะไม่ฟังก็ไม่ได้ เมื่อไหร่เค้าจะเปลี่ยนเสียงให้เป็นเสียงนิ้งหน่องบ้างก็ไม่รู้ ให้มันน่ารักน่าฟังหน่อย วู้!...ออกมาจากร้านได้ปากสะอาดแต่เหมือนแถมบริการจั๊กจี๋หูให้ด้วย ยังจั๊กจี้ไม่หายเลย

ซ้ำวันนี้คิดอยากกินมะม่วงน้ำปลาหวานฝีมือตัวเองซะอย่างงั้น น้ำปลาหวานพอทำได้ แต่มะม่วงให้ปลูกเองที่สมุทรปราการนี่คงไม่ไหว เลยไปซื้อเค้า ปอกมะม่วงหั่นแล้วแช่ตู้เย็นไว้ ลงทุนเคี่ยวน้ำตาลให้เป็นน้ำเชื่อมข้นๆ เอาน้ำปลามาเทใส่ ล้างกุ้งแห้ง หั่นพริกขี้หนูเขียว เผ็ดมือว่ะ สุดท้ายต้องยืนร้องไห้น้ำตาคลอหน่วย เพราะโดนพิษหัวหอมโจมตี เรานี่ช่างใจอ่อนซะจริง แค่หอมสามหัวก็ทำให้น้ำตาไหลได้แล้ว แก้แค้นด้วยการสาดมันลงไปผสมกับทุกอย่าง แม่จะกินให้หนำเลย

ตอนนี้น่ะเหรอ ก็รอ 'กี่เพ้า' มาก่อน จะรอกินพร้อมพี่สมาร์ท เจ้าหมิงเทียน...สะสมแคลเซียมคาร์บอเนตใหม่...เจริญล่ะงานนี้!

It's me...
Kaka after cleaning plaque ^_^
8 พฤศจิกายน 2555

วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ครบรอบขวบปีที่ 35 ในชีวิต 24-10-12




ตื่นมาตี 5 นั่งขี้ตามปกติ สิ่งที่คิดเพิ่มขึ้นมาได้ในปีนี

- ความแก่มันไม่ปราณีใครเลย ยังไม่ทันได้ทำอะไรที่ชอบๆ เราก็เดินทางมาเกือบครึ่งชีวิตซะแล้ว (design ไว้ว่า...จะแก่ตายนะ) ชีวิตผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่เราเคลื่อนพลังความคิด ทั้งกายหยาบ กายละเอียดช้าเหลือเกิน

- เข้าใจชีวิตมากขึ้น แต่ละปีที่ผ่านไป ทำให้เรามองโลกอย่างเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น แยกแยะถูกผิดได้มากขึ้น เข้าใจได้
ว่ารอบข้างไม่ได้ประกอบไปด้วยโลกสีขาวหรือสีชมพูเท่านั้น มันยังมีสีดำ สีเทา มาปนๆอยู่เป็นระยะๆด้วย เราต้องเลือกที่จะให้มันกลืนตัวเรา หรือเราจะอยู่กับมันให้ได้โดยไม่เปลี่ยนตัวเอง ถ้ายังจากไปไม่ได้ ก็ต้องเลือกที่จะทุกข์หรือสุขให้เป็น

- รักบ้านเกิดมากขึ้นมากๆ ทุกครั้งที่มองเห็นพ่อ-แม่ที่แก่ตัวลงมากกว่าเราหลายสิบปี และทุ่งนาแปลงเล็กๆที่มีท้องฟ้าเป็นฉากหลัง แทบอยากจะทิ้งทุกสิ่งอย่างและถลากลับไปดูแลไม่แคร์สื่อ แต่ชีวิตก็ใช่ว่าจะง่ายนัก คงต้องใช้เวลาอีกเล็กน้อย เพื่อวางแผนและรอคอยสิ่งที่เหมาะสม 

-ถึงเพื่อนๆที่บ้านเกิด อย่าได้สงสัยว่าทำไมแทบจะไม่เคยเจอหน้าเรา เรากลับบ้านแต่ละครั้ง มีเวลาอยู่บ้านน้อยมาก แค่อยู่ดูแลพ่อแม่ (ดูแล = คุย) เวลาก็แทบจะไม่พอแล้ว เลยไม่เคยมีเวลาเหลือเผื่อเพื่อนฝูง อีกไม่กี่ปี่ข้างหน้า หากเราสามารถกลับไปได้จริงๆ กรุณาอย่าลืมเรานะ ช่วยต้อนรับขับสู้ตามสภาวะด้วย

- สำหรับเพื่อนๆที่นี่ที่ได้รู้จักกัน ไม่ว่าจะเป็น เพื่อน พี่ น้อง เราดีใจมากที่ได้รู้จักและสนิทกัน ได้โปรดอย่าทิ้งกันไป ถึงนานๆเจอหน้ากันที มันคงจะดีไม่น้อยหากอีกสิบปีข้างหน้า เราก็จะยังคงความสัมพันธ์นี้เอาไว้

