ปลายเดือนที่แล้ว ขณะนั่งถอนหายใจทิ้งอยู่ดีๆ ก็มีเบอร์โทรศัพท์แปลกๆ โทรเข้ามาที่มือถือ พอกดรับ ปรากฏว่าบักบอมโทร.มารายงานตัวว่าเดือนตุลาจะโล้สำเภากลับมาเยี่ยมบ้านเกิดเมืองนอน โดยจะมากันหมดบ้านเลยทีเดียว เท่าที่เรารู้ ก็ประกอบไปด้วยแม่มัน ตัวมัน มิซาเอะเมียมัน ลูกชายมันชื่อโรม่า และเร็น และน้องชายมันอีก 1 คน และมันก็อยากเจอเพื่อนๆ ช่วยนัดให้หน่อยได้มั้ย เราก็เออออห่อหมกกับมันไปเพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจเพื่อน แต่หันกลับมาทำร้ายจิตใจตัวเองแทน กูจะนัดยังไงวะเนี่ย มีครอบครัวกันไปหมด ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอีท่าไหน เพราะหลังๆนี่ชักจะยากขึ้นที่จะทำให้ทุกคนเกิดนิมิตคิดถึงเหล้าไหเก่า วันเราเคยมีกัน มีแรงบันดาลให้อยากเจอเพื่อนๆขึ้นมา แล้วก็รีบย้ายร่างมาเจอกันในทันใด เฮ้อ...แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว
สิ่งที่ทำได้คือปล่อยเมล์ออกไปหาเพื่อนๆ แจ้งวันที่ต้องการให้เพื่อนมารวมตัวกัน ส่วนสถานที่ก็ให้ช่วยกันคิด หลังจากปล่อยเมล์ออกไปแล้ว ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่คาดหมาย คือได้รับความนิยมเกือบเป็นศูนย์ มีคนตอบรับมาสองสามคน จากที่ฝันไว้ว่าจะละเหี่ยใจ ความฝันก็กลายเป็นจริง โคตรจะละเหี่ยใจเลย ขี้เกียจโทร.หาทุกคนอย่างมาก
แต่ดีมากที่ไฝมันไม่ท้อแท้ มันไปสร้างเรื่องเชื้อเชิญเพื่อนๆใน Facebook แล้วพอเราคุยกัน บ้านไฝมีความพร้อมจะต้อนรับเพื่อนๆแน่นอน เราก็ค่อยมีความอยากจะโทร.หาเพื่อนๆ เพิ่มขึ้นมา สุดท้ายเลยได้รายชื่อมาจำนวนหนึ่ง ซึ่งก็ดูพอที่จะคุ้มค่าต่อการเจอกันหนึ่งครั้ง แม้แต่บักฮัทซึ่งอยู่หนองคาย เราไปเขียนสั้นๆใน Facebook ว่า “สำหรับบักฮัท...ถ้าไม่มา คงรู้ใช่มั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้น” สั้นๆแค่นี้ โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรมาก ให้มันไปหลอนเอาเอง ฮัทตอบรับเสียงเรียกทันที ด้วยการโทร.มาถามว่าวันไหน ยังไง โดยไม่มีการอิดออดว่าไม่อยากมา หรือมาไม่ได้ อย่างงั้นอย่างงี้ อยากจะชาบูชาบูนายมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ด้วยหัวหมูซักหัว ที่ได้เป็นบิดาแห่งการสร้าง Facebook มาให้เราใช้สอยโดยไม่คิดตังค์ (เรา) ซักบาท ชาบูชาบู โซเชียลเน็ทเวิร์ค
สำหรับบักฮัท....นึกถึงแล้วยังฮาอยู่เลย...ขอชมเชยเล็กน้อยว่าเค้าก็เป็นนายแสนดีเหมือนกันนะ (ถ้าตัดความเหี้ยออกไป) ดูท่าว่าจะอยากเจอเพื่อนอยู่ในทุกครั้งจริงๆ ไม่ว่าจะมาได้หรือมาไม่ได้ และในครั้งนี้น่าจะสำคัญกว่าครั้งอื่น เพราะต้องมาประกาศข่าวสละโสดในเดือนธันวาที่จะถึงนี้ด้วย ช้าหน่อยนะสำหรับพ่อหนุ่มคนนี้...ก็กว่าจะตัดสินใจได้ว่าจะชอบข้างหน้าหรือข้างหลังดีนี่นา...โทษเค้าไม่ได้หรอก...เค้ามีทางเลือก
เรานัดกันวันเสาร์ที่ 13 เที่ยงวันยันเที่ยงคืนที่บ้านไฝ คนที่แสดงความชัดเจนว่ามาไม่ได้ก็คือบักตู่ เพราะตู่บอกว่าเจี๊ยบจะคลอดเดือนนี้ นอกจากจะไม่มาแล้ว ตู่ยังจิ๊กลิ๊กไม่เลิก มันบอกว่าต้องการให้เราตั้งชื่อให้ลูกมัน ทั้งๆที่เราก็รู้อยู่ว่ามันไม่ใช้ชื่อที่เราตั้งให้หรอก แต่เราก็อยากเห็นหลานมีชื่อเท่ๆนะ เด็กสมัยนี้จะมาให้ชื่อนายสมชายอะไรมันก็ใช่ที่ ตู่จะมีลูกชาย เราร่วมส่งชื่อเข้าประกวดดังต่อไปนี้ มรรค, มรรคา, เมฆา, เวหา, มัชฌิม, พุทธ, คุณธรรม, ภัทร, ธรรม, ธรรมินทร ฯ โดยให้เหตุผลและคำแปลของแต่ละชื่อไปด้วย เพราะในกรณีที่โง่มากอาจแปลไม่ออกได้ ทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่ใช้ชื่อพวกนี้ แต่เราก็ยังตั้งใจทำส่งไปให้ หลายวันผ่านไป มันบอกได้ชื่อเล่นว่า “อิงแลนด์” เราถามว่าอะไรนะ จะให้คนอื่นเรียกชื่อลูกยังไง ถ้าเค้าไม่เรียกสองคำ แต่เรียกคำเดียวว่า “แลน” ล่ะ จะไม่รู้สึกอะไรเหรอ “น้องแลนๆ” ฟังดูทะแม่งไปมั้ย จะเอาจริงๆใช่มั้ยเนี่ย เราพูดไปหัวเราะไป ถ้าบักตู่มันทำได้ มันคงส่งตีนถีบเรามาทางโทรศัพท์...
กอรี่ก็มาไม่ได้ ก็ไม่ได้บอกเหตุผลอะไร แต่อย่างน้อยก็บอกเลยว่ามาไม่ได้ ก็โอเคนะไม่ได้ว่าอะไร เพราะมันก็ชัดเจนดี แต่คนที่มีปัญหาทั้งๆที่ไม่น่าจะมีคือบักแห้ว เราไม่โทร.หามัน โดยมอบหมายหน้าที่อันน่าเบื่อนี้ให้ฮัทไป ฮัทก็ไปถาม แล้วมาบอกเพื่อนๆว่า แห้วมาได้นะ แต่พอถึงคืนหมาหอนก่อนวันเจอกัน บอมโทร.หาเราบอกว่า “แห้วมาไม่ได้แล้ว อย่าไปด่าเพื่อนล่ะ!” เราเลยงงว่าเกิดอะไรขึ้น บอมอธิบายให้ฟังว่า แห้วบอกว่า มันต้องนั่งรถตั้ง 7-8 ชั่วโมง เพื่อมาเจอเพื่อนแค่ 2-3 ชั่วโมงนี่นะ มันจะใช่เหรอ แห้วบอกอีกว่า ติ๊กก็อยู่ได้แค่ 2 ชม. เอ้ก็เหมือนกัน เหมือนตู่ขับรถมางานแต่งงานไฝ มาถึงเจอกันนิดเดียวแล้วก็กลับ เราถามว่า บักแห้วมันไปเอาเรื่องติ๊กกับเอ้มาจากไหน ไม่เห็นพวกนั้นมันว่าอะไร แล้วจริงๆมันก็ไม่น่าเดือดร้อน เพราะคนขับรถมาคือบักฮัทต่างหาก มันก็แค่นั่งมาด้วย เท่าที่รู้...ฮัทมันไม่เห็นจะบ่นอะไรซักคำ บอมบอกว่า “เอาเหอะน่า ปล่อยมันไป กูแค่มาจากออสเตรเลียเอง” ฟังแล้วมันจี๊ด สะกดตัวเอง ไม่ให้โทร.ไปด่ามัน แต่มันอ้างถึงบักตู่ด้วย คิดว่ามันน่าจะไปคุยอะไรกับบักตู่มา ก็เลยโทร.ไปถามบักตู่ดีกว่า
ตู่บอกว่าบักแห้วโทร.ไปหามันจริงๆนั่นแหล่ะ คิดว่าไม่ได้โทร.ไปถามอะไรหรอก โทร.ไปหาพวกมากกว่า ประมาณว่า ถ้าจะเจอกันก็ต้องหลายวัน จะให้มันนั่งรถมาตั้งนานเพื่ออะไร ตู่อธิบายให้ฟังว่ามันขึ้นอยู่กับเรา ก็แค่ไปเจอกันหน่อยหนึ่ง อย่าไปหวังว่าจะอยู่ด้วยกันนานแสนนาน เพราะทุกคนก็มีเหตุผล มีครอบครัวกันเกือบหมดแล้ว เราเลยบ่นๆกับตู่ว่า เที่ยงวันยันเที่ยงคืนนี่มันแป๊บเดียวตรงไหนวะ แล้วมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเราจริงๆนะ
บอกตู่ว่า “ตอนพ่อมึงตายยยยย...กูไม่มีรถด้วยซ้ำ ต้องนั่งรถทัวร์ดั้นด้นไป กูไม่เคยคิดว่าตัวเองจะลำบาก กูก็แค่รู้สึกว่าอยากเจอ ควรเจอ กูก็ไป”
บักตู่สวนกลับว่า “มึงช่วยยกตัวอย่างอื่นได้มั้ย อย่าเอาเรื่องพ่อกู!”
เราก็เลยจัดให้ “ขอโทษๆ ได้ๆ เอาใหม่นะ ตอนพ่อบักอ้วนตายยยยน่ะนะ...” คำพูดข้างหลังนอกนั้นเหมือนกันหมด บักตู่ก็โอเคกับตัวอย่างใหม่ที่เราบอกมัน
เราไม่เคยมีความรู้สึกอย่างมัน ที่จะเอาความรู้สึกตัวเองมาเล่นกับความรู้สึกคนอื่นๆอีกหลายคน ทำให้เค้าเสียความรู้สึก เราก็เลยรู้สึกไม่เข้าใจความรู้สึกมัน จะมาเล่นอะไรกับความรู้สึก จะอะไรกันนักกันหนา กะอีแค่นั่งหลับมาจากกลางคืนจนสว่าง ตู่บอกว่า บักแห้วมันน่าจะหึง “กบ” แฟนบักฮัท เพราะฮัทมันพาแฟนมาด้วย แล้วก็ไม่อยากให้แม่ฮัทนั่งรถมาด้วย แห้วมันว่า จะให้มันนั่งรถไปกะเค้าได้ไง แม่เค้าก็ไป แฟนเค้าก็ไป...เอาเข้าไป แฟนพี่เค้ามึงก็รู้จัก ยิ่งแม่พี่เค้านี่ไม่ต้องห่วงเลย มันมากกว่าคำว่ารู้จักอีก เค้าเห็นมึงมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ฝัน...ยังไม่เป็นด้วยซ้ำม้าง...
