วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ฉันไม่ยอม...


           วันนี้ได้เรื่องเล่ามาจากพี่คนขับรถรับส่งพนักงานของบริษัท พี่แกชื่ออะไรก็ไม่รู้ แต่เราเรียกแกว่า พี่อ้วน เรียกตามคุณลักษณะของน้ำหนักตัว ที่คงจะประมาณสามตัวเราถึงจะเท่าหนึ่งตัวแก และชื่อนี้เป็นชื่อที่ใช้เฉพาะลับหลังเท่านั้น คือ...ต่อหน้าก็ไม่เคยพูดกับแกหรอก นอกจากบอกว่า ขอบคุณค่ะ ตอนจะลงจากรถ ซึ่งไอ้คำๆนี้ มันก็ไม่ถูกใช้กับแกบ่อยๆหรอกนะ เราขึ้นและลงจากรถคันนั้นเกือบทุกวันที่มาทำงาน แต่ก็ไม่อยากจะพูดคำขอบคุณออกมา เพราะมันไม่รู้สึกว่าเค้าสมควรจะได้รับเลยน่ะสิ เหอะๆๆ...

          พี่อ้วนหรือตาอ้วนคนนี้แกขับรถรับส่งพนักงาน อ้าว...บอกไปแล้วนี่ อยากจะย้ำน่ะ รถรับส่งพนักงานเป็นรถบัสขนาดประมาณ 50 ที่นั่ง แกไม่ได้เป็นพนักงานของบริษัทเราหรอก แต่เป็นคนของบริษัทที่บริษัทเราจ้างมาอีกต่อหนึ่ง เพื่อให้กระทำแต่การนี้โดยเฉพาะ เช้า-เย็น และดันเป็นเส้นทางที่เราต้องขึ้นซะด้วย ไอ้ที่เราประทับใจจนกระทั่งต้องเอามานั่งเทียนเขียนถึงน่ะเหรอ มันเป็นเพราะว่าเราไม่รู้จะทำยังไงแล้วน่ะสิ ขอเหอะๆๆอีกสักทีเถอะวะ

          ไอ้พี่อ้วนตีนผี เริ่มขับรถคันนี้มาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว หลังจากที่นั่งรถคันนี้มาหลายไตรมาส เราก็สามารถสรุปคอนเซ็ปท์การขับรถของแกได้อย่างสั้นๆง่ายๆว่าเป็นสไตล์แบบ ฉันไม่ยอม พี่แกขับรถบัส บางวันบรรทุกพนักงานกว่าครึ่งร้อย แต่ทำตัวเหมือนตัวเองเป็นแว้นบอย (ทั้งๆที่พวกกูก็ไม่ได้อยากเป็นสก๊อยเกิร์ลเลยซักนิด) ไม่ว่าจะเป็นตอนรถออกตัว ตอนรถวิ่ง หรือตอนรถจอด มันช่างห่างไกลจากคำว่า มารยาทดี มากมายนัก

          แกจะชอบโลดแล่นบนท้องถนนประหนึ่งว่ากำลังประคองมาสด้าสองไปประลองความเร็ว ซึ่งในช่วงเวลาเช้าหกโมงครึ่งถึงเจ็ดโมงครึ่ง เส้นทางไปนิคมอุตสาหกรรม มันก็ทำความเร็วอะไรไม่ได้หรอก แกก็ได้แต่หลอกตัวเองไปวันๆ แซงซ้าย ป่ายขวาไปเรื่อย รถตัวเองเป็นรถใหญ่ไง ก็เลยทำตัวไม่สน อย่างที่บอกว่ามันทำความเร็วไม่ได้ แต่ความกระชากนี่ได้ใจมาก บนท้องถนนนี้ พี่จะไม่ยอมใครเป็นเด็ดขาด ขับเร็วๆ เพื่อจะไปเบรคให้มันจี้ตูดรถชาวบ้าน ยิ่งถ้าเป็นมอเตอร์ไซด์นี่ของโปรดเลย เจอฤทธิ์แตรพี่แกแน่ๆ เบรคแต่ละที คนที่นั่งอยู่บนรถอย่าหวังว่าจะครองตัวอยู่ระนาบเดิม ยังไงมึงก็ต้องมีหัวทิ่มกันบ้าง ไม่มากก็น้อย แต่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุอะไร

เราวิแคะออกมาได้ว่า เพราะตีนแกมันมีเซ็นเซอร์ ตัดก่อนตาย เตือนก่อนวายวอด เหยียบเบรคทันทุกครั้งไปสิน่า แกเป็นอะไรไม่รู้ ถ้ารถจะออกมาจากปากซอย แกจะไม่เคยเอื้อเฟื้อให้เค้าเลยซักครั้ง แต่ถ้ากูจะโผล่ออกมาล่ะก็ ถ้ามึงกล้าพอ ก็ชนดู กูจะออกซะอย่าง คือรถกูใหญ่ กูไม่ยอม ใครจะมาแซง แกก็ไม่เคยยอมให้เค้าแซง แต่ถ้ากูจะแซงล่ะก็ มึงลองไม่ยอมดูสิ ถามว่า กล้ารึเปล่าดีกว่า เมื่อวันก่อนลงมาจากรถตอนเย็นกับน้องที่ทำงานอีกคนหนึ่ง สองคนมองตากันเหมือนรู้ใจ และส่ายหัวใส่กัน

“ผมว่า ตาอ้วนนี่...” น้องที่ทำงานอยากออกความเห็น

 “เหี้ยได้ใจ คอนเซ็ปท์ฉันไม่ยอมไงมึง” เราพูดต่อประโยคออกไปโดยอัตโนมัติ 

หลังจากที่ก่อนปล่อยพวกเราลง แกปาดหน้ารถออีกคันที่กำลังจะออกจากซอย อย่างไม่ปราณีปราศรัย แบบอีกไม่ถึงฝ่ามือก็จะชนอยู่แล้ว แหม...รอดได้ไงวะ นี่ยังไม่นับที่เราเดินลงมาอย่างเวียนหัว เพราะแกเบรคจึ้กๆ เราหัวทิ่มมาตลอดทาง สงสัยว่าแกเคยขับรถแข่ง รึว่าเคยขับรถร่วมขสมก.มาก่อนกันแน่ เฮ้อ...อนิจจังจริงๆกู

          ถึงจะน่าเบื่อมากขนาดไหน แต่เมื่อคนเราเจอปัญหา เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไข สำหรับเราสิ่งที่ทำได้ ไม่ใช่คือบอกหรือเตือนแก เพราะเมื่อคิดให้ดีแล้ว ถ้าเราเตือนไป ตีนที่เคยใช้เหยียบคันเร่ง อาจเปลี่ยนมาเหยียบเราแทน แล้วมวลชนที่ไหนมันจะมาออกหน้าสู้ให้เราวะ มันไม่ใช่ว่าเรามีปากก็สักแต่จะพูดออกไปได้ ถ้าพี่ชายเราชื่อเขาทราย กาแล็คซี่ก็ว่าไปอย่าง หันดูรอบตัวแล้ว ก็ไม่มีอาวุธอะไรจะไปสู้เค้าได้ ก็เลยเอาวะ ใครจ้างมา กูไปบอกคนนั้นก็ได้

          คิดได้ดังนั้น เราก็ไปบอกฝ่ายบุคคลซึ่งดูแลรับผิดชอบเรื่องรถรับส่ง จริงๆก็มีผู้คนร้องเรียนเยอะ แต่ว่าฝ่ายบุคคลไม่มีใครนั่งรถคันนี้เลย เราก็ท้าให้เค้ามานั่งดู แต่ก็ไม่มีใครสน สงสัยมันเหมือนการพูดเล่นมากเกินไป จะไปดุด่าว่าเค้าแรงๆก็ใช่ที่ จะเสียสัมพันธภาพกันเปล่าๆ แล้วเราเองก็ไม่มีน้ำหน้าบ้าพอที่จะไปเก๊กด่าใคร ถ้าเค้าไม่เป็นอย่างใจเราด้วย เซ็งว่ะ...กูเล็ก กูยอม...อีกแล้ว นั่งหลับหนีเอาละกัน แต่มันก็ทำได้เฉพาะขามาทำงาน ขากลับ ถ้าหลับ อาจจะเลยได้
         
          และก็เพราะว่าทำอะไรไม่ได้อีกแล้วนั่นแหล่ะ ถึงได้เอามาปรับทุกข์กับหน้ากระดาษระบายความอับจนปัญญาของตัวเอง ตอนนี้ทำแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมอีกอย่างคือ ลุ้นทุกวัน ให้มันชนซักครั้งเถอะวะ ด้วยเซ็นเซอร์ตีนที่ดีเป็นเลิศของแก ทำให้เราประมาณการได้ว่า ถ้าชนกัน มันต้องไม่เกิดอะไรร้ายแรงอย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยๆก็ได้เสียเวลา รถเสียหายนิดหน่อย ซึ่งก็เป็นผลกรรมจากการกระทำของตีนแกนั่นแหล่ะ วันนั้นมาถึงเมื่อไหร่ แม่จะแอบสะใจให้เข็ดหลาบไปเลย และมันคงเป็นการสั่งสอนให้แกหัดระมัดระวังขึ้นบ้าง และตูก็จะแอบเผื่อแผ่อาการสะใจไปที่คนรับแจ้งเรื่องของเรา แล้วเค้าวางเฉยด้วย จะมาวางอุเบกขากับเรื่องอย่างนี้มันจะดีเหรอ...