- สำหรับเพื่อนๆมหาลัย สิบกว่าปีที่ผ่านมาคงจะพอยืนยันได้ว่าเรานั้นมันตื๊อขนาดไหน หากเพื่อนได้เข้ามาในสารบบของเราแล้ว คงจะยากกลับตัวกลับใจหันหลังจากเราไป เมื่อก่อนทุกคนตัวคนเดียว เดี๋ยวนี้อีกหลายๆคน มาเป็นครอบครัว ดีใจนะที่เจอกันตลอด ถึงส่วนใหญ่เราจะตบมือพร้อมกัน แต่เราขอบอกว่า เราเริ่มตบก่อนเสมอเว่ย...ขอชนะซักครั้งละกันวะ เป็นชัยชนะที่เบื่อมากนะ ใครก็ได้ช่วยมาทำหน้าที่แทนกูหน่อย

- สำหรับหมู่มารทั้งหลาย ทั้งที่มาเป็นตัวๆ และมาเป็นความคิด ก็อยากจะขอบคุณที่เข้ามาทำให้เราเข้มแข็งขึ้น มีความคิดความอ่านที่ดีขึ้น มีมุมมองที่มีมิติเพิ่มขึ้น ถึงแม้มันจะเป็นมิติมืดก็ตาม การที่เราขอบคุณ ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะอยากให้คุณอยู่กับเรานะ ความฝันของเราอย่างหนึ่งคือ สลัดพวกคุณไปให้พ้น กรรมใดๆที่เราเคยก่อกับคุณไว้ ไม่ว่าจะในภพชาติไหน รบกวนอโหสิกรรมให้เราเถอะ อย่ามาจองเวรกันเลย อภัยให้เราด้วย ช่วยปล่อยเราไปตามทางของเรานะ..นะ...นะ...เราไม่จองล้างจองผลาญใครหรอก ปากเราร้าย แต่ใจเราดีนะ...เชื่อเราเต๊อะ...

แด่กาลเวลาครบปีที่ 35 ของเราเอง

It's me...
Kaka...sometimes true, sometimes fault...
24 ตุลาคม 2555

อยากขอบคุณ...25-10-12




เขียนถึงประชาชีทุกคนที่แวะวนมาอวยชัยให้พรเรา จริงๆในปีที่ 35 ของชีวิตนี่ พบเจอเรื่องซวยๆสารพัด แทบจะนับไม่หวาดไม่ไหว ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เรื่องที่หาทางจัดการได้ด้วยมันสมองน้อยๆ และเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่รอคอยให้ดวงอาทิตย์ขึ้นและตกซ้ำๆ เพื่อบรรเทาให้ความรู้สึกแย่ๆจางหายไป 

โดยส่วนตัวเราเชื่อว่า "เวลา" คือพาหะที่ดี ที่จะพาทุกข์ใดๆไปจากตัวเรา แต่เราก็ต้องยกออกไปให้เค้าด้ว
ยนะ ถ้าเรายินยอมเก็บไว้ เวลาทั้งชีวิตก็ช่วยห่าอะไรเราไม่ได้ มันต้องคนละครึ่งๆ ถ้าไม่นับความแก่ที่เพิ่มขึ้น ก็ดีใจชะมัดที่อายุ 35 ปีซะที ไอ้ที่เค้าบอกเบญจเพสใหญ่ก็ตอนย่างเข้า 35 นี่แหล่ะ แหม...เราเคยค้านแม่ตัวเองเอาไว้ ว่าจะไปเชื่ออะไร้ มันอยู่ที่ตัวเราล้วนๆ ต่างหากเล่า

ที่ไหนได้...ทั้งปีที่ผ่านมา...จ๋อยสนิท ทุกข์ทั้งปวงได้มาแวะเวียนไม่ขาดสาย หลายอย่างในชีวิตเป็นเรื่องเลวร้ายที่ไม่เคยเจอมาก่อน และก็ไม่เคยคิดว่าจะเจอด้วย ก็ใช่ว่าเราจะอยากชิมอาหารทุกชนิดในโลกนี้ซะหน่อย นึกถึงคำ "พรหมลิขิตขีดเขี่ยให้เหี้ยเดิน..." แล้วก็อยากเอาหัวชนฝาเถียง แต่ก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ อย่างเดียวที่พอยืนยันได้ก็คือ เราไม่ได้เป็น "เหี้ย" แน่นอน

แล้วพอได้เวลา 35 เป๊ะ...เราก็ตะหงิดๆถึงลางร้ายทั้งหมดที่มันควรจะผ่านไปจากชีวิตเราซะที ตาซ้ายกระตุกแล้วกระตุกอีก ถึงแม้ว่าจะเป็นเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอหรือเส้นพลิกกูก็บ่สน ขอคิดเข้าข้างตัวเองไว้ก่อน มีดวงจิตมุ่งมั่นมาก ว่ามันต้องดีขึ้นแน่ ถึงจะมีครึ่งที่เป็นลิขิตของดวงชะตา แต่อีกครึ่งที่เหลือก็เป็นของเราอยู่ดีที่ต้องหาทางขีดเขี่ยให้เจอ

ผู้คนที่มาอวยพร ไม่ว่ามาจากเส้นทางใดๆ เรามีความสุขเช่นใด ขอให้ทุกคนมีความสุขมากกว่าอีก หน้าบานเป็นจานดาวเทียมกันไปเลย ถึงแม้เราจะทำให้ทุกวันเป็นวันดีเป็นศรีวันไม่ได้ แต่ก็ขอให้สะสมคูปองแลกความสุขให้ได้มากที่สุดละกันเน้อ....