เราบอกบักตู่ว่า เราเคยไปหาเพื่อน แล้วเพื่อนไม่อยู่บ้าน เรายังไปนั่งคุยกับแม่เค้าเป็นชั่วโมงเลยกว่าจะกลับ โดยไม่เจอเพื่อนด้วยซ้ำ
“จะเป็นอะไรวะ แม่เพื่อนก็เหมือนเพื่อนเราแหล่ะ คิดอะไรมาก”
บักตู่หัวเราะงงๆ ถามเราว่า “มึงคิดงั้นจริงเหรอวะ”
“เออสิวะ แม่มึง กูก็คุยได้ ถ้าแม่มึงคุยกะกูได้ กูก็คุยกะเค้าได้ แม่บักอ้วน กูก็คุยได้ จะไปกินข้าวกะกู กูดีใจด้วยซ้ำได้รู้จักครอบครัวเพื่อนหมดเลย มันไม่เห็นมีอะไรเป็นปัญหาของเราเลย” ปัญหาเป็นของผู้ใหญ่ต่างหากที่ต้องรับมือเราให้ได้ เพราะเราเป็นเพื่อนลูกเค้า ตัวเราก็ทำตัวตามสบายไป ง่ายจะตายห่า...ต่อให้เอาแม่พวกมึงทั้งหมดมาเรียงหน้ากัน กูว่าก็คงไม่ยากเย็นอะไร ถ้ากูรับมือแม่ตัวเองได้แล้ว แม่คนอื่นนี่กูไม่ลำบากแน่นอน
ส่วนตัว “กบ” แฟนบักฮัท เค้าออกจะเป็นนางสาวชูใจ ทำให้เพื่อนเรารู้คุณค่าความเป็นชายขึ้นมาได้ รู้จักทำตัวเป็นนายแสนดี ต้องขอบคุณเค้าด้วยซ้ำ คิดว่าเค้าจะมาแย่งความรักตัวเองได้ยังไงวะ แม่ง...เวรจริงๆ ไม่ได้ด่าบักแห้วให้มันได้ยินเลย แต่บักตู่คงหูชาไปหมดแล้ว ส่วนเรื่องติ๊ก ถ้ามันมาไม่นานแล้วขอตัวกลับ เพราะปุยแพ้ท้อง ไม่สบายน่ะ ก็ไม่เป็นไรนะ ก็เข้าใจได้ ก็ติ๊กมันทำปุยท้อง มันก็ต้องรับผิดชอบสิวะ ถึงจะเป็นลูกผู้ชาย (แต่นึกเหรอว่าจะได้กลับง่ายๆ) ส่วนเอ้ ถ้ามันกลับเร็วก็เข้าใจได้ ก็ไอ้ลูกลิงมันยังเล็กอยู่นี่หว่า สรุปว่าข้ออ้างของบักแห้ว ฟังแล้วไม่เข้าหูเราเลย
ผ่านไปสองหน้ากว่า เพื่อนๆก็ยังไม่มาเจอกันซักที คงต้องตัดตอนออกบ้างแล้ว...
สรุปว่า เรา ตาล หลิว ตกลงกันว่าหลังจากงานเลี้ยงเลิกรา เราก็จะนอนค้างที่บ้านไฝ เอาฤกษ์เอาชัยกัน เราบอกบักเอ้ไว้ว่าจะไปกับพวกมัน ได้แก่ เอ้ ฝน พัตเตอร์ และปุ้ยซึ่งจะลากสังขารมาจากชลบุรีก็บอกว่าจะไปด้วย ถึงเวลาเช้าวันเสาร์ เราตื่นนอนมาอ่านหนังสือเพลิน จนแปดโมงกว่า ถึงไปอาบน้ำ แต่งตัว แล้วก็ไปบ้านเอ้-ฝน
ไปเจอพัตเตอร์ ยังไม่อาบน้ำ แต่หน้าตาดีใจมากที่ได้เจอเรา ก็เป็นเพื่อนเล่นกัน น้ำฝนพาพัตเตอร์ไปอาบน้ำโชว์ ทาแป้ง ใส่เสื้อผ้า เหมือนลูกลิงจริงๆ กว่าจะทำอะไรเสร็จ วิ่งไปวิ่งมาไม่หยุด ปุ้ยนั่งรถตู้มาจากชลบุรีจะมาลงที่แยกบางนา ให้พวกเราไปแวะรับ แต่ปุ้ยมาช้า เราเลยเล่นกับพัตเตอร์รอ มันวิ่งหน้าตั้ง จนเหงื่อออกเป็นเม็ดๆ บนจมูก ที่หนวดน้อยๆ แล้วก็เปียกผมไปหมด กว่าจะได้ออกจากบ้าน ก่อนออกไป ถามว่าจะเอาของเล่นไปมั้ย ให้มันเลือกเอง มันบอกว่าไม่เอาไป น้ำฝนก็เลยหยิบรถยนต์พลังงานจลล์ (คือใช้ตีนถีบถึงจะเคลื่อนที่) ไปอย่างเดียว
ออกมาได้ซักพัก ฝนไม่ได้เอากระเป๋าตังค์ไป บักเอ้ก็เลยทำเสียงดุน้ำฝน แล้วสองคนก็ทำท่าเหมือนจะเถียงกัน เฮ้ย...กูอยู่ด้วยว่ะ พัตเตอร์ก็อยู่ จะมาเถียงกันด้วยเรื่องแค่นี้ทำไม บักเอ้ดุน้ำฝน แต่มันคงลืมว่าตัวเองก็ไม่ได้เอามาเหมือนกัน จริงๆต้องดุตัวเองด้วยถึงจะถูก แต่เราก็ไม่รู้ว่าควรเสือกเรื่องครอบครัวชาวบ้านมั้ย เข้าข้างใครก็ไม่ได้ เลยแอบบ่นให้พัตเตอร์ฟัง มันไม่เห็นน่าจะหงุดหงิดเลยเนาะพัตเตอร์เนาะ เอ้ขับรถกลับไปบ้าน พอถึงทางสามแยก มีซ้ายขวาให้เลือก พัตเตอร์มันชี้ทางซ้ายบอกว่า “ป่าป๊า...ไปจางนี้” คือทางขวาจะกลับบ้าน มันไม่อยากกลับบ้าน พ่อแม่มันบอกมันว่า เราจะไปเที่ยวกัน เหมือนหลอกเด็ก พอเอ้มันเลี้ยวขวาจะกลับบ้าน พัตเตอร์มันทำท่าจะร้องไห้ไม่ยอม ต้องบอกมันว่า แม่ฝนลืมตังค์นะ ต้องกลับไปเอาก่อน ถึงจะฟัง...
สุดท้ายก็กลับมารับปุ้ยที่แยกบางนา ให้ปุ้ยขึ้นรถนั่งหน้า เรากับฝนนั่งข้างหลัง มีพัตเตอร์อยู่ตรงกลางข้างหลัง ตอนแรกพัตเตอร์มันก็ไม่ยอมพูดกับปุ้ย จนเราทักเรื่องปุ้ยผมยาว แม่ฝนผมยาวแต่มัดไว้ พัตเตอร์มันชี้มาที่หัวเรา แล้วบอกว่า “ไม่มี” ชี้หัวตัวเองแล้วบอกว่า “ไม่มี” ชี้หัวพ่อมันแล้วบอกว่า “ป่าป๊า ไม่มี” แล้วมันก็หัวเราะ เด็กนี่มันตลกจริงๆว่ะ อะไรก็หัวเราะได้ ทำให้เราหัวเราะได้ด้วย แล้วมันก็คุยบ้าง นั่งนิ่งๆบ้าง เอาหัวโยกโขกพนักพิงบ้างไปเรื่อย น้ำฝนเอากล้วยน้ำว้ามาให้มัน 2 ลูก เราชี้ไปที่กล้วย แล้วถามมันว่า “แบ่งให้ป้ากินด้วยได้มั้ย” มันบอกทันทีว่า “ไม่เบ่ง” ลิงน้อยก็งกกล้วยเป็นของธรรมดา...หลอกให้มันดูนู่นนี่นั่นข้างทางไปเรื่อย จนอยู่ๆมันดันนึกขึ้นได้ ยืนดูข้างหลังเบาะ จะเอารถยนต์ตัวเองมาเล่นบนรถเฉยเลย มันบอก “ขี่ยดๆ” พูดๆไป จนจะร้องไห้ เหมือนจะงอแงง่วงนอน ต้องบอกว่า ขี่รถอยู่แล้ว จะเอามาขี่บนรถไม่ได้นะ จะถึงบ้านอาไฝแล้ว เราจะไปดูน้ำพุกัน ไปได้จับปลาด้วยนะ หลอกมันไปเรื่อยๆ
ไฝ Line มาบอกว่า ให้รีบๆมา เตรียมของกินไว้ให้แล้ว ไปถึงบ้านไฝก่อนเที่ยง พาพัตเตอร์ไปดูน้ำตกหน้าบ้าน สะกดให้อยู่เงียบๆได้พักหนึ่ง คนที่มาแล้วก็มี ตาล หลิว อ๊อป อ๊อปเนี่ยขับรถมาส่งตาล แล้วก็ต้องไปธุระต่อ เพื่อนผู้เลิศเลอ ในกลุ่มเราไม่เห็นมีใครมันจะมีจิตอาสาขนาดนี้เลย มีมั้ยจะไปไหนแล้วจะอาสาพาไปส่งน่ะ ต้องบังคับขู่เข็ญตลอดเรื่อยมา ตอนนี้สมาชิกก็เลยมี ไฝ (เจ้าของบ้าน) เปี๊ยก (สามีอันประเสริฐของไฝ) หลิว ตาล ปุ้ย เอ้ ฝน พัตเตอร์ และเรา หรือกูนั่นเอง
พัตเตอร์เหมือนได้สนามเด็กเล่นใหม่ ไอ้ลูกลิงวิ่งพล่านเหมือนไม่เคยได้วิ่งมาก่อนในชีวิต วิ่งท่ามกลางสิ่งกีดขวางทั้งปวง ที่ทำเอาทุกคนโดยเฉพาะพ่อแม่มันใจหายใจคว่ำไปตามๆกัน น้ำฝนพยายามป้อนข้าว แต่ก็กินยากเย็นมาก เราเอาไก่ทอดมาให้กิน แต่สงสัยจะไม่ค่อยชอบกินเท่าไหร่ เด็กอะไรวะไม่ชอบกินไก่ทอด ที่แม่แกป้อนอยู่น่ะมันแครอทต้มนะเว้ย มันต่างกันเยอะเลย ของเล่นชิ้นโปรดที่บ้านไฝได้อภินันทนาการให้พัตเตอร์โดยที่เจ้าของบ้านก็ไม่รู้ตัวคือ “บันได” พ่อแม่มันวิ่งจับแทบไม่ทัน ซนมาก ขนาดมีคนเยอะๆ แทนที่มันจะเขิน กลับทำทุกอย่างที่ทำได้โชว์ซะอย่างงั้น แม่กับพ่อต่องนั่งเฝ้าคนละฝั่ง ไม่งั้นเอามันไม่อยู่
เปี๊ยกผู้เป็นสามีอันประเสริฐของไฝได้ทำกระเพาะปลาไว้รอพวกเราด้วย มีไก่ทอด ข้าวเหนียวบำรุงดั้ง (ของพัตเตอร์เป็นพิเศษ) มีขนมครก ขนมใส่ไส้ เผือกทอด มันทอด กล้วยทอด ขนมปัง ข้าวเกรียบ ไฝให้กินรองท้องไปก่อน มันไม่น่าจะรองท้องนะ นี่ก็น่าจะเต็มพื้นที่ท้องได้เลย ซักพักติ๊กก็มา ปุยมาไม่ได้เพราะแพ้ท้อง อ้วกตลอด เดินทางไม่ไหว สงสัยก่อนท้องจะเดินทางมากไป พอท้องเลยไปไหนไม่ได้ ก็เลยส่งติ๊กมาเป็นตัวแทนตระกูลเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองนี้ ตอนนี้บักติ๊กมันเป็นผู้จัดการอยู่ที่ BMW ตอนพวกเรามาถึงเห็นรถ BMW ป้ายแดงจอดอยูตรงข้ามบ้านไฝ เลยพากันล้อว่าไม่ใช่ของมึงหรอกเหรอติ๊ก...