          เห็นเรื่องตีนตาอ้วน ก็ทำให้นึกขึ้นมาได้ถึงเรื่องต่างๆอีกมากมายในสังคม สังคมที่ผู้คนพยายามหาเหตุอะไรมาสร้างอัตตาให้ยึดติด เพื่อจะเป็นเหตุรองรับการใช้ชีวิตแบบ กูไม่ยอมได้อย่างภาคภูมิใจ จะภูมิใจไปทำไม ที่พ่อแม่ยิ่งใหญ่ เพื่อนเรา ญาติเราใหญ่โตซะจน คนที่มีหน้าที่รักษากฏหมายก็ยังไม่กล้าจับเรา ทำให้เราไร้มารยาท ข่มขู่ใครก็ได้ บางคนก็เบ่งได้ อวดได้ ว่าใครซักคน...เอ่อ...ต้องพยายามหาความสัมพันธ์ให้เจอด้วยนะ เช่น เพื่อนของเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนพ่อเป็น พลเอก อะไรซักอย่าง ตู่เอาว่ารู้จักซะเลย ที่จะทำให้การขับรถผ่าไฟแดงของเราดูไม่ผิดขึ้นมาในทันใด

          มันน่ายินดีตรงไหน ที่เราแค่อวดอ้างบารมีของคนอื่นเพื่อให้เราพ้นผิด หรือทำผิดได้อย่างหน้าไม่อาย เพื่อที่จะบอกไอ้คนฝั่งตรงข้ามว่ากูใหญ่กว่ามึงนะเว้ย อย่ามาหือ อย่ามาสะเออะเชียว ถ้าสังคมประกอบไปด้วยคนแบบนี้เต็มไปหมดมันจะเป็นยังไง ถ้าทุกคนไม่ยอมกันเลยมันจะเป็นยังไง กูใหญ่ กูใหญ่กว่า กูใหญ่กว่ามึงอีก กูสิใหญ่ที่สุด...กูเล็ก แต่กูไม่ยอม กูเผาแม่งเลย...ประเทศชาติซวยมั้ยล่ะ ก็เคยกันมาแล้วทั้งนั้น แล้วก็ต้องมานั่งโทษกันไปมา แล้วมันก็ไม่มีตอนจบซักที

เราว่าเรื่องพวกนี้ มันก็เรื่องเดียวกันแหล่ะ เป็นอย่างงี้เสมอเลย เริ่มจากเล็กๆ เก็บกด สะสม ลามปาม ห้ามไม่อยู่ ติดเป็นสันดาน ถ้าเริ่มดี ถูกสอนให้ดีตั้งแต่เล็ก  เวลาอยู่ร่วมกันเป็นสังคม เคารพสิทธิ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักมองใจเขาใจเรา ไม่แก้ปัญหาด้วยอารมณ์ สังคมจะเล็กใหญ่ก็สงบสุขได้ทั้งนั้น คนเราคงลืมไปแล้วว่าฮิตเล่อร์สุดท้ายก็ตายดับไม่เห็นจะอยู่ค้ำฟ้าเลย จะใหญ่กันไปถึงไหนนั่น

บ่นไปก็หลายหน้ากระดาษ หรือว่าเราจะยอมให้เรื่องมันผ่านเลยไปดีกว่า...ว้า แย่จัง!...








It’s me…
ฉันยอม...ก็ได้วะ...
28 กุมภาพันธ์ 2555

มองมุมหมี

          “พี่ๆ อาทิตย์หน้าผมจะไปเชียงใหม่กับเพื่อน ไปด้วยกันมั้ย” น้องที่ทำงานมาบอกเมื่ออาทิตย์ก่อน พร้อมทั้งแอบชวนตามมารยาหรือตามมารยาทนะ แต่ของมันนี่น่าจะอย่างแรก

           “ไป” ตอบออกไปอย่างไม่ต้องคิด มึงรู้จักกูน้อยเกินไปแล้ว เสือกชวนดีนัก ต้องสั่งสอนให้เข็ดหลาบ 

ด้วยเหตุผลที่ดูไม่ค่อยเข้าท่าข้างต้น ก็เลยได้เอาร่างไปประทับที่เชียงใหม่โดยบังเอิญเมื่อเสาร์อาทิตย์จันทร์ที่ผ่านมา แอบดีใจนิดหน่อยก่อนไป เพราะดูข่าวในทีวี เค้าว่าจีนเจอความกดอากาศสูง หิมะตกหนัก เพราะฉะนั้นประเทศไทยตอนบนอาจจะได้อานิสงส์อากาศเย็นไปด้วย ปลายกุมภาพันธ์แล้ว ยังได้มีโอกาสได้เจออากาศเย็นอีก ย้าฮู้!

เรานั่งรถทัวร์คืนวันศุกร์ หลับอุตลุต ตื่นมาก็เช้าวันเสาร์ที่ ขนส่งอาเขต เชียงใหม่พอดี ไปสมทบกับไอ้น้องซึ่งเดินทางมาล่วงหน้าก่อน 1 วัน และเพื่อนๆมันที่เรายังไม่รู้จักรวมทั้งหมดก็ 5 คน พอดีนั่งเบียดในรถ Vios 1 คันเดียวกันได้ ทำให้การหารเฉลี่ยเช่ารถดูคุ้มค่าที่สุด คุณสมบัติอันเหมาะสมที่เราควรจะไปเป็นตัวหารที่ดีก็คือ ตัวเล็กไม่กินพื้นที่ ไปไหนคล่องตัวไม่เรื่องมาก พยายามทำตัวไม่ให้เป็นภาระ กินง่ายอยู่ง่าย ไม่รู้จักกันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ อยู่ๆไปเดี๋ยวก็รู้จักกันไปเอง ถ้าไม่ตีนแดง ตะแคงตีนเดินมาหรืออาร์ตมาก ติสท์แตก ก็ร่วมทางกันได้แน่นอน

เช้าวันเสาร์ หกโมงกว่า ที่เชียงใหม่อากาศดี อุณหภูมิน่าจะประมาณ 20 องศาได้ ไม่ได้ดูจากเทอร์โมมิเตอร์ ดูจากหนังหน้าดิจิตอลของเรานี่แหล่ะ รู้สึกเหมือนอยู่ห้องแอร์อยู่เลย ฮะฮ่าฮ่า...หนาวจริงๆด้วยวุ้ย วันนี้มีโปรแกรมไปอ่างขาง จะไปนอนที่นั่นคืนหนึ่ง แต่ข่าวร้ายที่ได้รับก็คือ รถที่เช่ามา เบรคมันไม่ค่อยดี พวกนั้นบอกว่า “ขับไปก็ได้นะพี่ แต่กลัวว่ามันจะเบรคไม่อยู่” เหอๆๆ กลัวว่าจะได้ไปเที่ยวนรกแทนน่ะสิไม่ว่า แล้วตีตั๋วเที่ยวเดียวด้วยนะ แบบไปไม่กลับ อย่าไปเลย ถ้าสปอยเลอร์ไม่ดีก็ว่าไปอย่าง นี่เบรคนะ เลื่อนไปวันอาทิตย์ก็ได้

โปรแกรมจึงต้องเปลี่ยนแปลง เพราะต้องรอรถเช่าคันใหม่ ซึ่งเค้าจะเอามาเปลี่ยนให้ได้ก็บ่ายสามโมง เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเอาชีวิตไปละลายกับสังคมเมืองก่อน 1 วัน แล้วจะไปไหนดี ที่จะต้องกินก็มี ข้าวซอย ร้านเค้กมองบลังค์ ไอติมไอเบอรี่ อาหารญี่ปุ่นซึนามิ ที่นอนก็นอนหน้ามช. เพราะใกล้แหล่งทุกแหล่งในเมือง ที่เที่ยวก็ไปดอยสุเทพละกัน แต่เพราะเบรครถที่ว่า ก็เลยไม่เสี่ยงขึ้นดอยปุยที่เลยขึ้นไปอีก แล้วทีนี้ไปไหนได้อีก ติ๊กต่อกๆๆ...น้องที่นำทางเฉลยว่า ไปดูหมีที่สวนสัตว์เจียงใหม่ละกันเจ๊า!

ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งเราจะได้มาดูหมีจริงๆ (ขอใช้คำว่า ดูหมีนะ มันดูไม่สองแง่สามง่าม ถ้าใช้คำว่าเห็น เดี๋ยวจะมาตราหน้ากันว่าไอ้คนเขียนมันทะลึ่ง) หลังจากเคยดูมันนอนมืดๆในเคเบิ้ล 2 ครั้ง แล้วก็ไม่กดไปดูอีกเลย เพราะไม่คิดว่าการดูหมีแพนด้าเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจหรือประเทืองปัญญามาก่อน ถ้าเป็นเด็กอาจจะกระตุ้นจินตนาการหรือความคิดให้กว้างไกลได้ ส่วนเรามีวัยเลยมากว่าเกือบ 30 ปีแล้ว ไม่น่าจะจินตนาการอะไรได้มากกว่าเห็นความจริงที่เป็นอยู่ แต่วันนั้น เมื่อแพนด้าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ก็เลยถูกชักนำเข้าไปหามันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

การเข้าสวนสัตว์ช่วงบ่าย ยังไม่ทันได้เห็นอะไร เหงื่อก็ตกกีบกันแล้ว พยากง พยากรณ์อากาศอะไรที่ดูมา ก็น่าจะตกอุณหภูมิที่ร้อนสุดแหงๆ ร้อนเหมือนมีพระอาทิตย์มีสองดวง ลืมอากาศเย็นๆเมื่อเช้าไปได้เลย สวนสัตว์เชียงใหม่สามารถขับรถเข้าไปได้ ค่าเข้าราคาคนละ 50 บาท รถ 1 คันอีก 50 บาท ทั้งหมด 300 บาท แต่ว่าถ้าจะดูอะควาเรี่ยมต้องจ่ายอีกคนละ 250 บาท หมีแพนด้าอีกคนละ 50 บาท สโนว์โดมไม่รู้ว่าเท่าไหร่ หนัง 4D สั้นๆ ราคาคนละ 100 บาท มันมีจ่ายหลายอย่างมาก ไม่แน่ใจว่ามีบัตรชุดขายเหมือนดรีมเวิร์ลกันเลยมั้ย 

เอาเป็นว่าเมื่อไฮไลท์อยู่ที่แพนด้าและความงกของเรา ก็ไปดูแพนด้าอย่างเดียวละกัน สิ่งที่แพนด้าไม่ชอบก็คือ แฟลชกล้อง และ เสียง เค้าห้ามใช้แฟลชและห้ามใช้เสียง มีสติ๊กเก้อร์สำหรับแปะแฟลช แต่ไม่มีสติ๊กเก้อร์สำหรับแปะปาก คนที่ไปดูก็เลยยังใช้เสียงได้ ทั้งๆที่มีป้ายห้ามตลอดทาง โดยเฉพาะเด็กๆ อย่าหวังเลยว่าสปีชีส์นี้มันจะเงียบ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุนั่นแหล่ะ พูดไปทำไมมี บางคนกูร้องไห้แหกปากแม่งเลยดีกว่า...เป็นการข่มขวัญหมี...

เนื่องจากหมีมันชอบที่เย็นๆ เค้าก็เลยต้องติดแอร์ เราเลยได้อานิสงส์ความเย็นนั้นไปด้วย อาณาเขตแรกที่ย่างเข้าไปเป็นของหลินปิง ลูกชายตัวเดียวของแม่หลินฮุ่ย ข้างฝาผนังมีการบอกเล่ากำเนิดหลินปิงเป็นระยะ ตั้งแต่หลินฮุ่ยเริ่มเป็นสัด หลินฮุ่ยอยากแต่ช่วงช่วงไม่อยาก ช่วงช่วงอยากแต่ช่วงช่วงไม่สามารถขึ้นคร่อมได้ สงสัยจะอ้วนจัด เอ่อ...พฤติกรรมพวกนี้น่าจะติดเรท 13+ นะ ผู้ปกครองควรพิจารณาและให้คำแนะนำลูกหลาน ความจริงเค้าไม่ได้เขียนโจ๋งครึ่มอย่างงี้หรอกนะ แต่ความหมายมันแปลได้อย่างงี้แน่นอน

แล้วยังมี...หลินฮุ่ยอยาก แต่อยู่ๆก็หายอยาก ทีมงานมนุษย์กว่า 30 ชีวิตที่ตามดูก็งง ไม่เข้าใจว่าสาเหตุมันคืออะไร พวกนี้สมควรส่องกระจกนะ แล้วจะรู้สาเหตุทันที แหม่...เค้าจะ xxx กัน แต่มีคนคอยตามดูเยอะแยะ หมีมันก็อายบ้างอะไรบ้างน่ะสิ มาตามถ่ายหนัง AV กันอยู่ได้ แค่สภาพที่อ้วนตุ๊ต๊ะของตัวก็ลำบากพอแล้ว ยังจะมีมนุษย์ไปเพิ่มอุปสรรคอีก หมีก็หมีเถอะวะ หมดอารมณ์ หนีดีกว่ามั้ย เค้าเริ่มลุ้นเรื่องการผสมพันธุ์หมีตั้งแต่ปี 2549 หลายปีผ่านไป ก็ไม่ปรากฏวี่แววว่าสองหมีจะชิน ช่วงช่วงยังคงพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก ออกแนวใช้โอกาสเปลือง

จนกระทั่งประมาณเดือนกุมภาฯ ปี 2552 ก็เกิดปฏิบัติการ ทำแทนหมี ขึ้น คือทีมงานไปจับระดับฮอร์โมนหลินฮุ่ยจนรู้ว่ามันไข่ตกแน่ๆ กระสันได้ที่แล้ว ทีมงานก็เลยไปวางยาสลบช่วงช่วง แล้วแอบขโมยอสุจิมาใส่ท้องหลินฮุ่ย ผ่านไปอีก 97 วัน ปลายเดือนพฤษภาคม ประเทศไทยก็ได้เฮที่การผสมเทียมสำเร็จ หลินฮุ่ยคลอดลูกหมี ที่หน้าตาเหมือนหนูนาออกมา 1 ตัว หนัก 2 ขีดกว่า ได้นอนเตียงเด็กด้วย หมีมันจะรู้สึกดีมั้ยนะ เค้าเขียนว่าลูกหมีแพนด้าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ตัวเล็กที่สุดในโลก จริงเหรอวะ...

หลินปิงแปลว่า ป่าแห่งสายน้ำปิง ตอนนี้ป่าแห่งสายน้ำปิงนอนเล่นแกล้งตายอยู่บนคบไม้ที่มุมห้องตัวเดียว เพราะเค้าบอกว่า ธรรมชาติของหมีมันชอบอยู่ตามลำพัง มันก็เลยไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ ต้องอยู่ตามธรรมชาติ ธรรมชาติของ ป่าแห่งสายน้ำปิงก็คือห้องสี่เหลี่ยมพื้นประมาณ 200-300 ตารางเมตร มีกระดานไม้และบันไดหมีให้ปีนป่ายแก้เซ็ง มีอาหาร ใบไผ่ให้กินเป็นมื้อๆ คือกินอิ่มทุกมื้อแน่ๆ แต่มีความสุขมั้ยก็อีกเรื่องหนึ่งแหล่ะ เรายืนดูอยู่ตั้งนาน มันก็ยังนอนแกล้งตายไม่กระดุกกระดิก ไม่แม้แต่จะเกาแข้งขา ปัดแมลงวัน เห็นแล้วคิดถึงอาโปในกังฟูแพนด้า ดูอาโปแล้วมีความสุข อมลูกชิ้นไว้ในปากครั้งเดียวตั้ง 38 ลูก ตลกตั้งแต่ฉากแรก เฮ่ย...แต่นั่นมันการ์ตูน!

