วันนี้ได้เรื่องเล่ามาจากพี่คนขับรถรับส่งพนักงานของบริษัท พี่แกชื่ออะไรก็ไม่รู้ แต่เราเรียกแกว่า พี่อ้วน เรียกตามคุณลักษณะของน้ำหนักตัว ที่คงจะประมาณสามตัวเราถึงจะเท่าหนึ่งตัวแก และชื่อนี้เป็นชื่อที่ใช้เฉพาะลับหลังเท่านั้น คือ...ต่อหน้าก็ไม่เคยพูดกับแกหรอก นอกจากบอกว่า ขอบคุณค่ะ ตอนจะลงจากรถ ซึ่งไอ้คำๆนี้ มันก็ไม่ถูกใช้กับแกบ่อยๆหรอกนะ เราขึ้นและลงจากรถคันนั้นเกือบทุกวันที่มาทำงาน แต่ก็ไม่อยากจะพูดคำขอบคุณออกมา เพราะมันไม่รู้สึกว่าเค้าสมควรจะได้รับเลยน่ะสิ เหอะๆๆ...
พี่อ้วนหรือตาอ้วนคนนี้แกขับรถรับส่งพนักงาน อ้าว...บอกไปแล้วนี่ อยากจะย้ำน่ะ รถรับส่งพนักงานเป็นรถบัสขนาดประมาณ 50 ที่นั่ง แกไม่ได้เป็นพนักงานของบริษัทเราหรอก แต่เป็นคนของบริษัทที่บริษัทเราจ้างมาอีกต่อหนึ่ง เพื่อให้กระทำแต่การนี้โดยเฉพาะ เช้า-เย็น และดันเป็นเส้นทางที่เราต้องขึ้นซะด้วย ไอ้ที่เราประทับใจจนกระทั่งต้องเอามานั่งเทียนเขียนถึงน่ะเหรอ มันเป็นเพราะว่าเราไม่รู้จะทำยังไงแล้วน่ะสิ ขอเหอะๆๆอีกสักทีเถอะวะ
ไอ้พี่อ้วนตีนผี เริ่มขับรถคันนี้มาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว หลังจากที่นั่งรถคันนี้มาหลายไตรมาส เราก็สามารถสรุปคอนเซ็ปท์การขับรถของแกได้อย่างสั้นๆง่ายๆว่าเป็นสไตล์แบบ ‘ฉันไม่ยอม’ พี่แกขับรถบัส บางวันบรรทุกพนักงานกว่าครึ่งร้อย แต่ทำตัวเหมือนตัวเองเป็นแว้นบอย (ทั้งๆที่พวกกูก็ไม่ได้อยากเป็นสก๊อยเกิร์ลเลยซักนิด) ไม่ว่าจะเป็นตอนรถออกตัว ตอนรถวิ่ง หรือตอนรถจอด มันช่างห่างไกลจากคำว่า ‘มารยาทดี’ มากมายนัก
แกจะชอบโลดแล่นบนท้องถนนประหนึ่งว่ากำลังประคองมาสด้าสองไปประลองความเร็ว ซึ่งในช่วงเวลาเช้าหกโมงครึ่งถึงเจ็ดโมงครึ่ง เส้นทางไปนิคมอุตสาหกรรม มันก็ทำความเร็วอะไรไม่ได้หรอก แกก็ได้แต่หลอกตัวเองไปวันๆ แซงซ้าย ป่ายขวาไปเรื่อย รถตัวเองเป็นรถใหญ่ไง ก็เลยทำตัวไม่สน อย่างที่บอกว่ามันทำความเร็วไม่ได้ แต่ความกระชากนี่ได้ใจมาก บนท้องถนนนี้ พี่จะไม่ยอมใครเป็นเด็ดขาด ขับเร็วๆ เพื่อจะไปเบรคให้มันจี้ตูดรถชาวบ้าน ยิ่งถ้าเป็นมอเตอร์ไซด์นี่ของโปรดเลย เจอฤทธิ์แตรพี่แกแน่ๆ เบรคแต่ละที คนที่นั่งอยู่บนรถอย่าหวังว่าจะครองตัวอยู่ระนาบเดิม ยังไงมึงก็ต้องมีหัวทิ่มกันบ้าง ไม่มากก็น้อย แต่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุอะไร
เราวิแคะออกมาได้ว่า เพราะตีนแกมันมีเซ็นเซอร์ ตัดก่อนตาย เตือนก่อนวายวอด เหยียบเบรคทันทุกครั้งไปสิน่า แกเป็นอะไรไม่รู้ ถ้ารถจะออกมาจากปากซอย แกจะไม่เคยเอื้อเฟื้อให้เค้าเลยซักครั้ง แต่ถ้ากูจะโผล่ออกมาล่ะก็ ถ้ามึงกล้าพอ ก็ชนดู กูจะออกซะอย่าง คือรถกูใหญ่ กูไม่ยอม ใครจะมาแซง แกก็ไม่เคยยอมให้เค้าแซง แต่ถ้ากูจะแซงล่ะก็ มึงลองไม่ยอมดูสิ ถามว่า กล้ารึเปล่าดีกว่า เมื่อวันก่อนลงมาจากรถตอนเย็นกับน้องที่ทำงานอีกคนหนึ่ง สองคนมองตากันเหมือนรู้ใจ และส่ายหัวใส่กัน