ตื่นเต้นที่สุด ต้องยกให้การมาปรากฏตัวของครอบครัว “ขำรักษา” ซึ่งประกอบด้วยบักบอม มิซาเอะ โรม่า และเร็น อุตส่าห์โล้สำเภามาจากออสเตรเลีย บักบอม...เพื่อนเก่า เพื่อนหนึ่งเดียวที่สามารถประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิศวกรรมกับคณิตศาสตร์ในคาสิโนได้อย่างลงตัว หากินกับบ่อนจนถูกโปรโมตเป็น Chief คุมบ่อนใน Sydney ชื่อ Star City หาเลี้ยงเมียหนึ่งลูกสองได้อย่างสุขสบาย ไม่ต้องเป็นอะบอริจิ้น อย่างเจ้าถิ่นแท้ๆที่ถูกขับไล่ออกไปจากประเทศตัวเองเมื่อหลายร้อยปีก่อน
จริงๆ อยากขอบคุณมิซาเอะที่อุตส่าห์เสียสละตัวเองมาเป็นเมียเพื่อนเรา โรม่าคุงลูกชายคนแรกที่แสนจะหล่อเหลา น่ารักมาก ผิวขาวจั๊วะ แต่มีแก้มสีแดงเป็นลูกท้อสุก เป็นเด็กอายุ 7 ขวบที่ตัวใหญ่จริงๆ และเร็นคุงลูกชายคนเล็กอายุ 3 ขวบ ตัวเล็กกระเปี๊ยก ยิ้มแหยๆ แต่ก็ยิ้มให้พวกเรา หวังว่าโตขึ้นทั้งสองคนจะไม่เจ้าชู้เหมือนพ่อมันหรอกนะ
เคยเจอแต่ในรูป พอเห็นตัวจริงแล้วน่ารักจริงๆ เจอหน้าหลานสองคนตัวเป็นๆ เป็นครั้งแรก “Hi…Kids! Hi…Mi-sa-e! Nice to see you!” โรม่าบอก “สวัสดีขรับ” เร็นคุงตัวเล็กๆ ยืนยิ้มแหยๆกลางแดด “Are you hot?” มันพยักหน้าเลย เราแนะนำตัวเอง จูงเด็กๆเข้าบ้าน ถามโรม่าว่า “How old are you?” โรม่าตอบเราเป็นภาษาญี่ปุ่น เราก็หัวเราะแล้วเกาหัว เด็กมันคงงงว่าเราหัวเราะอะไร เด็กยุคดิจิตอลพอเข้าบ้านได้ มันก็ออกสตาร์ทเล่นเกมส์จาก iPad เราไม่ยอมแพ้ ถามมันใหม่ “How old are you?” ถามจนมันยอมตอบเราว่า “Seven” เราเช็คนิสัยพ่อมันทันที “Do you have girlfriend?” ไอ้โรม่ายิ้มเลยแล้วบอกเราว่า “ไม่มี” ยิ้มแบบนี้...ก็อปพ่อมันมาชัดๆ ปากแข็งเหมือนพ่อมันด้วย แต่โรม่าหน้าขาวและแก้มแดงสมเป็นเด็กญี่ปุ่น ไอ้ตัวเล็กก็ยิ้มขำ เราเลยถามมันว่า “How about you เร็นคุง?” ไอ้ตัวเล็กส่ายหน้า “Noooo…” สรุปว่าเหมือนพ่อทั้งคู่...
เราถามว่า “Are you hungry?” สองคนส่ายหัว แล้วก็ตั้งอกตั้งใจเล่นเกมส์ คงไม่รู้จะพูดคุยกับใคร เอาสไปร้ท์มาให้กิน สามารถกินได้ แต่น่าสงสารครอบครัวนี้มาก มิซาเอะเล่าว่า เพิ่งท้องเสียอย่างหนักจากการไปกินซีฟู้ดที่ภูเก็ตมา แถมคงแพ้แดดด้วย ทา Sunblock มาเต็มที่เลย ไม่พอ...เด็กสองคนยังแพ้ยุงอีก ถูกกัดเพียบ ตุ่มตามขากระจาย มีตุ่มยุงเยอะมาก พาพัตเตอร์มาแนะนำตัว พัตเตอร์อายุ 2 ขวบซนเป็นลิง ส่วนเร็นอายุ 3 ขวบ นั่งนิ่งสนิท
บอกพัตเตอร์ว่าให้มาแนะนำตัว “นี่เพื่อนนะ ชื่อเร็น” หันไปมองเร็น “เร็น He would like to be your friend”...”พัตเตอร์สวัสดีเพื่อนเร็ว”....พัตเตอร์มองนิ่งๆ หลังจากนั้นก็เอามือทั้งสองข้างมาขยำบ่าและขาเพื่อนรุ่นพี่ตัวกระจิ๊ด เร็นทำหน้าเจ็บ ต้องแยกพัตเตอร์ออกมาวิ่งเล่นที่อื่น เราถามเร็นว่า “Are you hurt? Putter says sorry to you. Don’t angry at him นะ” เจ้าเร็นงงๆ ว่าไอ้เด็กลิงนี่มันลูกใครวะ ทำไมต้องมารังแกกูด้วย เราหันไปหัวเราะให้เร็น เราชี้พัตเตอร์แล้วบอกเร็นว่า “Is he naughty?”…เร็นยิ้ม พยักหน้าเห็นด้วยทันที เราถามว่า “Is he like a monkey?” เร็นยิ้มแล้วพยักหน้าอีก ไอ้ตัวน้อยมีลักยิ้มด้วย น่ารักมาก
เราถามอีกว่า “Putter wants to be your friend…is it OK…be friend with Putter”. เร็นยิ้มแหยๆ แล้วส่ายหน้าใหญ่เลย ถ้าพูดได้คงบอกกูไม่เอามันนะ อยากให้พ่อแม่มันทั้งคู่ มานั่งดูปฏิกิริยาเด็ก ฮาชิบเป๋ง สนุกกว่าเวลาเล่นกับเพื่อนๆอีก พวกมึงช่างผลิตลูกที่ตลกๆทั้งนั้นเลย เราถามเร็นตัวน้อยว่า “Are you naughty like this?” เร็นส่ายหัวปฏิเสธทันที เราล้อว่า “Really…Really?” ลืมสอนให้มันเรียกพัตเตอร์ว่า มั้งกี้-คุง ถ้าทำได้ คงตลกกว่านี้อีก บอมกับมิซาเอะบอกว่า เร็นกินน้อยก็เลยตัวเล็กมาก แต่เร็นและโรม่า ถือว่าฝึกมาดีมาก พอบอก “Take a photo ถ่ายรูปกันๆ!” มันชูสองนิ้วมองกล้องทันที
มิซาเอะสั่งให้หยุดเล่นเกมส์แล้วไปกินข้าว เราลองให้เร็นกินไก่ทอดก็ไม่ชอบ ไม่อยากกิน พอหยิบให้โรม่า โรม่าซัดเรียบ คงหิวแต่ไม่แสดงออก เร็นกินมันทอดได้ แล้วก็กินน้ำกระเพาะปลากับไข่นกกระทา ตักมาให้เท่าไหร่ ก็ซดน้ำเรียบ สงสัยจะชอบจริงๆ เปี๊ยกคงดีใจที่ฝีมือถูกใจทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็ก แล้วเด็กๆก็กินขนมปังด้วย เราแซวเด็กว่า “โออิชิเดสก๊ะ?” บักติ๊ก ตาล หลิว ขานรับ “สุโค่ยยยย” ไอ้เร็นทำหน้ายิ้ม โรม่าแทะไก่เสร็จ เราเสนอหน้าพาโรม่าไปล้างมือ ไอ้โรม่าเสือกทำเศษไก่ติดฟันหน้า เห็นหลานแคะแล้วแคะไม่ได้ เลยจะช่วย บอกมันว่า “Let me try” ไอ้ที่ติดอยู่เสือกเป็นเอ็นไก่อีก แคะไม่ออก เวรกรรม เลยพามันไปหามิซาเอะ คือให้แม่มันแก้ปัญหาไป พอเร็นกินเสร็จ เราก็อุ้มเร็นไปล้างมือบ้าง เร็นตัวเล็กอุ้มง่ายมาก พอไปถึงอ่างล้างมือเราก็วางมันลงบนอ่างเลย แล้วจับมือไปรองที่ก๊อก “Wash your hand…your hands are dirty…See?” เร็นพยักหน้า เราเปิดน้ำก๊อกล้าง เอาสบู่ถูๆ “OK...Clean” สะอาดแล้ว เค้าพูดแบบนี้รึเปล่าก็ไม่รู้ เด็กมันน่าจะเข้าใจแหล่ะวะ
บนโต๊ะอาหาร มิซาเอะชี้ที่ขนมครกแล้วถามเราว่า “What’s this…Coconut?” เราบอกว่า “It’s called ขนมครก...ครก is mortar…Do you know mortar? ญี่ปุ่นส่ายหัว ซวยแล้วกู คือจำได้ว่า mortar มันแปลว่าครกไง แต่จะอธิบายต่อไป มันก็ไม่เข้ากับตัวขนมอีก ใครมันคิดชื่อขนมวะ ไปต่อไม่เป็น เลยแก้ตัวไปว่า “it’s made from coconut นั่นแหล่ะ in mould ไง” หยิบให้กินแม่งเลย ไอ้ตาลหัวเราะวิธีอธิบายของเราใหญ่ มิซาเอะบอกว่าอร่อยดี โชคดีไป นึกในใจว่าอย่าถามถึงขนมใส่ไส้นะมึง เพราะกูจะอธิบายลำบากกว่านี้มาก เห็นๆกันอยู่ว่าที่นั่งกันสลอนนี่ เก่งๆกันทั้งนั้น ถ้าให้อธิบายบ้างคงเมื่อยมือน่าดู นึกดูว่า ถ้าไฝเอาอะลัว จ่ามงกุฏ ปั้นสิบ ช่อม่วง ขนมชั้น ข้าวเหนียวแก้ว ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง มาวางต้อนรับนี่จะเป็นยังไง คงนั่งปั้นยิ้มกันอย่างเดียว จะกินอะไรก็เชิญเถอะแม่ ขอพวกฉันทั้งหมดไปเข้าห้องน้ำก่อน คงจะเป็นอย่างนั้นแน่ๆ