หลินปิงที่เห็นเป็นของจริง อ้อ...หมีแพนด้า ของจริงเป็นอย่างงี้นี่เอง เห็นของจริงแล้วไม่มีความสุข แต่ ป่าแห่งสายน้ำปิงก็คงชิน ที่อยู่อย่างงี้มาแต่ไหนแต่ไร มันจะเข้าใจได้ไงว่าโลกกว้างป่าใหญ่เป็นยังไง บ้านของมันก็คือห้องนี้ ป่าของมันก็คือป่าข้างฝาผนัง ที่เค้าวาดไว้หลอกหมี มีต้นกล้วย ต้นไผ่ ต้นไม้พืชพันธุ์หลากหลาย ภูเขาไกลลิบๆ มีน้ำตก มีทุกอย่าง...แต่ไม่มีชีวิต ขืนเดินเข้าไปมีหวังหงายหลังตึงหัวโนกลับมาเป็นแน่แท้ วันๆกูจะทำอะไรได้ กินแล้วนอนพักผ่อนกายาดีกว่า 

เออ...เห็นขี้ ป่าแห่งสายน้ำปิง ด้วยนะ ขี้มันเป็นสีเขียวอมเหลือง เป็นท่อนๆ ใหญ่กว่าท่อนแขนเราอีก

แล้วเราก็ไปแอบดูชีวิตหลินฮุ่ยและช่วงช่วงบ้าง เดือนนี้เดือนกุมภา ก็ได้เวลาหมีอยาก เค้าแยกหลินฮุ่ยกับช่วงช่วงไว้คนละกรง แต่สามารถเดินหากันได้ ด้วยการปีนบันไดหมีลงมา แล้วเดินข้ามร่องไปหากัน มันทำอะไรบางอย่างที่ทำให้ผู้คนตลก หลินฮุ่ยมันเดินหงุดหงิดงุ่นง่าน เดินไปแล้วก็เดินมา เดินมาแล้วก็เดินไป

ที่อยู่ของหลินฮุ่ยและช่วงช่วงมีพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของลูกชาย แต่ว่าเพิ่มอ็อปชั่นโดยมีการเล่นระดับ พื้นที่ใช้สอยส่วนใหญ่อยู่ระดับกลาง มีตอไม้ บันไดหมีให้ปีนเล่น แล้วส่วนบนเหมือนจะเป็นโซนให้นอน มีการก่อซีเมนต์ลักษณะคล้ายถ้ำปลอมๆให้หมีและมีแอร์จ่ออยู่ด้วย ชั้นล่างเป็นเหมือนร่องใหญ่ๆ แต่ที่ไม่มีน้ำ มันจะสามารถเดินหากันได้โดยผ่านช่องนี้แหล่ะ แต่ละชั้นเชื่อมกันด้วยบันได

ช่วงช่วงนอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็น อยู่หน้าถ้ำชั้นบนของตัวเอง มีการจัดท่าทางเล็กน้อย คือนอนหันหน้าหาคนดู พอเมื่อยก็พลิกแค่หัว แต่ก็ไม่ยอมลืมตาดูอะไรเลย หลินฮุ่ย...ก็อย่างที่บอกว่าเดินไปเดินมางุ่นง่านมาก เดินจากชั้นบนลงไปชั้นกลาง เดินบนท่อนไม้ ปีนบันไดลงมาชั้นล่างแคบๆ การปีนบันไดหมี (หน้าตาเหมือนบันไดลิง) มันจะทำไม่เหมือนเรานะ ถ้าเราปีนลง เราจะหันหลังแล้วเอาขาหลัง...(ขาของเรานั่นแหล่ะ) ค่อยๆถัดลงมา มือก็ค่อยๆจับบันไดไล่ลงตามขามา...คิดว่าทุกคนน่าจะทำเหมือนกัน ส่วนหมี มันจะเอาขาหน้าไต่ลงมาดื้อๆเลย เห็นตอนแรกก็ลุ้น กลัวว่ามันจะตีลังกาล้มกลิ้ง เออ...ไม่แฮะ มันก็เดินลอยชายเชิดหน้าลงมาได้อย่างสบายๆ

มันเดินไปหาช่วงช่วง แต่ก็ไปไม่ถึงตัว วนๆอยู่ในบ้านเค้า แล้วก็เดินกลับมา วนไปวนมาตลอด แล้วมันก็เดินไปที่ท่อนไม้บ้านตัวเอง หันตูดใส่คนดู เอาตูดถูท่อนไม้ ถูใหญ่เลย ก็เลยเรียกเสียงหัวเราะสนุกสนาน พอไปอ่านเรื่องหมีๆที่ฝาผนัง ก็พบว่า การเอาตูดถูต้นไม้ตอไม้นี้ เป็นการแสดงออกถึงการเป็นสัดของมัน มันจะเอาตูดถูอะไรสักอย่าง เพื่อให้กลิ่นตูดของตัวเอง ลอยตามลมไปยั่วสวาทหมีตัวผู้ เมื่อตัวผู้ได้กลิ่นตูดอันหอมหวลชวนดมแล้ว จะได้มา xxx กันตามประสาชู้สาวหมี (แค่พิมพ์ก็อยากจะอ้วกแล้ว ดีนะ...ที่ธรรมชาติสงวนกลิ่นตูดไว้ให้เฉพาะจมูกหมี เราไม่ต้องได้กลิ่นด้วยก็ได้) 

วันนั้นถ้าช่วงช่วงอารมณ์ดี อาจได้ดูหมีป่ามป๊ามกัน แต่พอดีว่ามันหลับ ก็เลยเห็นแต่อาการเป็นสัดของหลินฮุ่ยเท่านั้น ไม่อยากคิดเลยว่าอะไรมันจะช่างประจวบเหมาะ ครั้งหนึ่งเคยไปเขาเขียวไนท์ซาฟารีกับเพื่อนๆ ยังได้เห็นเสือแก้ผ้า xxx กันต่อหน้าต่อตา ให้ตายเถอะ...ไม่ได้อยากเห็นเลยซักกะนิด ให้ไปสาบานไขว้นิ้วที่ไหนก็ได้เอ้า

          ก่อนออกมาก็ซื้อโปสการ์ดหมีส่งหาเพื่อน...ของเรา มองหมีแล้วก็กลับมาย้อนมองตัวเรา ว่าเราใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขมั้ย มีโอกาสได้ใช้มั้ย เรามีโอกาสเปิดตาก้าวขาออกไปดูโลกกว้างใหญ่บ้างรึเปล่า ถึงเราไม่น่ารักอ้วนตุ๊ต๊ะเท่าหมี แต่มันก็ดีกว่ามั้ยที่ไม่ต้องมีคนมาแอบดูชีวิตแบบ True man show ของเรา และอย่างน้อยเราก็มีโอกาสที่จะเรียนรู้ และใช้คำว่าอิสระให้เกิดประโยชน์ นอกจากว่าเราจะยินยอมพร้อมใจที่จะขังตัวเองเอาไว้เช่นฉะนี้แล...







It’s me...
คนที่คิดว่าตัวเองมีทางเลือกมากกว่าหมีนะ...
23 กุมภาพันธ์ 2555

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Unbelievable!

“That’s one small step for a man, one giant leap for mankind.”
“มันเป็นก้าวเล็กๆ ของมนุษย์คนหนึ่ง แต่เป็นก้าวกระโดดของมนุษยชาติ”

คำพูดข้างบน เป็นของปู่นีล อาร์มสตรอง มนุษย์คนแรกที่ได้ไปเหยียบดวงจันทร์เมื่อปีพ.ศ. 2512 ตอนนั้นแกเป็นผู้บัญชาการโครงการอพอลโล่ 11 มีเป้าหมายเพื่อก่อการเหยียบดวงจันทร์ให้เป็นผลสำเร็จ และท้ายที่สุดมันก็เป็นไปได้จริงๆ แกพูดประโยคหล่อๆข้างบนไว้ตอนได้ไปเหยียบดวงจันทร์โดยขี่พาหนะ คือ อพอลโล่ 11 (ชื่อยานอวกาศนะ ไม่ใช่ดินสอที่เราใช้ตอนสมัยเด็ก...โห...เก่ามาก) แกได้ไปเหยียบตั้งดวงจันทร์ แล้วยังจะบอกว่าเป็นแค่ก้าวเล็กๆเองนะ อะไรจะเท่ปานนั้น


ถ้าเป็นเราน่ะเหรอ คงจะไปยืนท้าวสะเอวทั้งสองข้าง แล้วเงยหน้าหาสวรรค์วิมานหัวเราะสะใจเป็นบ้าเป็นหลังที่ได้มีโอกาสเอาตีนทั้งสองไปแปะพื้นผิวขรุขระนั้นได้เป็นคนแรก หลังจากเอาแต่แหงนหน้ามองมันมาชั่วชีวิต สัญชาตญาณมนุษย์ที่มีความอยากเอาชนะอยู่ในตัวคงกำเริบไปแล้ว...วะฮ่ะฮ่ะฮ่ะ ฮ่ะ...ชีวิตชินจังชัดๆ...