ขอบคุณหลายๆ,คัมซาฮัมนีดาเด้อ
It's me...
Kaka walks to the 36th year...

ศัตรู...28-10-12




หึหึหึ...วันนี้มาร้ายยยยย...อยากลองเขียนความคิดและมุมมองที่มีต่อศัตรูดู ไม่รู้ว่าชาวประชาเค้าคิดยังไงกันบ้าง เคยมี 'ศัตรู' เป็นของตัวเองกันบ้างมั้ย พืชก็มีแมลงเป็นศัตรู สัตว์สารพัด...มันก็ยังมีศัตรูเป็นสัตว์อื่นที่ไม่ชอบหน้ากัน คนเราคงกลัวว่าจะน้อยหน้า ก็เลยต้องขอมีบ้างอะไรบ้าง เราก็เลยไม่รู้จะเรียกว่ามันเป็นธรรมชาติดีมั้ย

ส่วนของเรา...(แสดงความเป็นเจ้าของอย่างชัดเจน) เราอยากจะบอกว่า ไม
่เคยคิดอยากมีเล้ย ชีวิตนี้ มันน่าแปลกมาก อะไรที่ไม่ใฝ่หา...บางทีฟ้าก็เมตตาส่งมาให้ซะอย่างงั้น ถ้าเลือกได้นะ นอกจากโรคภัยไข้เจ็บที่ไม่ชอบ ไม่ถูกชะตาแล้ว ก็ไม่อยากมีศัตรูเป็นของตัวเองนี่แหล่ะ ชีวิตเราไม่ใช่คะน้าซะหน่อย ทำไมต้องมีเพลี้ยมาลงด้วยวะ

เราใช้ชีวิตปกติมนุษย์ตามที่ใครๆเค้าใช้กัน แต่ไม่รู้ทำไมทุกช่วงของชีวิต เราจะต้องได้รับออร่าดำของศัตรูอยู่เนืองๆ ที่จริงคือมีไม่เยอะหรอก มาทีละคนสองคน บางทีเราก็ไปหามา บางทีเค้าก็มาหาเราเอง แต่แสดงออกอย่างชัดเจนว่า "เก๊าไม่ใช่เพื่อนตะเองนะ เก๊าเป็นศัตรู จำไว้!" แล้วมันก็สะบัดตูดเชิดเพื่อไปหาทางกลั่นแกล้งเราในอนาคตต่อไป

แต่มันอาจเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งที่ถึงเราจะเป็นคนคิดเยอะ แต่เราไม่ใช่พวกทุกข์นิยม ตอนแรกคนพวกนี้จะตัวใหญ่มาก ไม่ใช่คนดีแน่ๆ เราบอกตัวเอง เค้าจะมาเต้นฟุตเวิร์ค แย้บๆ รอจังหวะล่ะมั้ง แล้วนานๆครั้ง ก็จะปล่อยหมัดเด็ด ทำให้เราโดนน็อคหงายหลังตึง หลายครั้งเหมือนกันนะ ที่เราต้องน้ำตาไหลเพราะความขี้แงของตัวเอง แต่โชคดีอีกอย่างของชีวิตก็คือมีมิตรแท้มากกว่าศัตรูหลายเท่าตัว (คิดว่าใช่นะ...น่าจะใช่แหล่ะ!) 

หลังจากนั้นเรามักจะมานั่งหาเหตุผลสำหรับการกระทำของเค้า คำตอบก็คือ...ไม่มีเหตุผลสำหรับสิ่งเลวร้ายหรอก บางทีเราก็บัญญัตินิยามของคำว่า 'เหี้ย' ไม่ได้ (ที่เขียนอย่างนี้ ต้องขอโทษ noun ที่เป็นตัวเงินตัวทองด้วยนะ เราไม่มีจิตเจตนาจะลบหลู่จริงๆ 'เหี้ย'ที่พูดถึงเป็น verb ล้วนๆเลย) 

คือบางอย่างมันก็ไม่อยู่บนพื้นฐานของความจริงด้วยซ้ำ คนพวกนี้เค้าจะมีจิตนาการของตัวเอง และแน่นอนว่าเราไม่สามารถเข้าถึงได้ เราจึงไม่สามารถอ่านเส้นทางของเค้าออก ว่าเค้าจะทำอะไรต่อไป บางทีเค้าก็แค่จิตหลอนบอกตัวเองว่าอีนี่มันเลวร้ายนะ เค้าก็แค่มีระบบอัตโนมัติที่ต้องหาทางทำให้เราเจ็บปวดก่อน...ไม่อยากบอกเลยว่า รู้สึกเข้าใจแต่ไม่อยากยอมรับ เพราะว่าสงสารตัวเองมากกว่า T_T