โรม่าคงชอบกินสไปร๊ท์มากๆ กินแล้วกินอีก จนเดินมาขอครั้งสุดท้าย โดนมิซาเอะดุให้กินน้ำเปล่า มิซาเอะบอกว่าก็เพิ่งจะท้องเสียมานะ พ่อหนุ่มรูปหล่อเลยทำหน้าจ๋อยๆอดกินเลย เราถามเร็นว่า “Do you like Doremon?” ไอ้ตัวน้อยขานรับ “I like Doremon” เราร้องเพลงโดเรม่อนให้ฟัง มันหัวเราะมาราธอนได้เลย หัวเราะตั้งแต่เพลงเริ่มจนจบ...เอ่อ...ก็จบแบบที่กูร้องได้อ่ะนะ เด็กๆมันหลอกง่ายอย่างงี้นี่เอง เราถามว่า “Where did you go last week?” เด็กๆบอกว่า “Shopping” เราถาม “What did you buy?” โรม่ากับเร็นบอก “Toy” เราถามต่อว่า “What toy?” โรม่าบอกว่า “คาเมนไรเดอร์” เอ่อ...คาเมนไรเดอร์เหรอว้า ซวยแระ กูไม่รู้จัก กูบอกว่า “But I like Spiderman” เร็นรีบทำเสียงน่ารักบอก “I like Spiderman” อ้อ...สากลนะเนี่ย “You like him, too” แล้วเราก็กางมือปล่อยใยแมงมุมใส่มัน เด็กคงงงเกิดคำถามในใจว่า อีป้านี่มันไม่ได้บ้าใช่มั้ย เพื่อนพ่อกูจริงๆเหรอว้า...ไม่เห็นจะสนใจพ่อกูเรยยยยย...ถามมันเรื่องไปภูเก็ตเหรอ สนุกมั้ย ชอบมั้ย ขาเป็นแผล โดนอะไรมา ท้องเสียเหนื่อยมั้ย สนุกดี คุยจนคิดไม่ออกว่าจะคุยอะไรต่อดี เดินไปคุยกับเพื่อนๆบ้างดีกว่า
ณ ขณะที่เราคุยอยู่นี้ ลูกลิงน้อยพัตเตอร์มันก็ไม่ได้หายไปไหนหรอกนะ ก็วิ่งซนป่วนไปรอบๆบ้าน ให้พ่อแม่วิ่งจับไม่หยุด
บ่ายๆบักอ้วนก็พาเกด-ศรีภรรเมียและคิมสุดหล่อมา เด็กชายคิมยังคงหล่อและขาวจั๊วะแบบเด็กเกาหลีเหมือนเดิม ความเหมือนเดิมอีกอย่างก็คือฟันหน้าที่ได้อาตาลมาเต็มๆ อย่างไม่ต้องเป็นญาติโกโหติกาอะไรกันเลย คิมเป็นเด็กเรียบร้อย อายุ 3 ขวบครึ่ง อยู่ในโลกจินตนาการของตัวเอง สามารถปล่อยไว้ให้เล่นคนเดียวได้ ไม่ต้องคอยเฝ้าก็ได้ ถามอะไรก็ตอบ รู้สึกว่าบ้านอาไฝ เรียงหินแยกสีกันดูไม่สวยงาม มันก็เอาหินสีดำมาวางปนตรงทางเดินที่เป็นหินขาวให้ดูมีส่วนผสม ไม่จำเจ รู้จักคิด มีจินตนาการสูง แต่อาไฝคงไม่ค่อยถูกใจจินตนาการของพวกหนูเท่าไหร่นะ
ส่วนพัตเตอร์มันก็เห็นที่ใส่ซองจดหมายของอาไฝอยู่บนชั้นคงเป็นระเบียบเกินไป ทลายแม่งเลย น้ำฝนทำได้อย่างเดียวคือตามเก็บ ไอ้นี่คิดว่าผู้ใหญ่เล่นด้วย เค้าเก็บขึ้นมา มันก็ไปสตาร์ทวิ่งมาใหม่ แล้วปัดกระจุยลงมาอีก ซองจดหมายกระจาย มันมองแล้วก็หัวเราะ แล้วก็วิ่งผ่านไป ทำหลายๆครั้ง จนต้องเอาไปซ่อนที่สูงๆ มันชี้ทุกอย่างที่อยู่บนที่สูง “อุ้มๆ...เอาจู๋งๆๆ” เวรกรรม...ผู้ใหญ่ปาดเหงื่อ ปวดตับไตกันไป วุ่นวายดีแท้
เอ้เล่าให้บอมฟังเรื่องบักยาฆ่าตัวตาย แต่ไม่ตาย เป็นโรคเครียด ซึมเศร้า โดดลงมาจากตึกชั้นสามหรือสี่นี่แหล่ะ กระดูกหักหมด พ่อ-แม่ต้องมาดูแล หลังจากนั้นสำนึกได้ กลับไปทำนาที่บ้านเกิด น่าเสียดาย อุตส่าห์ร่ำเรียนมา อย่างน้อยน่าจะมองโลกในแง่ดีบ้าง ทุกอย่างมันอยู่ที่มุมมองของเราทั้งนั้นแหล่ะ เมื่อก่อน บักยาเคยไปบอกอาจารย์ที่ภาคฯ ว่าเรากับตู่รังแกมัน ในขณะที่เรากับบักตู่นั่งเม้ามอยอย่างเมามันกับเพื่อนๆอยู่ ซึ่งป็นกิจวัตรประจำวันที่เราเต็มใจทำมากกว่านั่งเรียนหนังสือ แล้วอาจารย์ก็มาเรียกกรรณิการ์กับตู่ไปรับข้อกล่าวหาประหลาดนี้ เรากับบักตู่มองหน้ากันอยากจะขำ นึกไม่ออกว่าเราเคยไปพูดกับมันตอนไหน มันบอกอาจารย์ว่า พวกเรามองมันอย่างดูถูก ดูถูกตอนไหนวะ โคตรจะงงเลย
อยากบอกว่า พูดอะไรไป อาจารย์คงคิดว่าพวกเราแก้ตัวทั้งนั้นแหล่ะ อยู่ๆผู้ชายที่ไหนจะไปฟ้องอาจารย์แบบนี้ ไอ้สองคนนี้มันต้องเลวร้ายเหลือทน จนเพื่อนทนไม่ได้ต้องไปบอกอาจารย์ เราสองคนเลยซวยร่วมกันโดยมิได้นัดหมาย ดีนะที่มันบอกว่าสองคน ถ้ามันบอกว่าเราคนเดียวล่ะก็ คงออกมาด่ามันจริงๆแน่ ตอนเด็กๆยิ่งใจร้อนมากด้วย อาจรับไม่ได้แล้วผูกคอตายตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ถ้ามันฟ้องว่าบักตู่ทำคนเดียว เราคงหัวเราะได้อย่างสบายอารมณ์กว่า แต่แหม...ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ทำไมไม่บอกว่าพวกเราทำทั้งกลุ่มเลยวะ พวกนั้นมันเลยรอดตัวกันหมด แล้วมานั่งหัวเราะเยาะเรากับบักตู่ 2 คนสนุกปากเลย
เราเดาเอาว่ามันคงสร้างเรื่องเพื่อมาหลอนตัวเองหลายอย่าง คิดว่าคนอื่นไม่ชอบตัวเอง ทำไมไม่เดินเข้าไปทำความรู้จัก พูดคุยกับคนอื่น หาอะไรที่ชอบๆทำ อย่าปล่อยให้ตัวเองฟุ้งซ่าน มันล้วนปรุงแต่งเอาเอง คิดเอาเองว่าโลกเลวร้าย เราก็ไม่เคยเห็นใครมันคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดจริงๆนะ ชีวิตคนที่เกิดมาสุขสบายตั้งแต่เกิดจนตายมันจะมีซักกี่เปอร์เซ็นต์ของโลกใบนี้กันวะ ทุกคนล้วนต้องดิ้นรน ต่อสู้ แสวงหาทั้งนั้นแหล่ะ แหม...แต่ความจริงเค้าก็คิดได้แล้วนะตอนเนี้ย จะมาย้ำทำไมฟะ ไม่ได้รู้สึกแค้นมันฝังหุ่นซะหน่อย
กลับมาที่บ้านไฝดีกว่า ช่วงบ่ายไฝ หลิว เปี๊ยก ตาล ปุ้ย พากันออกไปซื้อของ เราก็อยู่เล่นกับเด็ก พวกนั้นบอกว่าตอนเย็นเราจะกินปิ้งย่างกัน ต้องออกไปซื้อของก่อน ตาลบอกว่า ถ้าพวกเราไม่ออกไปซื้อ แล้วน้องกบมา กบมันจะเอาที่ไหนมาปิ้ง เราบอกว่าถามเค้าซักคำมั้ยว่าเค้าอยากทำมั้ย เตรียมงานไว้ให้เค้าตั้งแต่ยังมาไม่ถึง แล้วทุกคนก็สะบัดตูดไปจ่ายตลาด ซึ่งอยู่หน้าหมู่บ้านสัมมากร หมู่บ้านที่บอมมาอยู่กับลุง ที่นครอินทร์ พระราม 5 เป็นความบังเอิญดีมากที่อยู่ใกล้ๆกันขนาดนี้
ส่วนบักฮัท มันพาแม่และน้องกบสุดที่รักออกเดินทางจากอุดรตั้งแต่ตี 1 แน่นอนว่าปราศจากบักแห้ว ซึ่งมีแต่ความหึงหวงมาบังตา เลยพลาดโอกาสพบปะเพื่อนฝูงอย่างไม่มีทางเลือก อยากจะบอกว่า การนัดเจอกันของเพื่อนๆน่ะนะ นานๆเจอกันที ไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็มาเถอะ เราจะรู้ได้ไงว่าครั้งไหนสนุกไม่สนุก แต่การมานั่งเฝ้าไว้ อย่างน้อยเราก็วางใจได้อย่างหนึ่งว่า ไม่มีใครนินทาเราได้แน่ ถึงทำได้ก็แค่ช่วงสั้นๆที่เราไปขี้ไปเยี่ยว มันจะซักกี่นาทีกัน นอกนั้นเรานั่งเฝ้าอยู่ จะมาไม้ไหน เราก็ตั้งรับทัน ฝึกสติปัญญาไปในตัวด้วยนะพวกมึง...ครั้งนี้บักแห้วมันก็เลยพรุน แล้วก็เละเป็นโจ๊ก สุดท้ายก็ถูกสวดส่งวิญญาณไม่รู้ตัว
ฮัทมันมาถึงบ้านพี่ที่พระราม 2 ตอน 9 โมงเช้า มันบอกว่าขอนอนก่อน แล้วตอนประมาณสามสี่โมงเย็น ฮัทมันก็พาน้องกบสุดที่รักมา เร็นคุงทำท่าง่วงนอนเต็มทน พวกเราพากันมาถ่ายรูปส่งท้ายที่หลังบ้าน ก่อนให้ติ๊กขับรถไปส่งครอบครัวบอม แดดส่องตอนเย็นก็ยังจ้าอยู่ โรม่าหยีตาหนีแดดตลอด มีรูปหนึ่งให้เร็นเป็นคนถ่าย เรานับเสียงดัง “หนึ่ง สอง” เร็นขานรับทันที “ซั่ม!”...(ไม่รู้พูดว่า ซังหรือสาม ญี่ปุ่น/ไทย เสียงดันเหมือนกัน) แล้วก็กดชัตเตอร์..แชะ...ไม่น่าเชื่อว่ารูปออกมาสวยด้วย ฝีมือเด็กสามขวบครึ่งที่ทำท่างอแง ง่วงนอนแล้ว ให้นั่งชิงช้าก็ไม่ยอมให้โรม่านั่งด้วย แหกปากบ่นแล้วก็ถีบโรม่าทิ้ง
ไอ้สองคนนี้มีช็อตหนึ่งที่มันอยู่ด้วยกันที่โต๊ะอาหาร เร็นกำลังเล่น iPad อยู่ โรม่าคงอยากแย่ง แล้วไอ้ตัวเล็กไม่ให้ โรม่ามันก็เลยงับแขนน้องแม่งเลย มันฉลาดเอาหลังตัวเองบังแม่ไว้ ไม่ให้แม่เห็น ถ้าเป็นพิมพ์ฟันก็คงสวยดี แต่นี่เป็นแขนเล็กๆของน้องมัน พ่อหนุ่มโรม่าหน้าหล่อตัวโคตรใหญ่ ส่วนน้องชายตัวโคตรเล็ก มันรังแกอาดื้อๆเลย เราอยู่ใกล้ๆไม่รู้จะทำยังไงนั่งอึ้ง เอาวะ...เรางัดหัวโรม่าขึ้นมา บอกมันว่า “Don’t bite him…he hurts นะ” แหม...ไม่ใช่หมานะ จะได้กัดกันอย่างงี้ ก่อนทำมันดันรู้มุมกล้องด้วย เด็กหนอเด็ก...จะชมว่ามันฉลาดดีมั้ยหว่า