ไอ้ที่เกริ่นเรื่องข้างบนนี่ขึ้นมา ก็ไม่ได้มีความหมายในเชิงอยากจะให้กำลังใจอะไรใครทั้งสิ้น ใครที่หวังไว้ก็ต้องขอโทษด้วย แต่เป็นเพราะไม่คิดว่านี่เราอายุเลยเถิดมาถึงสามสิบกว่าแล้ว เราจะยังจำความหลังครั้งยี่สิบปีเก่าก่อนได้ ซึ่งมันเป็นเพียงคำบอกเล่าของอาจารย์คนหนึ่งที่แกสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนสิรินธร จังหวัดสุรินทร์ (เอาชื่อโรงเรียนมาเขียนโดยไม่คิดจะขออนุญาตเลยซักนิด) หากวันหนึ่งอาจารย์ได้มาอ่านเข้า เราคงดีใจ แต่อาจารย์จะดีใจมั้ยเนี่ยมันก็อีกเรื่องหนึ่งแหล่ะนะ


ตอนนั้นเราเรียนอยู่ม.ต้น มันเป็นแค่ชั่วโมงภาษาอังกฤษชั่วโมงหนึ่ง ที่อาจารย์มาเล่าเรื่องสนุกให้นักเรียนฟังประกอบการสอน ไม่คิดว่ามันจะยังประทับอยู่ในลิ้นชักความทรงจำของเรามานานขนาดนี้ แต่มันก็ลางๆนะ แอบคิดอยู่เหมือนกันว่า นี่เราโมเมแต่งเรื่องขึ้นมาเองหรือฝันไปรึเปล่า แต่มันก็ไม่น่าเป็นตุเป็นตะขนาดนั้น เราก็เลยลอง Search ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตดู ถึงรู้ว่าเค้าโครงความจำของเรามันถูกต้องนี่หว่า รู้สึกดีใจ ก็เลยเอามาเขียนเผื่อมีโอกาสเเผยแพร่จะดีกว่า หลังจากร่ายตัวหนังสือผ่านไปเป็นหน้าแล้ว ก็จะได้เล่าจริงๆซะที...และอยากบอกด้วยความภาคภูมิใจ ว่าเรื่องที่จะเล่านี้ หาอ่านในอินเตอร์เน็ตไม่ได้แน่ๆ (แอบสะใจอยู่ลึกๆ หึหึหึหึ!)


เราว่ามันก็เป็นเรื่องเหนือธรรมดาไม่น่าเชื่อแล้ว ที่ว่านีล อาร์มสตองแกไปเหยียบดวงจันทร์ได้สำเร็จ แต่ที่ไม่น่าเชื่อมากกว่าก็คือมีเด็กสุรินทร์บ้านนอกเซาะกราวคนหนึ่ง คุณครูของเค้าให้เขียนจดหมายภาษาอังกฤษในชั่วโมงเรียน แล้วมันดันหาญกล้าเขียนจดหมายไปที่ไหนไม่รู้ แต่คาดว่าน่าจะเป็นนาซ่า เขียนจดหมายไป เพื่อเชิญคนที่เหยียบดวงจันทร์คนแรกมาเหยียบสุรินทร์ครั้งแรก ช่างหน้ามึนเสียนี่กระไร ถุงเท้ายังไม่รู้เลยว่าจะมีใส่มั้ย แต่ริอ่านเขียนจดหมายไปเชิญคนดังระดับโลกมา


และที่ไม่น่าเชื่อที่สุดก็คือนีล อาร์มสตรอง แกตอบรับ และมาเหยียบสุรินทร์จริงๆ ตามคำเชื้อเชิญของหนูน้อย ฮ่ะฮ้า...นี่แกว่างขนาดเดินทางมาให้ความหวังเด็กบ้านนอกคนหนึ่งถึงถิ่นเลย หรือจะว่าไป ขนาดดวงจันทร์ แกยังไปมาแล้วเลยเนาะ นับอะไรกับสุรินทร์วะ มันก็น่าจะแวะมาไม่ยากหรอก เด็กคนนั้นดีใจมากที่จะได้รับเกียรตินี้ แต่เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน โรงเรียนมัธยมบ้านนอก ถึงจะเป็นอำเภอเมือง และเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด มันก็ยังคงความเป็นบ้านนอก ไม่สมศักดิ์ศรีอันยิ่งใหญ่ของนักบินอวกาศระดับโลกอยู่ดี


วันที่นีล อาร์มสตรองมาเยือน มีการจัดขบวนนักเรียนมาต้อนรับใหญ่โต...ก็ใหญ่โตที่สุดเท่าที่จะสามารถนั่นแหล่ะ ชาวบ้านแห่มาดูกันเพียบ คือคนสุรินทร์ไม่เคยเห็นเครื่องบินใกล้ๆน่ะ เค้าก็เลยแห่มาดูเครื่องบินกัน โดยที่ไม่รู้เลยว่าไอ้หมอที่เดินลงมาจากเครื่องบิน มันเป็นใคร สำคัญยังไง เซาะกราวกันเป็นหมู่คณะเลยทีเดียว ดีนะที่คุณนีล อาร์มสตรองแกไม่เคยรู้ความลับนี้


ก็อย่างที่บอก อย่างไม่ได้อยากย้ำความเป็นบ้านนอกหรอกนะ แต่ว่าโรงเรียนมันไม่มีเวทีไง ทำได้ดีที่สุดก็แค่สร้างเวทีชั่วคราวมาต้อนรับ จะให้มีแสตนด์ไฮเทค ถอดประกอบเข้าออกง่ายเหมือนปัจจุบันคงไม่ได้ ก็ทำๆไปเท่าที่จะทำได้ แต่เวทีชั่วคราวที่สร้างขึ้นก็ต้องมีบันไดเหมือนกัน และด้วยความจำกัดจำเขี่ย ก็ต้องเอาเก้าอี้นักเรียนนั่นแหล่ะ มาแสตนด์บายใช้เป็นบันไดให้นักบินอวกาศระดับโลกเหยียบขึ้นเวที โคตรสงสารโรงเรียนตัวเองในอดีตเลย และก็อย่างว่าแหล่ะ..เก้าอี้นักเรียน จะหาความเสถียรมั่นคงที่ไหนได้ คุณนีล อาร์มสตรองแกก็เลยตกเก้าอี้ ตอนก้าวขาขึ้นเวทีนั่นเอง เลยเป็นที่น่าประทับใจของเด็กคนนั้นขึ้นไปอีก มนุษย์อวกาศที่มีคุณูปการใหญ่หลวงต่อโลกเรา คนที่ยืนเท่ปักธงบนดวงจันทร์ เค้ามาทำตัวน่ารัก อ่อนน้อมถ่อมตน แกล้งตกเก้าอี้ที่สุรินทร์ จังหวัดที่เกือบจนที่สุดในประเทศไทย


นอกจากนั้น จำได้ว่าข้างฝาผนังห้องที่โรงเรียน ก็มีภาพถ่ายใส่กรอบรูปของนีล อาร์มสตรองด้วยนะ เรื่องที่จำได้ทั้งหมดก็มีประมาณนี้แหล่ะ อ่านมาถึงตรงนี้ ก็คงพอจะเดาได้ใช่มั้ย ว่าไอ้เด็กทะลึ่งคนที่สร้างเรื่องในวันนั้น ก็คืออาจารย์ภาษาอังกฤษของเราเอง เป็นอาจารย์ที่ยืนโม้เรื่องนี้ของตัวเองให้พวกเราฟังในชั่วโมงนั้น ให้เราประทับจำได้มาจนทุกวันนี้ ความประทับใจที่สร้างคุณครูภาษาอังกฤษ ไม่ยักกะเป็นมนุษย์อวกาศ


ป่านนี้ไม่รู้อาจารย์จะ เกษียณรึยังนะ คิดว่าอาจารย์คงจะได้มีโอกาสเล่าความภาคภูมิใจแฝงความเกรียนของตัวเองให้ เด็กรุ่นหลังฟังทุกปี ไม่นับรุ่นพี่พวกเราอีก เด็กสี่ห้าร้อยคนต่อรุ่น ไม่รู้ว่ากี่ปีต่อกี่ปีมาแล้ว เป็นวิธีเผยแพร่เรื่องราวที่น่าสนใจมาก เราจำภาษาอังกฤษที่แกสอนไม่ได้ แต่กลับจำเรื่องนี้ได้เฉยเลย คงเป็นเพราะ มันเป็นเรื่องราว ‘ครั้งหนึ่งในชีวิต’ ของคนอื่นที่มันน่าจดเอาไว้จำล่ะมั้ง...


ลืมบอกไป...อาจารย์คนนั้นชื่อ...จุด จุด จุด...เปลี่ยนใจไม่บอกดีกว่า...






It’s me…
คนไร้ความกล้า แต่เรื่องหน้ามึนก็พอไหว...
15 กุมภาพันธ์ 2555


วันที่เจ็บปวด...