สิ่งที่ได้ทำลงไปในทุกๆครั้ง หลังจากที่เค้าเข้ามาทำใหญ่คับที่คับทางในความคิด มาเกะกะความรู้สึก และมันชักจะมากเกินไปแล้ว เราจะยืมไฟฉายย่อส่วนของโดเรม่อนส่องแม่งให้มันเล็กกระจิ๋ว และพยายามนั่งทบทวนตัวเอง ให้ความยุติธรรมกับศัตรูเหล่านั้น (หน่อยหนึ่ง) ว่าเราเองก็ไม่ดีใช่มั้ย อะไรที่เราควรทำ อะไรที่ไม่ควรทำ เราทำสิ่งที่เลวร้ายลงไปรึเปล่า ถ้าทำ...ก็ไปสำนึกผิด แล้วทางแก้ตัว (จริงๆเรียกแก้ไขนะ) ถ้าเปล่า...ก็แค่ปล่อยให้มันเป็นไป แล้วหลบหลีกดีๆ 

ที่สำคัญก็คือ หากเรามีเพื่อนอยู่รอบตัว ถึงแม้เราจะเล่าสารพัดเรื่อง แต่ก็ขอให้เล่าแต่เรื่องจริง อย่าสาดโคลน อย่าใส่ร้าย อย่าสอนสั่งให้คนรอบตัวเราเกลียดศัตรูของเรา คือให้มันไปเจอประสบการณ์ตรงเอาเองก่อน แล้วค่อยมาแชร์ความเจ็บปวดกัน ไอ้การเล่าสู่กันฟังนี่ พูดให้ถูกก็คือนินทานั่นแหล่ะ แหม...ก็พอนินทาแล้วแม่นเป๊ะรายละเอียด บวกประชดประชันอีกเล็กน้อย ก็เลยฟังเพลินเป็นฟังนิทานกันไปเลย

โบราณว่า "ศัตรูคือยากำลัง" อยากจะบอกเหลือเกินว่า บางทีเราก็ไม่ชอบกินยาหรอก ไม่ว่ามันจะมีคุณประโยชน์นานานัปการยังไง ก็ตอนกิน มันขมชะมัดยาด!

ใครที่เกิดมาจนป่านนี้แล้วไม่มีศัตรูเป็นของตัวเองนะแม่ง...โคตรจะโชคดีเลย...

It's me...
Kaka fighting!
28 ตุลาคม 2555

มันเป็นเรื่องของความคิดที่แตกต่าง...30-10-12





พาไอ้ปุ้ย เพื่อนรุ่นน้องไปตัดผม แต่ด้วยความที่ขี้เกียจนั่งรออยู่เฉยๆ ก็เลยตัดด้วยดีกว่า ตัดเป็นเพื่อนมัน ตัดเป็นเพื่อนกัน ดูรักเพื่อนดี ผมมันยาว ผมเราสั้น เราก็เลยต้องตัดแบบเจียมเนื้อเจียมตัวคือขอซอยเล็มๆนิดเดียว พอให้ความสนุกสนานเกิดแก่กบาลนิดหน่อยพอ ตอนนอนสระผมก็สนุกดี มีคนมาเกาหัวให้และต้องคอยลุ้นน้ำจากฝักบัวที่เค้าฉีดหัวว่าจะกระเด็นมาถูกหน้ามั้ย น้ำจะเข้าหูมั้ย เค้าจะบล็อคหูเราทันรึเปล่า คอเสื้อด้านหลังจะเปียกมั้ย ถึงต้องลุ้นทุกครั้ง แต่ก็เป็นขั้นตอนหนึ่งที่ชอบมากๆ ในร้านตัดผม

พอสระผมเสร็จก็มานั่งเก้าอี้ตัดผม เราก็แสดงความคิดในหัวที่แสนจะชัดเจนให้เค้าฟัง บอกเค้าว่า...ผมมันสั้นอยู่ ซอยนิดเดียวก็พอค่ะ เล็มๆให้มันเป็นทรงก็พอ (ปกติผมเราจะสั้นประมาณปาก แต่มันดูรกๆยุ่งๆตลอดเวลา เพราะไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่) แต่ข้างหน้าเอาเท่าคิ้วเลยนะคะ ไม่ชอบให้มันมาเกะกะลูกกะตา ที่เหลือเอาความยาวเท่าเดิมนะคะ พี่เค้าก็ตอบว่า...ได้ค่ะ เดี๋ยวจะไล่ตามทรงเดิมให้เลย ตัดออกนิดเดียว

เมื่อคิดว่าคุยกันได้เข้าใจ เราก็แสดงเจตนารมย์เพิ่มเติม คือหันข้างไปคุยกับไอ้ปุ้ย ไม่ดูกระจก พี่เค้าก็เลยหมุนเก้าอี้ให้ สนองความต้องการลูกค้าอย่างดี ไอ้ปุ้ยก็โม้ๆเรื่องดาราที่เรามักจะไม่รู้จัก ตอนนี้ยังจำไม่ได้เลยว่ามันพูดถึงใคร เรื่องแรงเงาเวอร์ชั่นแอน ทองประสม นู่นนี่นั่นอื่นๆอีกมากมาย ตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันมาพักใหญ่ 