ก่อนจากกัน เร็นงอแงเต็มที อารมณ์ไม่ดีแล้ว เดินออกมาส่งกันที่หน้าบ้าน ใส่รองเท้าให้ เราบอกโรม่าว่า “Roma…Say bye bye” โรม่าหันมา “บายบาย” เราหันไปทางไอ้ตัวเล็ก “เร็นคุง...Say bye bye” ไอ้ตัวเล็กทำหน้าหยีเซ็งๆแต่มันก็พูด “บายบาย” น่ารักกันจริง หันไปหามิซาเอะ “See you again นะ...nice to see you!” ดีใจจริงๆนะที่ได้เจอน่ะ ทุกคนเลย
จากนั้น ติ๊กมันก็ขับรถไปส่งครอบครัวบอมกลับก่อน แล้วบอมก็ค่อยกลับมาใหม่ ผ่านไปเกือบชั่วโมงพวกมันสองตัวก็ยังไม่กลับมา นึกว่าสองคนแอบชะแว้บไปอาบอบนวดก่อนซะแล้ว โทร.ไปถามบักบอม บอมบอกว่าเดี๋ยวรอติ๊กอยู่ เป็นนัยยะว่าน่าจะจริง แต่พอมาถึง สองคนแนบเนียนไม่มีวี่แววปะแป้งหน้าขาว กลิ่นตัวก็ไม่ได้หอมฟุ้ง แสดงว่าไม่ได้แวะเข้าข้างทางแต่อย่างใด ถ้าปุยมาอ่านเข้าก็ขอให้สบายใจได้ แต่อีกด้านหนึ่งปุยมันอาจจะชินแล้วก็เป็นได้ เพราะอย่างหนึ่งที่ติ๊กมันหลุดพูดออกมา มันบอกว่า มันก็ไม่อยู่เป็นประจำ ไปเมืองนอกเป็นเดือน ปุยก็อยู่คนเดียว...คือปุยไม่มีทางรู้หรอก ว่ามันไปทำอะไรบ้างในช่วงนั้น เอ่อ...ไม่ต้องตีกันนะ เราพูดไปตามเนื้อผ้า ไม่มีเจตนาทำให้ใครแตกแยก
ณ ตอนนี้ กลุ่มก้อนของเราก็มี ไฝ-เปี๊ยก เจ้าของบ้าน, กบ-ฮัท, เอ้-ฝน-พัตเตอร์, อ้วน-เกด-คิม, บอม, ติ๊ก, ปุ้ย, หลิว,ตาล และเรา ครบองค์ประชุมแล้ว บอกย้ำอีกที เพื่อตอกย้ำไอ้พวกที่ไม่ยอมมา
กบ-แฟนฮัท แต่งชุด Dress กระโปรงสั้นมา โดยหารู้ไม่ว่ามีอีแร้งคอยจิกใช้อยู่ เกด ตาล หลิว ปุ้ย ไฝ ช่วยกันล้าง-หั่น ผัก ผลไม้อย่างขยันขันแข็ง เปี๊ยกเป็นพ่อครัวหัวป่า ทำน้ำจิ้มซีฟู้ดและแจ่วฮ้อน น้ำฝนเฝ้าพัตเตอร์นอนข้างบน เด็กชายคิมเลี้ยงตัวเองบนโซฟาในบ้าน บักฮัท บักเอ้ บักบอม บักติ๊กกินเหล้ารอ อภินัทนาการเหล้าโดยบักอ้วนเป็น Swing 1 ขวดเต็ม อีก 1 ขวดเป็น Regency ที่มีสติ๊กเกอร์ติดประมาณว่า “พุธ-พฤหัส เลดี้ไน้ท์” แต่อีพวกนี้ ขอให้เป็นเหล้ามีดีกรีเถอะ เอาเข้าปากก็กระดกได้หมดแหล่ะ กบพยายามจะจุดไฟในเตาปิ้ง ส่วนตัวเราก็นั่งเล่นรออย่างเดียวเลย ก็มันลงตัวหมดแล้วไง ไม่รู้จะทำอะไรอีกนี่
ซักพักกบก็พบว่าตัวเองจุดไฟไม่สำเร็จ เอ้ก็เลยไปช่วย จุดเท่าไหร่ก็ไม่ติด เอ้ถามหาน้ำมันรอนสัน เพื่อนๆบอกว่า จุดไฟย่างเนื้อนะ ไม่ได้ให้มาเผาบ้าน สุดท้ายเปี๊ยกต้องขี่ม้าขาวมาจุดให้ พอเริ่มจุดได้ เราอยากช่วยเลยเอากระดาษไปยืนพัด เพราะละอายใจนิดหน่อยที่นั่งอยู่เฉยๆ เปี๊ยกมันเดินเข้าบ้านไปเอาพัดลมมาเป่าเตาไฟโดยไม่ได้ว่าอะไรเราทั้งนั้น กูละอายใจกว่านั่งอยู่เฉยๆอีก แกเก้อไปด้วยการชมเปี๊ยกว่า “เออ...เปี๊ยกฉลาดดีเนาะ” แล้วก็กลับไปนั่งเฉยๆต่อ
จากนั้น กบก็ทำหน้าที่ปิ้ง-ย่าง โดยอัตโนมัติ ไฝเอาปูที่อบเสร็จแล้วมาให้กินกับน้ำจิ้มซีฟู้ด มีคนถามกบว่า กินก้ามปูเป็นมั้ย กบมันตอบว่าอะไรก็ไม่รู้ที่สรุปว่ากินเป็น แต่ลงท้ายด้วยการหันไปมองหน้าบักฮัท แล้วบอกว่า “กินเหมือนที่ตัวเองสอนเค้าไง” ชัดเจน...ทุกคนได้ยินเต็มสองรูหู พวกเราเลยโห่นางสาวชูใจกับนายแสนดีกันยกใหญ่ “ฮี้ววววว” ถึงกับต้องสอนกันกินปู จู้ฮุกกรูกันเสียจริง บักแห้วมันถึงได้หึงไง
เราเอาปูมากิน 1 ตัว มีคนแย่งก้ามไป เราเลยไม่มีก้าม เราขี้เกียจมือเปื้อน ขี้เกียจล้างมือ ก็เลยเอาช้อนส้อมมาแคะกิน ไม่กินขาด้วย ก็ขี้เกียจมือเปื้อนไง รอบโต๊ะมองเราแล้วส่ายหัวกบาล บักเอ้บอก “นุ้ย มึงกินยังไงเนี่ย ปู 1 ตัว มึงกินไปแค่ 20 % เอง อีหลิว...มากินต่อเลย” มันเหลือแต่วิญญาณกับขา กินขาก็พอเข้าใจ แต่มึงจะแคะเนื้อตรงไหนจากตัวปูมา ไม่เห็นมันจะเหลืออะไรเลย พวกมึงเนี่ย เรื่องโอเวอร์แอ๊คชั่นขอให้บอกเถอะ สร้างเรื่องกันดีจริงๆ...มีคนแกะกินเสร็จแล้วเอากระดองไปวางคว่ำไว้ที่เดิมบนตัวที่ยังไม่กินด้วย บักอ้วนตะโกนถามว่า “ใคร...ใครเอากระดอ...มาคว่ำไว้” ไม่ได้พิมพ์ผิดนะ มันเอา ง.งู ออกจริงๆ แล้วก็ตลกลามกกันใหญ่
นายแสนดีทำหน้าที่แกะปูป้อน นางสาวชูใจ “ตัวเองจะทานเนื้อส่วนไหน อ๋อ...กระดูกก้นกบปูเหรอ ได้ๆ เดี๋ยวเค้าแกะให้ ตัวเองอ้าปากนะ อ้ำๆๆ!” เพื่อประกาศศักดาความรักที่ฟูมฟักมาจนแก่หง่อม ถึงเวลาที่ต้องทุบหม้อข้าวบุกเข้าตีเมืองจันท์แล้ว หากไม่มีบักแห้วมาขัดขวางล่ะก็ นายแสนดีเค้าจะยกทัพรุกนางสาวชูใจเต็มอัตราศึกในวันที่ 22 ธันวาคมนี้ ก็เหตุผลนี้แหล่ะ ที่ทำให้นายแสนดียังไงก็ต้องถ่อสังขารมากทม.เพื่อบอกเพื่อนเป็นนัยๆว่า พวกมึงไม่ไปล่ะน่าดู ถ้าพวกเราแกล้งมันโดยบอกว่า “แหม...ก็เพิ่งเจอกันไปเองนะ จะไปเจออะไรกันบ่อยๆล่ะ” นายแสนดีคงร้องไห้ขี้มูกโป่ง ให้นางสาวชูใจปลอบประโลมทั้งคืนแน่ๆ เพราะฉะนั้นเพื่อนๆก็กรุณามันหน่อยแล้วกันนะ ถือว่าทำบุญทำทาน อย่าลืมว่าเพื่อนเราผ่านความลำบากมามากมายกว่าจะยอมให้ความถูกต้องทางเพศเอาชนะกิเลส Brokeblack Mountain หุบเขาเร้นรักมาได้ ของเค้าพิเศษจริงอะไรจริงนะ
น้องกบย่างหมูและเนื้อจนสำเร็จ เอามาให้เราทำหน้าที่หั่น เราก็เอาส้อมมาจิ้มเนื้อก้อนๆ มาวางบนเขียง แล้วก็เอามีดมาหั่นๆ กบถามว่าตกลงมันสุกรึยัง เราบอกว่าพวกมันกินอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหล่ะ อย่าไปสนใจเรื่องสุกไม่สุกเลย ว่าแล้วเราก็หั่นออกมาตามแต่เราอยากจะทำ ไฝเดินมาเห็น ถามเราอย่างตกใจว่า “เฮ้ย...ไอ้นุ้ย แกหั่นเนื้อแนวนี้เหรอว้า” คือกูไม่ได้จบเอกหั่นเนื้อมา ต้องหั่นรุ้งตะแคงแวงตั้งเท่าไหร่ พิกัดไหน ขวางไปทางตะวันออกกี่มิลลิเมตร ลงมีดด้วยคมด้านไหน เอียงกี่องศา ลงมีดกี่ครั้งถึงจะกำลังดี หั่นออกมาแล้วเนื้อจะหวานเป็นพิเศษ อันนี้เราไม่รู้จริงๆ ทำท่ายื่นมีดให้ไฝ ถามมันว่าจะทำแทนมั้ย ไฝส่ายหัว “หึ..ไม่เอา” เห็นมั้ย...ก็แค่นั้นแหล่ะ อย่ามาหือ ดูเพื่อนรอบโต๊ะหน่อย อย่างกับพวกมันกินจะเนื้อกับไวน์แดง กินกับ Swing ยัดไส้แสงโสมต่างหากเล่า เอามะขามเปียกจิ้มเกลือมาให้พวกมันกินยังได้ อย่าไปกรุณามันมากนัก นี่ย่างมาก็บุญแล้ว
ที่ขาดไม่ได้สำหรับการปิ้ง-ย่างก็คือ กุ้งที่พลีชีพตายเป็นเบือ...นอนตัวงอ เพื่อเป็นพยานความรักความภักดี ของนายแสนดีที่มีต่อนางสาวชูใจ กุ้งที่ถูกย่างด้วยความรักนี่ มันจะกินอร่อยเป็นพิเศษนะ ตาลมันอยากให้ทั้งคู่มีพยานรักแบบชั่วฟ้าดินสลาย ก็เลยชอบให้น้องกบย่างกุ้ง สองคนคงไม่คิดหรอกว่ามีเพื่อนๆยืนอยู่ด้วยรอบๆ มันคงเห็นพวกเราเป็นดวงๆ สีชมพู คนเรามีศรรักปักอก อะไรก็ดูจู้ฮุกกรูไปหมด ตัวเองกินตัว เค้าจะกินหัวน้า ว้าย...ที่หัวนี่ เค้ากินขี้มันไม่เป็น ตัวเองกินแล้วกัน...ได้ๆๆ เพื่อตัวเอง ต่อให้กินขี้เค้าก็ยอม...บรึ๋ยยย...ขนลุกทั้งโต๊ะ....