วันที่เจ็บปวด 5  เมษายน  ปี....” เขาจรดปากกาไวท์บอร์ดหัวโตสีแดง เขียนลงบนกระจกบานใหญ่ในห้องน้ำ พร้อมลงท้ายด้วยลายเซ็นต์กำกับยืนยันว่าข้อความข้างต้นเป็นความจริงทุก ประการ ยืนเข่าอ่อน มองเงาหัวตัวเองในกระจก หน้าตาที่พร่ามัวเนื่องมาจากม่านน้ำตาที่อาบแก้มทั้งสอง ตาที่เปียกชุ่ม น้ำตาลูกผู้ชายที่ไม่เคยหลั่งมาก่อน... (ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา) ผมเผ้าอันยุ่งเหยิงแต่ก็ปิดหัวเถิกเอาไว้ได้ สติที่เลอะเลือน แอลกอฮอล์ที่เต็มอยู่ทุกอณูรูขุมขน เขาไม่ได้กลิ่นมันแม้แต่น้อย จะมีอยู่ก็แต่กลิ่นความรักที่จากไป ทุกอย่างยังแจ่มชัดในความทรงจำ

“มึง รู้มั้ย ว่ากูรักเค้ามากขนาดไหน กูรักเค้าจนไม่มีพื้นที่ว่างในหัวใจ กูเป็น Nice guy เสมอเลยนะ ฮือๆๆ” เสียงสะท้อนเมื่อตอนกลางดึก ที่เขาเฝ้าเอาแต่สะอึกสะอื้น ระบายความทรงจำ ถ่ายทอดให้เพื่อนคู่หูที่นั่งเป็นส้วมฟัง อย่างเหมือนจะไม่มีวันหมด ไอ้เพื่อนรักก็แทบจะหันไปอ้วกทุกครั้งที่มันหลุดคำพูดเชิงปริ่มว่าจะขาดใจ ตายเมื่อไม่มีผู้หญิงคนนั้นแล้ว

‘ให้ตายเถอะ เวลามึงมีความสุข ไม่เคยจะได้เห็นแม้แต่เงาหัวอันเลือนลาง พอเลิกกันเข้าหน่อย กูมีความหมายขึ้นมาทันที’ เพื่อนได้แต่สบถความคิดกับกบาลตัวเองเบาๆ ราวกับว่าถ้าคิดดังแล้วเขาจะรู้เข้าและน้อยใจมันเพิ่มไปอีกหนึ่งคน ถึงจะอยากอ้วกมากขนาดไหน แต่พอหันมาเจอน้ำตาที่ไหลพราก ได้ยินน้ำเสียง คำพูดที่ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะระหว่างเล่าความหลัง ต้องร้องไห้ประกอบฉากไปด้วย ผู้ชายอายุเกือบสามสิบ สูงกว่า 180 เซนติเมตร หนวดเคราเฟิ้มเต็มหน้า หน้าตาพอไปวัดไปวาได้ ริจริงจังกับความรัก ตอนนี้นั่งกินเหล้าเมาแอ๋ นั่งหลังค่อมร้องไห้จนตัวโยน ยังไงก็อดเห็นใจมันไม่ได้...ทำท่าเห็นใจก็ยังดีนะ เพราะตอนนี้น้ำตาบังตาหมด เมาด้วย ดูไม่ออกหรอกว่าอะไรจริงอะไรเท็จ

“หัวใจกูมีอยู่แค่ ดวงเดียว ฮือๆ ก็ให้เค้าไปหมดแล้ว ฮือๆ แล้วชีวิตกูจะอยู่ต่อไปได้ยังไง ฮือๆๆ” ทำอย่างกับว่ามันได้เด็ดหัวใจแดงๆ พร้อมขั้ว ให้ผู้หญิงคนนั้นไปแล้วตอนที่ตกลงเป็นแฟนกัน แล้วพอเลิกกัน เค้าก็ไม่ได้คืนกลับมาให้ ว่าแล้วเชี้ยว ปกติชวนไปไหนก็ไม่ไป ไหงครั้งนี้ชวนมาต่างจังหวัด ทำไมมันง่ายดายนัก

“ตุ๊กตาหมี ตัวนี้ มึงไม่ทิ้งเหรอ ไหนว่าเลิกกันแล้ว” ตอนกลางวัน เพื่อนเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นตุ๊กตาหมีตัวเล็กที่นั่งปั้นจิ้ม ปั้นเจ๋อ ทำตาบ้องแบ๊วอยู่บนคอนโซลหน้ารถ คิดว่าเขามีสภาพจิตที่ปกติดี หลังจากเลิกกับแฟนไปแล้ว ก็เลยถามดู ตุ๊กตาหมีคิกขุ...ของขวัญวันวาเลนไทน์ปีก่อน ที่เพื่อนก็รู้ดีว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนซื้อให้เขา

“ทำไมกูต้องทิ้ง ก็ตุ๊กตาหมีมันไม่ได้ทำผิดอะไร” นี่คือคำพูดซื่อๆ จากผู้ชายหัวใจน้ำเน่าโดยแท้

“เหรอออออออออ” คงให้ความเห็นมากกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ ฟังแล้วจะไปทำอะไรได้ ก็ได้แต่นั่งพยักหน้าหงึกๆ แอบกลืนอ้วกที่เผลอขย้อนออกมา

เขามักจะมีวลีเด็ด ถ้อยแถลงอันน้ำเน่า ให้เพื่อนได้สะอิดสะเอียนอยู่เสมอ

“กู คือผืนทรายที่โอบทะเลไว้ จะวันใดมั่นคงเหมือนดังที่เป็น อยู่เคียงข้างเธอ ใจไม่ไหวเอน และยังคงชัดเจนอย่างนั้น” รักก็คือรัก อกหักก็คือรักไม่สมหวัง มันจะน้ำเน่ายุงชุมไปถึงไหน

“กูว่าประโยคนี้มันคุ้นๆนะ” เพื่อนพยายามท้วง

“กูก็แค่พูดจากข้างใน ซึ่งมันสลายไปหมด ไม่มีหัวใจอีกแล้ว” แล้วมึงหายใจได้ยังไงเนี่ย...

 “เออๆ กูเข้าใจ” เข้าใจก็ได้วะ

“จะดีกว่ามั้ย ถ้ากูตายให้เค้าดูไปเลย จะได้รู้ว่ากูรักเค้าแค่ไหน ฮือๆๆ”

“เฮ้ย ยยย...ไม่ดีๆ กูไม่อยากมีเพื่อนเป็นผี อยู่มีเนื้อหนังต่อไปดีแล้ว มึงเล่าต่อเถอะ เอาให้สบายใจเลย กูไม่นอนก็ได้ ฮือๆ” อ้าว...แล้วจะร้องไห้ทำไมนั่น ผิดบทบาทแล้วนะ

จากหัวค่ำ ยันดึกดื่นค่อนคืน รุ่นน้องคนอื่นที่มาด้วยก็ไปนอนกันหมดแล้ว เหลือไว้แต่เพื่อนเท่านั้น ที่นั่งฟังเขาอย่างตั้งใจ แอบสัปหงกบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ให้เจ้าตัวจับได้ พยายามอย่างที่สุดที่จะให้เขาดื่มเหล้า เบียร์ อะไรก็ได้ที่เหลืออยู่ เพื่อจะทำให้เขาหลับไปก่อน อย่างน้อยก็ไม่น่าจะคิดสั้นตอนหลับได้ล่ะวะ ตัวเองก็ง่วงเต็มทน พยายามถ่างตาทุกชั่วขณะจิต ไม่ได้คิดว่าจะไม่นอนอย่างที่ปากพูดหรอก ทำไมถึงได้เมายากเมาเย็นนักวะ เหล้าหมดไปทั้งขวด เบียร์หมดไปเป็นลังแล้ว ยังพร่ำได้ไม่หยุด

แต่น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน นี่แอลกอฮอล์ตั้งเท่าไหร่ ราดรดหัวใจอ่อนๆของเขา เออลืมไปหัวใจไม่มีแล้วนี่หว่า เอาเป็นว่าตับไตไส้พุงละกันวะ แล้วจะเหลือหรือ ในที่สุดก็เมาพับหลับไปจนได้ คนที่ดีใจที่สุดเห็นจะเป็นไอ้เพื่อนที่นั่งเฝ้านี่แหล่ะ

หลัง จากลากเขาไปนอนในห้องได้สำเร็จ เพื่อนก็ได้สะโหลสะเหลเดินไปล้มใส่เตียงหลับตาลงนอนบ้าง อย่างน้อยคืนนี้ก็ได้ทำหน้าที่เพื่อนที่ควรแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้เต็มใจเลยก็ตาม




เกือบ รุ่งเช้า ฟ้ายังมืดสนิท เพื่อนได้ยินเสียงครางแปลกๆ อยู่ข้างๆ เลยปรือตามาดู เปิดไฟที่หัวนอน เห็นน้องที่มาด้วยกันนอนครางหงิงๆ ตัวสั่นหงึกๆ

“มึงเป็นอะไร นอนตัวสั่นทำไม”

“ผมเจอผีพี่ ผีจริงๆ เห็นจะจะเลย”

“ฮ้า! ผี! เจอที่ไหน ตอนไหน ทำไมกูไม่รู้เรื่อง” ตาเริ่มจะไม่ปรือแล้ว ด้วยว่านี่ก็มานอนต่างถิ่น และก็ไม่ได้ขอขมาเจ้าที่เจ้าทางก่อนนอน  เริ่มเสียวสันหลังวูบ ขนลุกซู่ขึ้นมาเหมือนกัน

“เมื่อคืนพี่ ผมลุกไปเยี่ยวในห้องน้ำ ผมเจอผีนอนตายอยู่ในอ่างอาบน้ำ มันตัวใหญ่มากเลย ดำทะมึนเลย”

“เฮ่ย...เห็น ชัดๆเลยเหรอวะ ไปดูกันอีกทีซิ ว่าผีเค้าจะยังอยู่มั้ย บรื๋ออออ...” ว่าแล้วสองคนก็ลุกเปิดไฟทั่วห้อง พร้อมทั้งไฟห้องน้ำ แล้วค่อยๆย่องเข้าไป และแล้ว...