อ๊ะๆๆ...ทำไมผมมันตกมาบนผ้าคลุมเยอะจังวะ หันกลับไปดูที่กระจก โอ้...อกอีแป้นจะแตก ผมหายไปหมดหูเลย ปล่อยหูกางๆบานออกมายิ้มแฉ่ง อีกแล้วหรือนี่...เจ็บและช้ำมากี่ครั้ง พลาดและพลั้งมากี่หน...พูดไม่ออก ทำได้แค่นั่งทำใจ ยิ้มให้กำลังใจช่างอีกต่างหาก ในใจจะร้องไห้อยู่แล้ว ช่างอาจไม่ได้สังเกตว่ามีควันออกจากหูเรา แต่หนึ่งอาชีพในโลกนี้ที่เราบอกตรงๆว่าไม่กล้าโวยวายเค้าเด็ดขาดคือช่างตัดผม เพราะเค้ามีหัวเราอยู่ในกำมือ แถมอาวุธครบมือแบบถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าตัดออกมาอุบาทว์กว่านี้ เค้าก็ไม่ผิดด้วย เราเลยพยายามตลก...นี่ถ้ากูใส่ตะเบงมานถือดาบซ้าย-ขวา ชะรอยแม่จะออกรบได้เป็นแน่แท้ทีเดียวเทียว ว้า...ไม่ได้ผลแฮะ!

ก็ตกลงกันแล้ว...ไหนว่าแบบเดิมไง ตัดนิดเดียว ซอยให้มันเป็นทรงเฉยๆ เค้าคิดว่าแบบเดิมคือแบบอยุธยาหรือไงนะ ตัดนิดเดียว...แต่นี่ตัดจนเหลือนิดเดียวเอง ซอยให้เป็นทรง...พี่เล่นซอยซะเป็นรองทรงเลย ตอนแรกมันก็เป็นความคิดของเรา พอตอนจบ ความคิดของเค้าก็ชนะเราขาดลอยซะอย่างงั้น ทำไมต้องแพ้เกือบทุกทีเลยวะ...ชิ!ฝากไว้ก่อนเถอะโอฬาร...

It's me...
Kaka new hairdo!
30-10-12

วันที่เลวร้ายจริงๆมันไม่มีหรอก...3-11-12





เมื่อวานเจอเรื่องที่หนักใช้ได้ เป็นเรื่องที่มาจากที่ทำงาน เราเกือบซวยเพราะความวู่วามของตัวเอง เราไปเขียนเมล์ด่าชาวบ้านอย่างเสียหายเพราะความโมโห จนโดนเขียนจดหมายร้องเรียน เราโดนสอบสวน เพราะเราไม่ยอมวางอุเบกขา เหตุร้ายจึงเกิด ทำให้ท้อ เหนื่อยและเข็ด แต่เราก็รอดมาได้ ด้วยความซื่อตรงและความกล้าของตัวเอง เกราะกำบังแทบจะอย่างเดียวที่คอยคุ้มครองกาย ทำให้เราไม่ต้องตายอย่
างไร้ที่กลบฝัง

เราได้ยินประโยคดีๆจากผู้ใหญ่ที่มาสอบสวนเรา เค้าตำหนิในสิ่งที่เราทำผิด แต่เค้ากลับชมในสิ่งที่เราเป็น เค้าบอกว่า "บางทีเราก็ไม่ได้อะไร จากคนที่แก่กว่าเราหรือเป็นหัวหน้าเราเลย แต่กลับเรียนรู้ได้จากคนที่อายุน้อยกว่าเรา" เค้าขอให้เรารักษาข้อดีของตัวเองที่เค้ามองเห็นอันนั้น อย่าได้ท้อ...การอยู่ในสังคมด้วยความคิดที่เรามี เค้าบอกว่าเค้าเข้าใจว่ามันยากมาก แต่มันก็เป็นข้อดีของเรา เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ควรทิ้งข้อดีของตัวเอง ควรรักษาไว้...

แต่มันเหนื่อยมากเลยนะ ในบางครั้งการพยายามทำในสิ่งที่ถูก มันไม่ได้หมายความว่าปัจจัยรอบตัวมันจะเอื้ออำนวย ผู้คนจะเห็นด้วยและเออออ บางทีมีมือมีดยืนรออยู่โทนโท่แต่เราดันตาถั่วมองไม่เห็นซะอย่างงั้น เมื่อก่อนมีเพื่อนฝูงมากมายเป็นเกราะกำบังคุ้มภัยช่วยดูเป็นหูเป็นตาให้ อย่างที่เคยบอกว่าวันหนึ่งโชคชะตาก็เทผู้คนออกไปให้อยู่ในที่ที่เหมาะสม วันนี้ยืนเป็นกระบี่เดียวดาย ถามตัวเองว่าเราจะเอาไงดี