ไฝ-เปี๊ยก บริการน้ำจิ้มแจ่วฮ้อนซะดิบดี หม้อต้มสารพัดนึก ก็มาวางกลางโต๊ะเรียบร้อย ไฝเอาน้ำซุปมาใส่ เสียบปลั๊กไฟปิดหม้อ รอน้ำเดือด ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างที่เราหั่นเนื้อจนมือหงิกไปแล้ว ก็มีใครคนหนึ่งพูดว่า ทำไมน้ำมันไม่เดือดวะ เออว่ะ...ทุกคนถึงจะเหลียวซ้ายแลขวาหาว่าทำไม ปรากฏว่าปลั๊กหลวม ไฟไม่เข้า ร้อนถึงเปี๊ยก...(อีกแล้ว) ต้องไปหาปลั๊กใหม่มาให้เสียบแล้วไฟก็ร้อน พอน้ำเดือด พวกเราก็เททุกอย่างที่ขวางหน้าลงไป กินกันไป กัดกันไป กัดกันอยู่ร่ำไป...เหมือนหมาเลย
พอเราอิ่ม เราก็ทิ้งทุกอย่าง แล้วเดินไปเล่นกับเด็กๆในบ้านที่เหลือ คือพัตเตอร์กับคิม เปิด iPad ให้ดูการ์ตูน พัตเตอร์บอก “ยูเปงๆ” คือมันจะดูเพลง เราบอกว่า อันนี้ไม่มีเพลงนะ ต้องดูการ์ตูน เปิดการ์ฟิลด์ให้ดู คิมนอนดูข้างซ้ายด้วยความเรียบร้อย พัตเตอร์นั่งทางขวา จ้องแต่จะเปลี่ยน คือจะเอามือมากด มาแคะ มาจิ้ม ทำอะไรก็ได้ ขอให้หน้ามันเปลี่ยน แหม...มันจะอยู่นิ่งๆแทบไม่ได้เลย ต้องไม่ตามใจมัน เราพยายามพูดบอกดีๆว่าพี่เค้าดูอยู่นะลูก หนูก็ต้องดูให้จบเหมือนกันสิ สนุกนะ ถามคิมว่าชอบมั้ย คิมพยักหน้าบอกว่าชอบ ถามพัตเตอร์ว่าชอบมั้ย มันบอก “เปี่ยๆ” คือจะให้เปลี่ยน เฮ้อ...กูล่ะมึนในความมึนของมันจริงๆ โตกว่านี้อีกหน่อยจะเป็นยังไงกันนะ
พอค่ำๆ เมื่อยจากการเล่นกับเด็กๆ ก็จะเดินออกไปคุยกับพวกนั้นต่อ ยุงเยอะมาก อย่าว่าแต่เด็กเมืองนอกเลย ยุงเยอะขนาดนี้เป็นกู กูก็แพ้วะ แต่ไฝมีการเตรียมพร้อมที่ดีมาก มีโลชั่นกันยุง ทั้งแบบทาแบบฉีด ไว้บริการเพื่อน บักบอมแบมือมาขอ เราถามว่ายุงกัดหน้ามึงมั้ย เดี๋ยวกูฉีดให้ แหม...เรานี่มีน้ำใจจริงๆ แต่ดีนะที่ยุงไม่กัดหน้าเรา ตัวเราทายาและฉีดยาครอบอีกรอบ กลิ่นฟุ้ง ยุงไม่กล้ามายุ่งเพราะผิวเราอุดมไปด้วยน้ำมันหอมระเหย ข่า ตะไคร้ทั้งปวง ทุกคนใส่ถุง...เอ๊ย...ทายาป้องกันกันหมด
พวกเราทุกคนลงความเห็นเป็นเอกฉันท์โดยไม่ถามเจ้าของบ้านเลยว่า เราจะมอบ Certificate ให้บ้านไฝ เป็นหอประชุมของพวกเราภายใต้เขตกรุงเทพและปริมณฑล เพราะว่ามีพร้อมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ อุปกรณ์จาน ช้อน หม้อ ไห กระทะ เมนูอาหาร พ่อครัว ความพร้อมระดับเทพ เราถามว่า มีใครถามเจ้าของบ้านซักคำมั้ยว่าเค้ายอมรับรึเปล่า ทุกคนลงความเห็นอีกครั้งว่าไม่จำเป็น ซักพักติ๊กบอกว่า เฮ้ย...ต้องกลับ 2 ทุ่มนะ เราไซโคทันทีว่า “เฮ้ยมึง...บอมมันโล้สำเภามาเลยนะเว้ย กล้ากลับสองทุ่มเหรอ” ติ๊กก็อ้างไปเรื่อยว่าเมียป่วย ไหน...เมียมึงไม่เห็นจะตามจิกเลย อย่ามาอ้าง เอามือถือมา กูจะขออนุญาตปุยให้ ติ๊กมันบอกว่าเมื่อคืนมันก็ไม่กลับบ้านแล้ว เพราะมาเล่นชักกะเย่อกีฬาสีบริษัท นั่นสิ...คืนนี้กลับดึกอีกคืนก็คงไม่เป็นไรมั้ง เพื่อนๆต่อรอง ให้บักติ๊กมันได้อิดออดนิดหน่อยว่าขอเป็น 4 ทุ่มละกันนะ โอเค...อย่างงั้นก็ได้
เราถามบอมเรื่องการสมัครงานกับคาสิโน ว่าอยู่ๆค้นพบได้ไงว่าความเฮียของตัวเองจะมีประโยชน์ มันบอกว่าตอนไปสมัครงาน เค้าให้จับชิปให้ดู ต้องได้ไม่น้อยกว่า 20 อันจะถือว่าโอเค มันจับได้ 22 อัน เดี๋ยวนี้ทำงานก้าวหน้า เลื่อนตำแหน่งเป็น Chief ทำหน้าที่คุมบ่อนแล้ว ไม่รู้จะแสดงความยินดีกับมันดีมั้ย มันทำงานตี 4 ถึงเที่ยง โห...ชีวิต ช่างแสนสบาย...บอมบอกอยากกลับมาเมืองไทยเหมือนกัน จะกลับมาทำอะไรวะ มึงไม่เหมาะกับเมืองไทยแล้วล่ะ บอมพยายามอยากช่วยออกตังค์ค่ากับข้าวที่กินๆกันอยู่ แต่พวกเรายืนยันที่จะไม่เอาตังค์มัน โดยบอกว่าถ้าพวกกูไปออสเตรเลียเมื่อไหร่ มึงก็เลี้ยงไง แลกกันง่ายๆ แค่นั้นเอง...ก็ดูยุติธรรมดี
หลังจากโม้กันไปได้ระยะใหญ่ คนที่กลับก่อนไม่ใช่บักติ๊ก แต่เป็นครอบครัวเอ้-ฝน-พัตเตอร์ เพราะไอ้ลูกลิงมาแปลก ร้องไห้แหกปากจะกลับบ้านท่าเดียว เอ้อุ้มมาปลอบก็ไม่เอาแล้ว น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลพราก “แงๆๆ” เราบอกว่า “ไหนหันมาบ๊ายบายกันก่อน” ถึงมันจะร้องไห้อยู่ แต่ระบบประสาทแยกแยะดีมาก หันมาส่ายมือบ๊ายบาย แล้วก็แหกปากร้องต่อ ทุกคนหัวเราะขำกันกลิ้ง เหมือนมีของเล่นใหม่ เราบอกว่า “สวัสดีค้าบด้วยสิ” มันพักจากร้องไห้ หันมาเอามือพนมหงิกๆไหว้แล้วบอก “ก๊าบ” แล้วก็ร้องไห้อีก ทีนี้บักเอ้ก็แกล้งลูกตัวเอง “ไหนยิ้มหวานด้วย” มันก็หันมายิ้มยิงฟันให้ ยังไม่พอ เอ้บอกอีกว่า “ส่งจูบด้วย” ไอ้ลูกลิงเอามือมาแปะปากตัวเองที่มีทั้งน้ำตา น้ำลาย น้ำมูก ยื่นส่งให้ อี๋....แล้วเอ้-ฝน ก็อุ้มลูกกลับบ้านไปในที่สุด
จากนั้นเราก็นั่งโม้กันต่อ บักฮัทแถลงแผนแต่งงาน บักติ๊กแถลงแผนมีลูกคนแรก ปุ้ยแถลงแผนอยากมีลูกคนแรก แต่เครียดก็จะลำบากมาก ปุ้ยบอกว่าติ๊กไปหาหมอ กินยากำหนัด พวกเราแซวมันเรื่องยาปลุกกำหนัด มันบอกว่าไม่ใช่นะ เป็นยาลดกำหนัดต่างหาก แหม...ถ้าถึงขนาดต้องใช้ยาลดกำหนัดล่ะก็ น่าจะมีลูกเป็นครอกไปแล้ว เราถามมันว่ากินยากำหนัดแล้วมีผลข้างเคียงคือผมขึ้นใช่มั้ย ตอนนี้ผมเต็มกบาลเลย มันบอกว่า ตอนรับปริญญาโทที่จุฬานะ น่าอับอายมาก หัวล้านอย่างแรง...นี่ถ้าบักแห้วได้ยินนะ คงร้องไห้เอาหัวล้านโหม่งฝาตาย เพราะของบางอย่างมันก็เกินกว่าจะเยียวยา ไม่รู้ว่าจริงๆที่ไม่ยอมมา เพราะอายผมทรงซามูไรของตัวเองด้วยรึเปล่า วิ่งทีวิกแทบหลุด
บักอ้วนพยายามแซวบักติ๊กว่าที่มีลูกช้าเพราะว่าอวัยวะบางอย่างบกพร่องต่างหาก ติ๊กก็พยายามเถียง แล้วก็ขุดเอาเรื่องที่แข่งกันในหน่วยความยาว ที่พวกมันเคยเทียบกัน (ซึ่งจนถึงตอนนี้เราก็ไม่รู้ว่ามันเอามาเทียบกันจริงๆรึเปล่า) มาพูดกันให้ผู้แพ้อับอายขายหน้ากันไป ตอนนี้บักอ้วนฟันหลอด้วย ข้างหน้าสองซีก อยู่ๆเราก็เห็น “เฮ้ย ฟันมึงหายไปไหนวะ” มันบอกว่า “ก็หักไง ก็เลยทำฟันปลอม แล้วดูซิที่ล้อฟันตาลไว้มาก ลูกกูป่านนี้ยังไม่หายเลย” มันคงคับแค้นเรื่องนี้มาก บาปกรรมมันช่างติดจรวดซะจริงสมัยนี้ เราแซวบักอ้วนเรื่องที่ลูกเรียกมันว่า “จิ” พวกเราก็รู้ (ในภายหลัง) ว่ามันชื่อเล่นว่าเมจิ แต่เราไม่สน เราถามว่า “จริงๆลูกมึงเรียกชื่อเล่นว่า จิจินี่ จริงๆ มึงชื่อ อสุจิ นามสกุล ว่ายสำเร็จ รึเปล่า” เราโดนเพื่อนโห่ จะมาโห่กันทำไมวะ ถ้าอสุจิพวกมึงทุกตัวว่ายล้มเหลว พวกมึงจะมีลูกกันมั้ย เห็นมั้ยล่ะ ก็เพราะอสุจิ ว่ายสำเร็จแท้ๆ ยังจะมาเถียงอีก