“เฮ้ยยยยย...” ร่างกายอันใหญ่โตของคนอกหัก นอนเป็นยักษ์ล้ม หลับสบายไม่รู้เรื่อง อยู่ในอ่างที่ปราศจากน้ำ

“นี่ นะ ผีของมึง ไอ้หมีนอนเป็นหมาเมาหลับแน่นิ่งอยู่เนี่ย สั่นซะอินเลย วู้...เสียเวลานอนกูหมด” มองไปที่กระจก ได้แต่ส่ายหัว...ตัวหนังสือแดงโร่ มันลงวันที่เจ็บปวดของตัวเองเอาไว้ อย่างกับพินัยกรรมเลือด ดูน่าสยองและขำขันในเวลาเดียวกัน ว่าแต่ว่ามันไปเอาปากกามาจากไหนวะ...

“สงสัย จะมาฆ่าตัวตาย แล้วลืมเปิดน้ำ ดีนะที่มันโง่ ปล่อยมันไว้งี้แหล่ะ ตื่นมาก็สร่างแล้ว” ว่าแล้วก็เกาตูดยิกๆ แล้วย้ายมือมาเกาหัวแกรกๆ แล้วก็เดินไปปิดไฟแยกย้ายกันนอนอีกครั้ง

“เอ่อ...ตอนที่คิดว่าเป็นผี สงสัยผมคงลืมเปิดไฟนะฮะ” รุ่นน้องแก้เก้อให้ตัวเองเล็กน้อยก่อนนอนรอบเช้าโดยอาการสั่นหายไปเป็นปลิดทิ้ง




                ขากลับจากต่างจังหวัด เจ้าของร่างสุภาพบุรุษไร้หัวใจและเพื่อนนั่งรถมาด้วยกัน ระหว่างทาง เพื่อนบอกขอแวะปั๊มหน่อย ปวดขี้ เขาจอดรถให้เพื่อนแวะเข้าปั๊ม แต่กลัวว่าเพื่อนจะไม่สบายใจที่ต้องเข้าไปขี้ในห้องน้ำชายคนเดียว เพราะปกติทุกคนจะยืนฉี่หน้ากระดานเรียงหนึ่งอยู่ข้างนอกกันหมด ใครเข้าไปในห้อง ก็คือไปขี้สถานเดียว เพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณ สุภาพบุรุษก็เลยเดินตามเข้าไปห้องข้างๆ เพื่อนั่งขี้เป็นเพื่อนกัน แล้วตะโกนออกมาโดยไม่ได้สนใจคนอื่นที่อยู่ข้างนอก

                “นี่แน...ปู้ด...ของกูดังกว่าโว้ย มาแข่งกันเลยดีกว่า” ปู้ด!ป้าด! ปู้ดป้าด อย่างอารมณ์ดีและไม่อายใครๆ

                เพื่อนคนนั้นมาเล่าให้ฟังในภายหลังว่า เป็นการขี้ที่อายที่สุดในชีวิต เวลาขี้...ไม่ได้อยากมีเพื่อนเล้ย จะนั่งขี้ดีๆ เสือกมาเสนอตัวขี้ข้างๆ แล้วทำเสียงทิ้งทุ่นที่ดังกว่า ไม่พอ ยังมีระบบเซอราวด์ตามมาพากษ์เสียงด้วย ไม่รู้คนข้างนอกที่ได้ยินเค้าจะคิดยังไง...ไม่ต้องรักกันขนาดนี้ก็ได้นะ

                เฮ้อ! ต้องทำใจที่มีเพื่อนจริงใจ ใสซื่อใช่มั้ยเนี่ย...



                หมายเหตุ: เป็นเรื่องแต่งโคตรสั้นที่มีเค้าโครงความจริงอยู่เกือบทั้งหมด เป็นเรื่องที่สอนให้รู้ว่า ความรักมันไม่ได้มีแต่ด้านที่สมหวังและสวยงาม และยังดังต่อไปนี้

                1. ยามที่เพื่อนเราอกหักรักคุด อย่าได้ปล่อยมันเอาไว้ในโลกโสมมตามลำพัง ถึงแม้เพื่อนจะไม่ได้ดีมากนัก แต่การมีเพื่อนที่มีชีวิตก็น่าจะดีกว่าวิญญาณ ถ้าแก่ตายหรือเป็นโรคตายก็ว่าไปอย่าง คนที่มีทุกข์หนัก หรือคิดไปเองว่าตัวเองทุกข์หนัก มันอาจทำอะไรไม่คาดฝันขึ้นมาในเวลาชั่วเสี้ยววินาที และสถานะความเป็นมนุษย์ก็จะเปลี่ยนเป็นผีโดยฉับพลันทันใด หลังจากนั้นมันไม่สามารถมาอั๊พเดท Status ในเฟสบุ๊คว่า Ghost แล้วติดต่อกันได้ดังเดิม...ชีวิตมันไม่ง่ายขนาดนั้น...

                2. ตามสถิติ...ที่ไม่ต้องออกโดยโพลของสำนักไหนทั้งสิ้น พบว่าการอกหักนั้น สามารถหายเองได้ ตามระยะเวลาที่ผ่านเลยไป เร็วบ้างช้าบ้าง ร่างกายเรามีระบบรักษาหัวใจตัวเองได้ ขอเพียงไม่จมจ่อม ทิ้งตัวเองไว้กับอดีตมากจนไม่ออกไปดูเดือนดูตะวัน และหัดรักตัวเองเยอะๆหน่อย คิดให้ได้ว่า ตอนเกิดมาเราก็ไม่ได้หนีบเค้าคนนั้นมาด้วยซักกะหน่อย พ่อ-แม่ต่างหากที่เราควรนึกถึง

                3. ขณะมีแฟน สมควรคบเพื่อนไว้เผื่อการณ์นี้ด้วย อย่าทิ้งเพื่อนหรือหนีหน้าหายไปเลย เพราะว่า เลิกกับแฟนเมื่อไหร่เราก็ยังมีเพื่อนเหลืออยู่ดี ของเหลือไม่เลวร้ายเสมอไปหรอก หรือถ้าใครเถียงว่า กูเลิกกับเพื่อนเพื่อไปคบกับแฟน -_-!  ใครทำแบบนี้ ก็ขอให้โชคดีในความรักที่เลือกแล้วนะ

                4. ว่ากันว่าใครมีรักที่ดีเลิศ ก็เหมือนถูกหวย ซึ่งในชีวิตหนึ่งเราอาจไม่ถูกหวยเลยก็เป็นได้ หรือใครไม่เล่นหวย โอกาสถูก มันก็ไม่มี ก็เป็นธรรมดาโลกนะ อย่าไปทุกข์กับมัน อย่าไปคิดมากเลย...

                หรือใครถูกหวยบ่อยๆ จะเอามาเล่า ก็ยินดีศึกษาไว้เป็นกรณีตัวอย่างนะ...








It’s me…
เขียนขึ้นเนื่องในวันจะวาเลนไทน์ของคนไม่เล่นหวย...ทางความรัก...แหว่ะ!
13 กุมภาพันธ์ 2555

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ไม่แค่ท้อแท้...แต่ยังท้อถอย...

                วันนี้ตอนเช้า เราเดินน้องแน้งอยู่ในบริษัทตามปกติ ว่าจะไปนั่งอ่านหนังสือใต้โรงอาหาร รอเวลาเข้างานตอน 8 โมง ถ้าได้เดินเข้าแถวไปเข้างานอีกอย่าง ก็เป้นโรงเรียนได้แล้ว แต่แล้วก็มีพี่ที่คุ้นเคยคนหนึ่ง แกเรียกเราไปนั่งเม้าท์ด้วย เป็นเรื่องน่าประหลาดใจมากที่พี่อีกคนหนึ่งในโต๊ะ แกจะยื่นใบลาออกด้วยเหตุผลว่าเบื่อเจ้านาย พี่แกทำงานที่นี่มายี่สิบปี เป็นคนไม่เก่งหรอก แต่เค้าก็รับผิดชอบงานดี และที่สำคัญเค้าเป็นคนดีด้วย ตอนที่เค้ามาทำงานที่นี่ใหม่ๆ เราคงกำลังนั่งเกรียนกรี๊ดหลิวเต๋อหัวขณะเรียนอยู่ม.ต้น