ตอนนี้เรานึกถึงอย่างหนึ่งที่เคยอ่านเจอ เค้าบอกว่า "บางคนพยายามปีนเขาแทบเป็นแทบตาย เพื่อสุดท้ายมาพบว่าตัวเองปีนเขาผิดลูก" กรณีเราแค่คล้ายๆกัน คือไม่เรียกว่าแทบเป็นแทบตายนะ เราเดินเรื่อยๆ สำรวจเขาลูกนี้มา 12 ปี ได้พบเพื่อนร่วมทางดีๆเยอะเลย ตอนนี้เค้าลงเขาหมดแล้ว เราก็เหนื่อย ภูเขาลูกนี้ไม่สนุกแล้ว ถ้าอยู่ต่อเราจะล่าอะไรได้อีกนิดหน่อยแล้วก็จะกลับบ้าน ถ้าลงจากเขาซะ...ก็ต้องไปขึ้นลูกใหม่ หาล่าอะไรอีกซักพักก่อนเดินทางกลับบ้านเหมือนกัน...

มุมมองอีกด้านในใจคือ ความจริงแล้วทุกอย่างที่เกิดกับเรา ล้วนให้บทเรียนกับเรา อยู่ที่เราจะมองเห็นมั้ย ถ้าเรามองหา เราจะมองเห็นแน่ มันจะมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นเสมอ หลังจากเรารอให้ความคิดมั่วซั่วตกตะกอน เหลือบทเรียนที่ใสแจ๋ว นำไปใช้ได้ในการเผชิญเหตุการณ์เลียนแบบในภายภาคหน้า หนังสือ "ประสบการณ์ของเรา" ที่มี "บทเรียน" มากมาย เป็นฮาวทูที่อยู่ในสมอง นำมาใช้ได้ในยามที่ต้องการ

สิ่งที่สำคัญมากๆอีกอย่างคือการเก็บเพื่อนร่วมทางนะ เพื่อนที่แวะเข้ามาหาเราในแต่ละช่วงเวลา มันจะมีค่าเสมอ...ถ้าเราเห็นว่าดีและรักษาพวกเค้าไว้ มันจะไม่มีค่าเลย...ถ้าเราเห็นว่าดีแต่ปล่อยให้พวกเค้าจากเราไป 

ถ้าเราทำได้ดี ทุกครั้งที่มีปัญหา โชคชะตาจะเมตตาเรา ส่งเพื่อนๆให้วิ่งเข้ามาหาเราโดยบังเอิญ เอาเบาะนุ่มๆมารองไว้ ทำให้เราไม่เจ็บตัวมากนัก ทำให้เรารู้ว่าวันที่เลวร้ายจริงๆน่ะ มันไม่มีหรอก...

แด่เพื่อนๆที่พากันเอาเบาะมารองรับเราเมื่อคืนนี้...ขอบคุณหลายๆ...
It's me...
Kaka beloved!
3 พฤศจิกายน 2555

ฮ็อบบิตจงเจริญ...(เติบโต) 4-11-12





มักจะนึกถึงเรื่องนี้ได้ตอนไปดูหนัง สำหรับเรา สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นอย่างหนึ่งในโรงหนังและมันมักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอก็คือ คนตัวสูงๆมันชอบมานั่งหน้าเรา หัวมันจะโผล่พ้นเก้าอี้ออกมาเป็นครึ่งวงกลมดำๆ ทำให้จอหนังสี่เหลี่ยมของเราแหว่งตรงนี้พอดี เราสุดจะสงสัย หลายครั้งหลายหนที่เรานั่งอยู่ก่อน แล้วแถวข้างหน้าเค้ามาช้า มากันหลายคน เกือบทุกครั้งคนตัวสูงมันจะมานั่งหน้าเรา ไม่รู้อะไ
รดลใจมัน ล่าสุดโดนสองเรื่องติดคือเรื่องยักษ์ กับ 007 แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดเค้า เราก็เลยไปบอกใครให้แก้ไขไม่ได้ ครั้งสุดท้ายนี่ เราถึงกับสแกนทุกหัวในโรงหนัง เรานั่งหลังสุดมองเห็นทุกแถว ปรากฏว่าหัวที่อยู่หน้าเรานี่แหล่ะสูงที่สุดแล้ว ในบรรดาหัวทั้งหมด ฮึ่ย...

เราก็เลยเห็นจอแบบไม่เต็มจอ ถ้าเป็น eng. soundtrack ก็ต้องเอียงตัวอ่านเอา มันแหว่งไปหน่อยหนึ่งตรงหัวมันพอดี ซึ่งถ้าจอหนังมันแหว่งแบบนี้มาตั้งแต่ต้น ทุกคนได้เห็นจุดบกพร่องนี้เหมือนกับที่เราเห็น ก็คงจะรู้สึกดีไม่น้อย เพราะทุกคนคงจะรู้สึกตะหงิดเท่าๆกัน คืออยากมีความสุขบนความทุกข์ของชาวบ้านบ้าง แต่ความเป็นจริงมันตรงกันข้าม มีแต่เราและฮ็อบบิตด้วยกันเท่านั้นแหล่ะที่รู้สึกอย่างงี้ และหัวเราก็ไม่เคยโผล่พ้นเก้าอี้ไปแก้แค้นใครได้เลยด้วย ใช่สิ...บางคนคงนึกว่า มันมีด้วยเหรอวะ ปัญหาแบบนี้เนี่ย...