บ้านหลังนี้และไฝ-เปี๊ยกช่างใจดีมีน้ำใจจริงๆ ไม่รู้จะเอาอะไรมาตอบแทน จะไปเด็ดดอกไม้มาให้ก็เป็นดอกไม้บ้านเค้าอีก เจ้าบ้าน 2 คน ไปปั่นเหล้ามาให้ มันเป็นเหล้าปั่นๆ...เหยือกแรกไม่รู้เรียกเท่ๆว่าอะไรเอามาให้พวกผู้หญิงกิน เราไม่อยากกินเหล้าทุกคนคะยั้นคะยอ เอาหน่อยน่าไม่เป็นไรหรอก ก็เหมือนน้ำหวานแหล่ะ คือไอ้เหล้าปั่นนี่กินง่ายไง ชอบนะ แต่เวลาเมานี่ เหนื่อยชิบหาย เลยไม่อยากกินไง แต่เห็นว่ามันเต็มเหยือกเลย...กินก็ได้วะ ก็เลยกินไปแค่เป๊กเดียว นั่งคุยไปเรื่อยๆ ว่าแล้วว่าต้องกินกันไม่หมดแน่ ไม่เหลือน้ำแข็งปั่น เหลือแต่น้ำแล้ว กลัวมันจะไม่เย็น เลยเอามาดื่มทั้งเหยือกให้หมด โดนโห่อีก...อะไรวะ ก็จะช่วย... ทำดีไม่ได้ดีจริงๆ ไฝเห็นว่าหมดแล้ว ไปปั่นเหยือกที่สองมาอย่างรวดเร็ว โห...แม่เจ้าประคุณ ไม่ต้องใจดีขนาดนี้ก็ได้ ขี้เกียจกิน คราวนี้มันเอาแก้วแถมบรีสมาให้เราเทแบ่ง เราบอกว่า เราเป็นคนนะ กินผงซักฟอกไม่เป็น กูไม่ใช่ผักตบชวานะเว้ย แล้วพอน้ำแข็งหมดเหลือแต่น้ำ เราก็ต้องเอาไปดื่มให้หมดเหยือกอีก ไฝทำท่าจะไปปั่นมาอีกรอบ เราบอกว่าพอแล้ว อิ่มท้องจะแตก ขี้เกียจรับผิดชอบ เห็นแล้วเสียดายเฉยๆ
พอสี่ทุ่มติ๊กก็กลับ พาปุ้ยติดรถกลับไปด้วย บักฮัทหนีไปนอนในบ้าน ไม่รู้ว่าเหนื่อยหรือเมา กบก็ไปนอนใกล้ๆ เดี๋ยวเวลาฝันนางสาวชูใจกะนายแสนดีเค้าจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน เราไปเตะบักฮัทบอกมันว่า มึงนอนที่นี่แหล่ะ ไม่ต้องกลับบ้านหรอก ดึกแล้ว พวกเราเก็บโต๊ะม้าหินอ่อนหลังบ้าน ช่วยกันเก็บกวาดเก็บอุปกรณ์ทั้งปวง หลิวกับตาลพากันไปล้างจาน เราเช็ดโต๊ะ เปี๊ยกมาเก็บปลั๊กไฟ พัดลม เราถามเปี๊ยกว่าเหนื่อยมั้ย เปี๊ยกบอกว่าเฉยๆนะ เราเลยแซวว่าแสดงว่าเหนื่อยล่ะสิ เปี๊ยกมันเลยบอก เฉยๆก็แปลว่าไม่เหนื่อยไง ฮ่าๆๆ จะได้มาบ่อยๆ เปี๊ยกคงคิด มึงมากันครั้งเดียวเถอะ แต่บ้านนี้เค้ารับแขกบ่อย ดูจากความพร้อมที่จัดมาให้ น่าจะแก้ปัญหาจนแทบจะป้องกันได้ทุกอย่างแล้ว
ตอนนี้ Survival ผู้รอดชีวิตที่เหลืออยู่คือ ไฝ หลิว ตาล บอม บักอ้วน และตัวเรา บักอ้วนกับบอมย้ายไปดูดบุหรี่หน้าบ้าน เหล่ายุงก็ย้ายตามไป แล้วเราก็ย้ายตามยุงไปอีกที ดมควันบุหรี่เต็มรูปแบบเลยทีนี้ แล้วหลิวก็ย้ายตามเรามา แล้วไฝก็ย้ายตามหลิวมา แล้วตาลก็ย้ายตามไฝมา จะเขียนให้มันงงทำไมวะเนี่ย สรุปว่าพวกเราเป็นผู้รอดตายทั้งหก เปี๊ยกน่าจะปลีกวิเวกไปใช้ชีวิตของตัวเองแล้ว โดยพวกเราพรากไฝมา อี้แน....สนุกจริงๆ พวกเรานั่งวิจารณ์ชาวบ้านกันไป บอมเล่าเรื่องก่อนจะทุบหัวมิซาเอะแล้วลากเข้าถ้ำให้ฟัง ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ก็แฉเลยแล้วกัน (เออ...ความจริง ถ้าใครไม่อยากให้เอาเรื่องอะไรมาเขียน สามารถสั่งไว้ก่อนได้นะ ไม่มีลืม เพราะไม่ได้กินเหล้า...อยาก “เล่า” อย่างเดียวเท่านั้น)
เมื่อก่อนไอ้เสือของเรา มันคบแฟน 2 คนเป็นวิสัยปกติ อยู่บ้านตรงกันข้ามกันเลย มันเหมาจีบทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา คนหนึ่งเป็นญี่ปุ่นก็คือมิซาเอะนี่แหล่ะ แต่ไม่ประสงค์จะออกนาม ตั้งชื่อเป็นนามสมมติดีกว่า เอาเป็นว่าชื่อ “นางสาวมิโสะ” นะ อีกคนหนึ่งเป็นเกาหลี สมมติว่าชื่อ “นางสาวกิมจิ” ไอ้เสือของเรามันสับรางเก่ง ไม่มีใครจับได้ จนวันหนึ่งมีเพื่อนๆของกิมจิทนไม่ได้เลยไปฟ้องกิมจิ เค้าเลยวางแผนจับมัน มันบอกว่าวันนั้นแปลกมาก เพื่อนๆหายหัวหมด เหมือนรู้กัน ทุกคนต่างไม่ว่าง แต่มันก็ไม่รู้ตัว
มันทำตัวปกติไปหามิโสะที่บ้านฝั่งตรงข้าม แล้วมิโสะอาบน้ำอยู่ กิมจิเห็นมันแล้ว แต่แกล้งโทร.มาถามว่ามันอยู่ไหน มันใช้ข้ออ้างพื้นฐานบอกอยู่มหาลัย ทำรายงาน พอมันมารอในบ้านเท่านั้นแหล่ะ มีเสียงมาเคาะประตูปังๆๆ มันไปเปิด มันพยายามพากิมจิหลบขึ้นข้างบน มิโสะออกมาจะได้ไม่เจอ แล้วมันก็ลงมาหามิโสะ กะจะพาไปซ่อนที่อื่น แต่เค้าก็มาจะเอ๋กันจนได้ มันก็ถูกรุมทุบตี ถึงเพื่อนเรามันจะเป็นเสือ แต่มันก็ไม่สู้ผู้หญิงนะ อาศัยชิ่งวิ่งหนีเอา เราบอกมันว่า อ้าว...นี่ก็นิสัยปกตินี่หว่า อยู่เมืองไทย กูเห็นมึงก็หนี...มันพยายามบ่ายเบี่ยงว่าไม่เหมือน แต่กูว่ายังไงมันก็เหมือนอยู่ดีแหล่ะ
มันบอกว่าโดนอีกครั้งนี่กลางสถานีรถไฟ โดนจับได้ในที่สาธารณะ มีมหาชนเป็นสักขีพยานเพียบ มันไม่รู้ว่าผู้หญิงสองคนนี้เค้าทำความรู้จัก พูดคุยกันแล้ว ก็เลยส่งข่าวให้กันได้ มันเลยซวย ถูกตบถูกตีกลางสถานีรถไฟ มันก็ไม่สู้ แหม...ไม่รู้จะชมเพื่อนว่าเป็นสุภาพบุรุษเหี้ยๆดีมั้ย มันบอกว่าได้แต่วิ่งหนีเอาตัวรอด ครั้งนั้นมิโสะโกรธมาก ประมาณแม่ซื้อตั๋วให้ลูกกลับญี่ปุ่นเลย แล้วมันก็ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับกิมจิเรื่อยมา จนมันคิดได้ว่ากิมจิไม่ใช่ตัวจริง มันก็เลยเลิก แล้วโทร.ไปง้องอนมิโสะให้กลับมาอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนกับมันใหม่ ตำนานโรม่า-เร็นก็มีกำเนิดดังนี้แล เกือบมีหลานเป็นเกาหลีแล้วนะพวกเรา
ถึงดึกดื่น หลิว อ้วน ยังคงกินเหล้ากันอยู่ ส่วนบักบอมขอยาดม มาสูดเอาสูดเอา แทบจะแดกเข้าจมูกไปอยู่แล้ว เราบอกมันว่า ก็อายุมากขึ้นกันแล้วนะ ไม่มีความทนทานในการกินเหล้ามาราธอนเหมือนแต่ก่อน ก็อย่าไปฝืนเลย ชนโค้กดีกว่า ไม่เมาไม่เลิกรา พวกเรานั่งคุยกันจนถึงหกทุ่มกว่า ไฝก็เรียกแท็กซี่มารับบอมกลับบ้านไป เดินเข้าไปในบ้านถึงรู้ว่าบอมมันลืมเอากล้องกลับ เปิดดูรูปในกล้อง มีผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่ง แต่หน้าคล้ายเกย์คิงนะ ไปเที่ยวกับครอบครัวมันตลอดทริป เราเดาว่าเป็นน้องชายมัน แต่ไฝบอกหน้าไม่เห็นจะเหมือนกันเลย แล้วเราก็ขี้เกียจดูต่อ รูปมันเยอะจัด ไปอาบน้ำนอนดีกว่า
รู้ว่าบ้านไฝเหมาะแก่การซ่องสุมมากขึ้นตอนเข้านอน ไฝยกห้องให้ครอบครัวอ้วนห้องหนึ่ง ส่วนห้องที่เรานอน นางสาวแสนดีกับนายชูใจยึดพื้นที่บนเตียง ส่วนเรา ตาล หลิว นอนข้างล่าง โดยมีการปูที่นอน และมีผ้าห่มพร้อมสำหรับทุกคน เปิดแอร์เย็นฉ่ำไว้รอคอย เราหลับตาลงโดยทิ้งความสุขเล็กๆไว้เบื้องหลัง และหลับสนิทอย่างรวดเร็ว ถ้าจำไม่ผิดสิ่งสุดท้ายที่ทำก่อนหลับคือ...ยิ้ม....