“ผมว่า ตาอ้วนนี่...” น้องที่ทำงานอยากออกความเห็น
“เหี้ยได้ใจ คอนเซ็ปท์ฉันไม่ยอมไงมึง” เราพูดต่อประโยคออกไปโดยอัตโนมัติ
หลังจากที่ก่อนปล่อยพวกเราลง แกปาดหน้ารถออีกคันที่กำลังจะออกจากซอย อย่างไม่ปราณีปราศรัย แบบอีกไม่ถึงฝ่ามือก็จะชนอยู่แล้ว แหม...รอดได้ไงวะ นี่ยังไม่นับที่เราเดินลงมาอย่างเวียนหัว เพราะแกเบรคจึ้กๆ เราหัวทิ่มมาตลอดทาง สงสัยว่าแกเคยขับรถแข่ง รึว่าเคยขับรถร่วมขสมก.มาก่อนกันแน่ เฮ้อ...อนิจจังจริงๆกู
ถึงจะน่าเบื่อมากขนาดไหน แต่เมื่อคนเราเจอปัญหา เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไข สำหรับเราสิ่งที่ทำได้ ไม่ใช่คือบอกหรือเตือนแก เพราะเมื่อคิดให้ดีแล้ว ถ้าเราเตือนไป ตีนที่เคยใช้เหยียบคันเร่ง อาจเปลี่ยนมาเหยียบเราแทน แล้วมวลชนที่ไหนมันจะมาออกหน้าสู้ให้เราวะ มันไม่ใช่ว่าเรามีปากก็สักแต่จะพูดออกไปได้ ถ้าพี่ชายเราชื่อเขาทราย กาแล็คซี่ก็ว่าไปอย่าง หันดูรอบตัวแล้ว ก็ไม่มีอาวุธอะไรจะไปสู้เค้าได้ ก็เลยเอาวะ ใครจ้างมา กูไปบอกคนนั้นก็ได้
คิดได้ดังนั้น เราก็ไปบอกฝ่ายบุคคลซึ่งดูแลรับผิดชอบเรื่องรถรับส่ง จริงๆก็มีผู้คนร้องเรียนเยอะ แต่ว่าฝ่ายบุคคลไม่มีใครนั่งรถคันนี้เลย เราก็ท้าให้เค้ามานั่งดู แต่ก็ไม่มีใครสน สงสัยมันเหมือนการพูดเล่นมากเกินไป จะไปดุด่าว่าเค้าแรงๆก็ใช่ที่ จะเสียสัมพันธภาพกันเปล่าๆ แล้วเราเองก็ไม่มีน้ำหน้าบ้าพอที่จะไปเก๊กด่าใคร ถ้าเค้าไม่เป็นอย่างใจเราด้วย เซ็งว่ะ...กูเล็ก กูยอม...อีกแล้ว นั่งหลับหนีเอาละกัน แต่มันก็ทำได้เฉพาะขามาทำงาน ขากลับ ถ้าหลับ อาจจะเลยได้
และก็เพราะว่าทำอะไรไม่ได้อีกแล้วนั่นแหล่ะ ถึงได้เอามาปรับทุกข์กับหน้ากระดาษระบายความอับจนปัญญาของตัวเอง ตอนนี้ทำแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมอีกอย่างคือ ลุ้นทุกวัน ให้มันชนซักครั้งเถอะวะ ด้วยเซ็นเซอร์ตีนที่ดีเป็นเลิศของแก ทำให้เราประมาณการได้ว่า ถ้าชนกัน มันต้องไม่เกิดอะไรร้ายแรงอย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยๆก็ได้เสียเวลา รถเสียหายนิดหน่อย ซึ่งก็เป็นผลกรรมจากการกระทำของตีนแกนั่นแหล่ะ วันนั้นมาถึงเมื่อไหร่ แม่จะแอบสะใจให้เข็ดหลาบไปเลย และมันคงเป็นการสั่งสอนให้แกหัดระมัดระวังขึ้นบ้าง และตูก็จะแอบเผื่อแผ่อาการสะใจไปที่คนรับแจ้งเรื่องของเรา แล้วเค้าวางเฉยด้วย จะมาวางอุเบกขากับเรื่องอย่างนี้มันจะดีเหรอ...