อยู่ๆปมน้อยในใจมันก็เริ่มคลายออกมาเพื่อเคลียร์ตัวเอง มีอะไรบ้างวะ ที่เราเสียเปรียบเพราะเกิดมาเตี้ยตะแมะแคะ เราชอบโดนล้อ อันนี้โดนจนชิน ไม่เจ็บนะ...แต่จำ...

บางคนถามส่วนสูงเรา “เฮ้ยๆ...เตี้ยเท่าไหร่เหรอ”

พี่ชายและน้องชายชอบล้อว่า “เตี้ยหมาตื่นฯ” เวอร์ชั่นเต็มคือ “เตี้ยหมาตื่น กลางคืนหมาหอน เตี้ยไม่นอน หมาหอนตลอดคืน” แหม...สนุกจริงๆ (หมายถึงพวกมันนะ)

บางคนถามว่า “อากาศข้างล่างเป็นไงบ้างวะ หายใจสะดวกเหมือนข้างบนมั้ย”

บางคนเล่นแรง “ไปสอยมะเขือให้หน่อย อย่าลืมเอาเก้าอี้ไปรองนะ” เวร...

เวลาเล่นกัน บางครั้งจะโดนเพื่อนหรือน้องชายล็อคหัวไว้ คือเอาอุ้งมือจับหัวเรา ยืดออกไปให้สุดแขนมัน เราก็จะสู้ไม่ได้เพราะแขนขาเราสั้นกว่า ถ้าเราดิ้นรน จะเป็นที่สนุกสนานมาก...

ตอนอยู่ในมหาลัย ก็จะไม่ค่อยโดนล้อแล้ว อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณการเอาตัวรอดดี รีบหาปมด้อยคนอื่นมาล้อก่อน เรื่องความเตี้ยของเราก็เลยตกเป็นประเด็นรองไป ใครเค้าล้ออะไรกันก็รีบชงรีบยิงไปที่คนอื่น อย่าให้มันเหลือเวลามาฆ่าเรา หากินบนความทุกข์ของคนอื่นมาโดยตลอด บางคนหนาวตลอดเลย "ฟันออกปาก" แต่แข็งแรง "ฟันแทงไม่เข้า" บางคนร่างกายกำยำ ยากจะจำแนกด้วยสายตาว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง แต่บัตรประชาชนบอกว่ามันเป็นนางสาว พวกเราก็ต้องเชื่อเอาตามนั้น บางคนอ้วนเกินร้อยกิโล ทั้งที่เคยผอมและรูปหล่อใช้ได้ตอนมัธยม (ที่พวกเรายังไม่เจอมัน) บางคนมีเรื่องโกหกพกลมเลวร้ายมากมาย ที่ไม่มีใครรู้นอกจากพวกเราที่เป็นเพื่อน บางคนทำตัวไร้สาระอย่างจริงจัง บางคนจีบสาวไม่เจียม สารพัดเรื่องมากมายที่จะล้อเลียนหรือกลั่นแกล้งกัน มันก็เลยไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องหลักที่จะมาล้อเรื่องความกระทัดรัดของเรา เพราะปมอื่นมันน่าสนใจกว่ามาก

เราจะโดนแขวะบ้างก็เวลาที่จะหยิบอะไรสูงๆแล้วหยิบไม่ถึง ต้องให้เพื่อนช่วย หรือเวลาที่ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์หรือยืนหลังเพื่อนตัวสูงๆแล้วคนอื่นมองไม่เห็น ก็เรามันตัวเล็กกระจิ๊ดริด เพื่อนทุกคนก็ตัวใหญ่กว่าเราหมด บางคนนี่สูงเกือบ 190 เซ็นเลยนะ เราก็ไม่เข้าใจว่ามึงจะสูงขนาดนั้นไปทำไม เพื่อนคนนี้เคยบอกเราด้วยหลักการทางสถิติแบบมั่วๆของมันเองว่า มันเป็นเปอร์เซ็นไทล์ที่ 95 คือมีคนแค่ประมาณ 5% เท่านั้นแหล่ะที่สูงกว่ามัน ส่วนเราเป็นเปอร์เซ็นไทล์ที่ 5 คือมีคนแค่ 5% ในโลกนี้ที่เตี้ยกว่าเรา แอบแค้นโดยจิตใต้สำนึก เป็นชั้คกี้ถือมีดรอเสียบมันอยู่ มันบอกเราด้วยว่า มันสูงกว่าเราสองขวดน้ำ มันน่าภาคภูมิใจที่ตรงไหนวะ