ตื่นมาเช้าวันใหม่ตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถือไอแพดเดินเข้าส้วมไปขี้ วันนี้มีขี้ให้ขี้เยอะมาก กว่าจะหมด ออกมาตอนหกโมงเครึ่ง กลับไปนอนเล่นไอแพดต่อ ฮัทกับน้องกบหนีกลับไปในขณะเรานั่งขี้ สงสัยกลัวโดนประณามเลยหนีออกไปเงียบๆ อยากบอกว่า ไม่ทันแล้วแหล่ะต๋อย...นอนเล่นเกลือกกลิ้งไปมา อมขี้ฟันนอนคุยกับตาล หลิวไม่แสดงความเห็นอะไร เพราะมันหลับอยู่ ละเมอมาคุยกันไม่ได้ เราบอกตาลว่า ดีใจมากเลยที่เพื่อนๆมีลูก การที่เราเล่นกับลูกๆเพื่อน มันสนุกดีชะมัด ตาลถามว่าไม่อยากมีเป็นของตัวเองเหรอ เราบอกว่างั้นก็ต้องรับผิดชอบดิวะ เล่นกับลูกชาวบ้าน พอแกหมดมุข แกก็เดินหนีได้ ทำได้ง่ายมาก ถ้าเป็นลูกเรานี่ มันติดเป็นตังเม ทิ้งไม่ได้ ต้องตามหายใจรดต้นคอเราไปทุกที่เลยนะ แต่เราสังเกตเห็นนะ เด็กแต่ละคนมีบุคลิกที่แตกต่าง เราต้องทำให้เค้าไว้ใจเราคนละแบบ ไม่เหมือนกัน แต่เด็กมันจะรับรู้ได้ ก็เหมือนคนรักหมาแหล่ะ เค้ารู้ว่าหมาไม่น่ากลัว แต่เราไม่รักหมา เรารักแต่เด็ก เพราะหมาเคยกัดหัวกบาลเรา เย็บตั้งหลายเข็ม แต่เด็กไม่เคยทำนะ
แล้วไฝก็ Line มาตามไปกินข้าว โอ้...มายก้อด...ถึงกับต้องตามกันด้วยวิธีนี้ ไฝเตรียมอุปกรณ์ทำไข่กระทะไว้ให้ น่ากินมากๆ คือให้พวกเราไปทำกินเอง ไฝเอาเบคอนมาให้หั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ ตาลมันก็หั่นๆไป พอหลิวลงมา หลิวบอกว่าตาลหั่นเล็กเกินไป เวลากินเดี๋ยวมองไม่เห็น เอาฮอทด็อกมาหั่นเป็นแว่นๆ หยิบให้คิมกิน คิมชอบใจใหญ่เลย บอกมันว่า เดี๋ยวเราต้องมาชนกันก่อนกินนะ คือเอาฮอทด็อกมาชนกันเหมือนชนแก้ว บอกหลานว่ามันจะอร่อยขึ้นนะ ชนก่อนๆ ไอ้คิมหยิบยัดเข้าไปในปากแล้ว แต่ยังไม่เคี้ยว มันเลยคายออกมา เอามาชนกับเรา นี่มันซื่อหรือมันแกล้งวะ จะไม่ชนด้วย ก็กลัวว่าจะเสียคำพูด เป็นผู้ใหญ่แล้ว หัวเราะกันใหญ่ก่อนกิน คิมมันคงหัวเราะที่รู้วิธีการกินแบบใหม่ให้อร่อยขึ้น ส่วนกูหัวเราะอนาถตัวเองได้แดกน้ำลายเด็ก เอาวะ...ไหนๆก็ไหนๆแล้ว
ทุกคนทำไข่กระทะได้น่ากินและอร่อยมาก คงจะพอนึกออกกันใช่มั้ยว่าของหลิวต้องพิเศษกว่าชาวบ้าน คือมันใส่ทุกอย่างแบบโอเว่อร์ทั้งหมด แต่ไข่กระทะที่ทำกัน ขนาดเด็กชายคิมยังชอบกินเลย น่ารักจริงอะไรจริง ตาลขอถ่ายรูปกับคิม เพื่อยืนยันความเหมือนของอวัยวะบางอย่าง ถ้าชาร์ลส์ ดาร์วินหรือ เกรเก้อร์ เมนเดล อยู่ในยุคสมัยนี้และเป็นเพื่อนเรา พวกนั้นคงจ๋อย ไม่กล้าเสนอทฤษฎีวิวัฒนาการหรือพันธุศาสตร์แน่ๆ เพราะของบางอย่างก็ดันไม่ได้ถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่ถ่ายทอดตามเวรกรรมล้วนๆ หลิวบอกว่าเป็นพุทธศาสนา กรรมที่บักอ้วนมันล้อฟันตาลไว้ ปรากฏในรุ่นลูกอย่างชัดเจน
ทีวีบ้านไฝต่อคอมพิวเตอร์ไว้ เลยสามารถใช้แป้นพิมพ์พิมพ์เล่นอินเตอร์เน็ตได้เลย คิมดูยูทูปสนุกสนานใหญ่ พอเริ่มงอแงร้องบอก “จะเอาผีๆ” ไม่มีใครเข้าใจ ผีรุ่นเราตอนเด็กก็มีแต่คิวทาโร่ เปิดอะไรให้ก็ร้องบอกว่า ไม่ใช่ๆท่าเดียว บักอ้วนถามลูกว่าเอาอะไรนะ แล้วมันก็ทวนคำลูก แต่เปลี่ยน ผ.ผึ้ง เป็น ห.หีบ “จะเอา.....ๆ”(ไปเติมกันเอาเองนะ) สะดุ้งโหยง วงแตกตลกแดกรับประทานทันที คิมเดินมาที่แท็ปเล็ตบักอ้วนเพื่ออธิบาย อ้วนบอกว่าบางทีลูกก็อยากได้อะไรที่ตัวเองเคยเห็นแต่อธิบายไม่เป็น ลำบากมาก เพราะผู้ใหญ่ไม่เข้าใจ เลยหยิบอะไรให้ไม่ถูก ต้องเดาๆเอา คิมมาชี้เกมส์ที่แท็ปเล็ต ปรากฏว่าสิ่งที่อยากดูคือเกมส์ปลูกทานตะวันที่มีซอมบี้อยู่ บักอ้วนดุลูกว่า แล้วทำไมไม่พูดว่า “ซอมบี้” เท่านี้ทุกคนก็รู้เรื่องแล้ว พอกดซอมบี้ให้ เด็กก็เป็นสุขใจ นั่งยิ้มนั่งหัวเราะ เลิกงอแงทันที
ไฝต้มข้าวต้มหมูมาให้ ก็พากันซัดโฮกเข้าไปอีก จะกินอะไรกันนักกันหนา ไอ้ที่ขี้ออกไปก็เหนื่อยจะแย่แล้ว แต่ความคิดนี้ไม่ใช่สำหรับหลิว เพราะสำหรับหลิวนั้น มันต้องขอสอง ข้าวต้มมันพิเศษกว่าชาวบ้านตรงที่มันเอากุ้งกับปลาหมึกที่เหลือเมื่อคืนมาแกะใส่ด้วย อายุขนาดนี้แล้วมันเอาท้องที่ไหนมาเก็บนักหนาวะ น่าจะมีหลายกระเพาะจริงๆนั่นแหล่ะ
บักบอมขับรถกลับมาเอากล้อง เลยได้คุยกันต่ออีก บอมบอกว่ามิซาเอะไปเกาะเกร็ดกับแม่ บักบอมมานี่ อ้าว...แล้วลูกๆมึงล่ะ มันบอกก็อยู่กับญาติๆไง เออ...ดีเว้ย ไม่ต้องเฝ้า บอมเพิ่งเห็นอ้วนฟันหลอ อ้วนบอกว่าแผงที่รองฟันปลอมมันหักเมื่อคืน ไม่รู้หักได้ไง มันเล่าให้ฟังเรื่องงานที่ต้องไปบรรยายให้ความรู้คนอื่นด้วย เรานึกหน้าเพื่อนช็อตนั้นไม่ออกจริงๆนะ เราถามมันว่า “อ้วนๆ ถ้ามึงแบบว่าแอบเล่นมุข บรรยายอยู่ดีๆ แล้วแอบถอดฟันปลอมออกมา มึงว่าคนฟังมันจะหัวเราะมั้ย มึงลองหน่อยดิ กูอยากรู้อ่ะ กูว่ามันตลกดีนะ” ว่าแล้วพวกเราก็นั่งหัวเราะ มันเล่าว่าเคยเจอมาแล้ว อยู่ๆเสือกหลุด มันบอกว่า มันหันหน้าเข้าหากระดานอย่างด่วน แล้วบอกให้ทุกคนดูที่สไลด์ครับ แล้วก็ติดตั้งฟันปลอมได้สำเร็จ
บอมเฉลยให้ฟังว่า คนในกล้องที่เรากับไฝพูดถึงเมื่อคืนก็คือน้องชายมันจริงๆแหล่ะ นั่งโม้ๆกันอยู่ บักอ้วนก็เห็นกระแตวิ่งมาที่หน้าบ้าน แล้วมันก็เริ่มชี้ที่ฟันตาล แล้วล้อว่าฟันตาลเหมือนกระแต ปฏิกิริยาที่ไม่น่าเชื่อก็คือ ลูกมันต่อยพุงมัน ไม่ให้มันล้อตาล มันเลยเบิร์ดกบาลลูกตัวเองเบาๆ แล้วบอกว่า “ใช่ซี้...แกมันพวกเดียวกันนี่” โคตรตลกเลย สัญชาตญาณเด็กแท้ๆ ลูกชายบักอ้วนไม่กลัวผี แต่กลัวการชกมวย ไม่กล้าเล่นเกมส์ชกมวย แต่ชอบดูนะ ก็แอบชอบความรุนแรงอยู่ พอยื่นไปให้เล่นเอง ระบบอัตโนมัติทำงาน แหกปากร้องไห้ทันที แต่ชอบให้บักอ้วนเล่นให้ดู ความจริงเหมาะกับการเป็นดารามากนะ ไปหัดกลัวเงาะ กลัวสับปะรดอีกนิดหน่อยก็ได้แล้ว มันเกือบแล้วลูก...เกือบแล้ว เราแซวมันว่าอีกหน่อยถ้ามันมา “สวัสดีค่ะคุณพ่อ มึงจะทำไง” อ้วนบอกว่าก็กลุ้มอยู่นิดๆ ว่าแล้วมันก็โชว์ให้ดู ด้วยการถามลูกว่า “ใครลูกชายพ่อ ยกมือขึ้น” แล้วคิมก็ยกมือ หลังจากนั้นเกดถามต่อทันที “ใครลูกสาวแม่ ยกมือขึ้น” คิมมันก็ยกมืออีก บักอ้วนเลยปวดขมับ ได้แต่นั่งฟันหลอทำใจไป
พวกเราออกจากบ้านไฝประมาณเที่ยง ก็คืออยู่ครบ 24 ชั่วโมงพอดี บอมขับรถนำทางออกมา เสือกพาหลงในหมู่บ้านซะงั้น บ้านไฝอยู่ซอย 17 ซึ่งอยู่ท้ายๆซอยแล้ว แต่ทุกอย่างเป็นแบบเขาวงกต วนๆเวียนๆ หมู่บ้านใหญ่มาก บักอ้วนขับรถตามบักบอม คิดแล้วก็ขำดี ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใคร เรา หลิว ตาล นั่งรถมากับอ้วน ติดรถไปเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ นั่งรถเข้าอนุสาวรีชัยฯ แล้วโบกมือบ๊ายบายตาล โอกาสหน้าพบพานกันใหม่ เรากับหลิวยังมีภารกิจร่วมกันต่อ คือต้องไปวางแผนทำทริปเตรียมเข้าพม่ารามัญในเดือนพฤศิกา ก็เลยนั่งรถไฟฟ้าไปที่หอศิลป์ ตรงมาบุญครอง เพื่อไปเอาแอร์และสถานที่ (ที่ไม่ต้องเสียตังค์) พวกเราไปเลือกที่นั่ง ในที่สุดก็ได้ทำเลเหมาะเจาะ นั่งอยู่หัวมุมตึก คือนั่งกับพื้นเลย กางกระดาษ หนังสือหนังหาเต็มไปหมดเหมือนเตรียมสอบ ทำจนง่วงมาก ห้าโมงกว่ากลับบ้านกันดีกว่า ไม่ไหวแล้ว นั่งรถไฟฟ้ากลับกันไป ทิ้งไว้แค่ความทรงจำดีๆ แล้วเจอกันใหม่...
จบทริป...โชคดี...สำลีแปะหัว...
It’s me…
สำหรับวันที่ 13-14 ตุลาคม 2012 ที่ผ่านมา