เห็นเรื่องตีนตาอ้วน ก็ทำให้นึกขึ้นมาได้ถึงเรื่องต่างๆอีกมากมายในสังคม สังคมที่ผู้คนพยายามหาเหตุอะไรมาสร้างอัตตาให้ยึดติด เพื่อจะเป็นเหตุรองรับการใช้ชีวิตแบบ ‘กูไม่ยอม’ ได้อย่างภาคภูมิใจ จะภูมิใจไปทำไม ที่พ่อแม่ยิ่งใหญ่ เพื่อนเรา ญาติเราใหญ่โตซะจน คนที่มีหน้าที่รักษากฏหมายก็ยังไม่กล้าจับเรา ทำให้เราไร้มารยาท ข่มขู่ใครก็ได้ บางคนก็เบ่งได้ อวดได้ ว่าใครซักคน...เอ่อ...ต้องพยายามหาความสัมพันธ์ให้เจอด้วยนะ เช่น เพื่อนของเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนพ่อเป็น พลเอก อะไรซักอย่าง ตู่เอาว่ารู้จักซะเลย ที่จะทำให้การขับรถผ่าไฟแดงของเราดูไม่ผิดขึ้นมาในทันใด
มันน่ายินดีตรงไหน ที่เราแค่อวดอ้างบารมีของคนอื่นเพื่อให้เราพ้นผิด หรือทำผิดได้อย่างหน้าไม่อาย เพื่อที่จะบอกไอ้คนฝั่งตรงข้ามว่ากูใหญ่กว่ามึงนะเว้ย อย่ามาหือ อย่ามาสะเออะเชียว ถ้าสังคมประกอบไปด้วยคนแบบนี้เต็มไปหมดมันจะเป็นยังไง ถ้าทุกคนไม่ยอมกันเลยมันจะเป็นยังไง กูใหญ่ กูใหญ่กว่า กูใหญ่กว่ามึงอีก กูสิใหญ่ที่สุด...กูเล็ก แต่กูไม่ยอม กูเผาแม่งเลย...ประเทศชาติซวยมั้ยล่ะ ก็เคยกันมาแล้วทั้งนั้น แล้วก็ต้องมานั่งโทษกันไปมา แล้วมันก็ไม่มีตอนจบซักที
เราว่าเรื่องพวกนี้ มันก็เรื่องเดียวกันแหล่ะ เป็นอย่างงี้เสมอเลย เริ่มจากเล็กๆ เก็บกด สะสม ลามปาม ห้ามไม่อยู่ ติดเป็นสันดาน ถ้าเริ่มดี ถูกสอนให้ดีตั้งแต่เล็ก เวลาอยู่ร่วมกันเป็นสังคม เคารพสิทธิ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักมองใจเขาใจเรา ไม่แก้ปัญหาด้วยอารมณ์ สังคมจะเล็กใหญ่ก็สงบสุขได้ทั้งนั้น คนเราคงลืมไปแล้วว่าฮิตเล่อร์สุดท้ายก็ตายดับไม่เห็นจะอยู่ค้ำฟ้าเลย จะใหญ่กันไปถึงไหนนั่น
บ่นไปก็หลายหน้ากระดาษ หรือว่าเราจะยอมให้เรื่องมันผ่านเลยไปดีกว่า...ว้า แย่จัง!...
It’s me…
ฉันยอม...ก็ได้วะ...
28 กุมภาพันธ์ 2555