มีครั้งหนึ่งตอนก่อนที่เราย้ายเข้ามาอยู่คอนโด เราให้ช่างมาติดตาแมวที่ประตูให้ (ตาแมว ก็คือ เลนส์เล็กๆที่เอามาเจาะติดกลางประตู เพื่อให้เรามองเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างนอก แต่เค้ามองไม่เห็นเรา) แล้วก็ให้เค้าติดเครื่องทำน้ำอุ่นให้ด้วย ช่างและเราไม่เคยเห็นหน้ากัน ตอนนั้นห้องเป็นห้องเปล่า ยังไม่มีอะไร เราบอกนิติบุคคลที่ดูแลอาคารเอาไว้ ให้ช่างเข้ามาติดตอนที่เราไม่อยู่ แต่เราเขียนโน้ตทิ้งไว้ที่ประตูว่า ให้ติดที่ความสูง 145 เซนติเมตร แล้วเราก็ลอยชายไปทำงานตามปกติ อย่างไม่คิดอะไรมาก

ตอนกลางวัน มือถือก็ดัง “ผมเป็นช่างอาคารนะครับ จะเข้ามาติดตาแมวให้น่ะครับ”

เราก็ยินดี “อ๋อ...ตามสบายเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ” ว่าแต่มันโทร.มาทำไมวะ กุญแจห้องก็อยู่ที่นิติฯนี่นา ก็น่าจะเข้าห้องได้

ช่างบอกว่า “คือผมเห็นเขียนไว้ว่าให้ติดสูงจากพื้น 145 เซน มันจะดีเหรอครับ”

เราก็ไม่อยากเท้าความอะไรมากก็เลยบอกไปว่า “ดีค่ะ ติดไปตามนั้นเลยค่ะ”

ช่างยังไม่มั่นใจ “เวลาดู พี่จะต้องก้มนะ ติดเท่านี้มันจะไม่เตี้ยไปเหรอครับ” โถ...พ่อคู้ณ ห่วงใยกัน...มึงมาเหยียบกูเลยดีกว่า

มันไม่ใช่ความผิดเค้านี่เนาะ จะไปโทษใครได้นอกจากตัวเอง “เอ่อ...คือแบบว่า เราเตี้ยอ่ะค่ะ สูงแค่ร้อยห้าสิบสองเอง”

ช่างบอกว่า “ผมติดให้ที่ 150 แล้วกันนะครับ เดี๋ยวพี่จะดูลำบาก” เปิดเผยขนาดนี้แล้วเค้ายังไม่อยากจะเชื่อกูเลย

“เอ่อ...งั้นก็ได้ค่ะ” กูยอมเงยดูนิดหน่อยก็ได้วะ ขี้เกียจจะอธิบาย

กลับไปเย็นนั้น ถึงได้เจอหน้าช่าง แม่งเอ๊ย...ให้ตายเถอะโรบิ้น อีช่างสูงมากกว่า 180 เซนติเมตรจากระดับน้ำทะเลแน่นอน คิดในใจ เดชะบุญมากที่กูคาดการณ์ปัญหาล่วงหน้าแล้วเขียนโน้ตไว้ ไม่งั้นแม่คงได้เอาเก้าอี้มาปีนดูตาแมวแน่ๆ เค้าบอกว่าเดี๋ยวจะพาเราไปเช็คงานนะ เค้าก็พาไปดูตาแมวแล้วถามเราว่า “มองได้มั้ยครับ” มันก็ต้องได้อยู่แร้วววว

แล้วเค้าก็ทำร้ายเราด้วยคำถามสายฟ้าฟาด “พี่ลองดูเครื่องทำน้ำอุ่นหน่อยครับ ไม่รู้ว่าเปิดถึงมั้ย” เราเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างเศร้าสลด เดินไปดูความสูงของการติดตั้ง โอเคว่าเปิดถึง...แบบว่าสุดเอื้อมพอดีเลย รู้สึกว่าตัวเองเป็นตุ๊กตากระต่ายที่โดนมิซาเอะแม่ชินจังซ้อม ยังจำคำพูดเค้าได้อยู่เลย ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว เล่าให้น้องชายฟัง จำได้ว่ามันตลกมาก

ที่คอนโดมีสระว่ายน้ำ ในสระผู้ใหญ่ตื้นสุดที่ 135 ซม. เราเอาหัวโผล่พ้นคางพอดี ลึกสุดที่ 166 ซม. เราว่ายน้ำไม่เป็น น้องชายล้อว่า "ตื้นขนาดนี้ มึงยังจมได้อยู่เลยว่ะ" แล้วก็หัวเราะร่า แหม...ตลกจริงๆเลย

เรามีเพื่อนรุ่นน้องที่ทำงานคนหนึ่ง มันโดนล้อเป็นประจำโทษฐานที่หัวล้านผิดปกติ มันมักทำตาค้อนแล้วย้อนว่า "คนหัวล้านก็มีหัวใจนะฮะ" วันนี้อยากยืมคำมันแล้วตะโกนใส่หน้าผา ให้เสียงสะท้อนก้องไปทั่วๆว่า “ถึงกูจะเตี้ย...แต่กูก็มีหัวใจนะ...นะ...นะ...นะ”

แต่ลืมไปว่า ทุกครั้งที่มันตัดพ้อ ก็ไม่เห็นมีใครสนใจหัวใจมันซักคน....

รอวันฉันเอาคืน...
It’s me…
4 พฤศจิกายน 2555