                เวลายี่สิบปี มันไม่ใช่น้อยๆเลย สำหรับการตั้งใจทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ที่เดียว จบปริญญาตรีธรรมดา ด้วยความที่เป็นคนจริงจังกับงาน แต่ไม่หือไม่อือ นายสั่งอะไรก็ทำให้ (ถ้าทำได้) นายเปลี่ยนคนไปเรื่อยๆ แต่เค้าก็ยังอยู่ เรารู้มานานระยะใหญ่แล้วว่าเค้าโดนบ่น โดนว่าอยู่ทุกวัน รู้เพราะว่าแอบเห็นนั่นแหล่ะ และด้วยความที่เป็นลูกน้องก็ไม่กล้าเถียง รู้ทั้งรู้ว่าเหตุผลคืออะไร แกบอกว่าพูดไป นายก็ไม่ฟังหรอก ก็เลยเล่นซื่อๆ เอาลูกขันติเข้าแลก แล้วตอนนี้ขันติของพี่แกก็กำลังจะแตกแล้ว...อยู่ต่อไปอาจบ้าตายได้

                เราไปนั่งที่โต๊ะ ช่วยสุมหัวออกความเห็นเรื่องนี้ ในฐานะรุ่นน้องที่มาทีหลัง 8-9 ปี ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องประชาธิปไตย ที่เมื่อใครคนหนึ่งจะลาออก แล้วต้องมานั่งโหวตกันว่าคุณควรจะออกหรือไม่ แต่เราก็อยากออกความเห็นด้วยความปรารถนาดี...อีกนัยหนึ่ง ก็เสือกนั่นแหล่ะ เราไม่อยากให้เค้าลาออก ทุกคนก็เห็นว่าเค้าควรอดทนต่อไป แกบอกว่า แกเหนื่อย เบื่อ ไม่ไหวแล้ว เพราะว่าเป็นคนที่ไม่ใช่ ทำอะไรก็ผิด เราเห็นว่าอะไรบางอย่างมันก็ไม่ใช่เพราะความผิดพลาดของพี่เค้าหรอก ปัญหาบางอย่างมันก็เป็นเรื่องของทั้งระบบ ยิ่งมองหา ก็ยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ใหญ่มองไม่เห็น หรือ หลับตาโทษคนตัวเล็กๆดีกว่าเผื่อจะลืม

                เราบอกว่าลองอย่างงี้ได้มั้ย พี่คิดว่าเค้าไม่ใช่เจ้านาย เค้าด่ามา พี่ตะคอกกลับซัก 1 ประโยคได้มั้ย ประโยคเดียวพอเลย พี่อีกคนถามว่าเราจะบอกว่าอะไรดี เราบอกว่า ง่ายๆเลยนะ “จะเอายังไงกับกู!” หลับหูหลับตาตะคอกไปเถอะ ไหนๆพี่ก็ดีมาทั้งชีวิตแล้ว เอาสักครั้งนะ มากที่สุดเค้าก็ไล่เราออก ซึ่งพี่ก็จะได้ค่าทำขวัญ 10 เดือนเป็นอย่างน้อย ได้แน่นอน เพราะที่นี่มีสหภาพแรงงาน ยังไงบริษัทก็รังแกเค้าโต้งๆไม่ได้อยู่แล้ว

                จริงๆพี่เค้าไม่ได้อยากออกจากบริษัทหรอก แต่อยากหนีอกจากเจ้านายแบบนี้ แต่ก็ไม่ใช่คนที่ดูแล้วจะไปทำมาค้าขาย พูดจาจ๊ะจ๋า ทำหน้ายิ้มแย้ม เอาใจเขามาใส่ใจเรา ขายของให้รุ่งเรืองได้ (ถ้าเป็นคนแบบนั้น คงออกไปนานแล้ว) เลยไม่อยากให้เค้าไปแบบนี้ ถ้าบริษัทนี้ไม่มีดี คนตั้งเยอะแยะคงไม่ใช้ชีวิตนานแสนนานของเค้าที่นี่หรอก อยู่นานก็ผูกพัน พอผูกกันมันก็รักจนได้แหล่ะ แต่โลกนี้มันไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบหรอก โลกพระศรีอาริย์น่ะ ยังอยู่อีกไกลหลายล้านปีแสง เราไม่มีทางเจออะไรที่จะดีทั้งหมด เป็นไปไม่ได้ที่จะมีกลีบกุหลาบนุ่มๆหอมๆให้เราเดินเหยียบตลอดทาง มันก็ต้องมีหนามเหนิมมาตำส้นตีนพอให้รู้รสความเจ็บปวดบ้างแหล่ะ

                เราพยายามชักแม่น้ำทั้งหมดมาเท่าที่จะนึกออก เราบอกเค้าว่า เราออกแบบไม่ได้หรอกว่าวันๆคนที่เข้ามาหาเรา มันจะเป็นแบบไหนบ้าง มาทำอะไรใส่เราบ้าง เราก็แค่ต้องหาทางรับมือ ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้แหล่ะ พี่แกบอกว่า เราพูดมันก็ง่าย แต่ทำน่ะยากนะ เราบอกเค้าว่าที่พูดนี่ไม่ใช่ทฤษฎีนะ ก็เจอมาแล้วกับตัวทั้งนั้นแหล่ะ เราต่างก็ต้องเลือก การเลือกที่จะหนีมันง่ายเกินไป แค่เซ็นต์ใบลาออก เขียนแป๊บเดียวก็เสร็จ ทุกอย่างที่นี่ก็จบ แล้วถ้าวันหน้าไปเจอปัญหาอีกล่ะ ก็วิ่งหนีอีกแค่นี้เหรอ

                แกยืนยันว่าเบื่อ เราบอกว่า พี่รู้มั้ย ว่ามันคือความกลัวต่างหาก และหนีง่ายกว่าเอาชนะมัน พูดไปพูดมาเหมือนกูไปช่วยกดดันเค้าเลย พูดไปก็สงสารเค้า แต่ไม่อยากให้เค้าท้อ อย่าว่าแต่จะท้อแท้เลย ตอนนี้กำลังจะถอยแล้วด้วย เจอกันในห้องน้ำแต่ละวัน พี่ยังหน้าบูดเป็นตูดอยู่เลย บอกเค้าว่า ถ้าไม่กล้าพอ ซ้อมหน้ากระจกซัก 20 รอบก่อนไปตะคอกจริงก็ได้ ไหนๆก็ถูกด่าทุกวันอยู่แล้ว คิดว่าด่าเพื่อนคืนไง ลองดูแล้วพี่จะไม่กลัวอีก เค้ายังยืนยันว่าที่จะออกเพราะเบื่อ เราบอกว่าเราก็เห็นมาเยอะแล้ว ออกเพราะแบบนี้ แต่มันไม่สวยไง ถ้าพี่มีลูกสู้ชีวิตมันก็น่าเชียร์ให้ออก ถ้าพี่ได้งานที่ใหม่ จะไปขายของ จะไปทำสวน มีอนาคตรออยู่ เราจะไม่พูดแบบนี้เลยนะ ต้องออกจากงานเพราะตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดมันจะคุ้มค่าเหรอ

ถึงถ้าไปตะคอกนายแล้ว ได้ออกจริงๆ (เพราะเค้าไล่แน่) ก็เกิดประโยชน์นะ ตัวเองก็จะได้เงินทำทุนอีกก้อนหนึ่ง แล้วถ้าได้ผลดีเกินคาด คนที่เป็นนายที่คิดว่าตัวถูกอยู่เสมอเค้าอาจคิดได้ และไม่กดดันลูกน้องคนอื่นๆอีก เพราะถ้าขืนทำอีก มีหวังต้องจ้างทุกคนออกหมด แล้วใครจะอยู่ทำงานให้ แล้วเค้าก็ไม่ใช่คนไทยด้วย เค้าไม่ชกเราหรอก เราเป็นผู้หญิงนะ เมื่อประเมินทุกอย่าง เรามีแต่หนทางบวกทั้งนั้น มากสุดก็เสมอตัว เราเตือนเค้าว่า เวลาจะทำอะไรให้คิดให้รอบคอบ มองหาทางเลือกให้หลายๆทางแล้วค่อยเลือก ช่างผลดีผลเสียก่อน เพราะหลังจากเลือกแล้ว ไม่ว่ายังไง เราก็ยังต้องรับผลของมันให้ได้ทุกครั้งอยู่ดี

จริงๆสิ่งที่บอก มันก็ไม่ใช่อะไรใหม่นะ เป็นหลักง่ายๆที่ต่อให้เราไปวัดมาทั้งชีวิต ถ้าเราไม่ยอมเอามันมาคิด มาทำ มาต่อยอด มาลองใช้ มันก็เท่านั้นแหล่ะ การไปวัดอาจทำให้ใจที่ร้อนสงบลงได้ แต่การแก้ปัญหามันก็อยู่ที่ตัวเรานั่นแหล่ะ ที่พูดอย่างงี้ไม่ใช่ว่าเราสามารถบรรลุแล้วนะ ทุกคนก็มีปัญหาหมดแหล่ะ เราจะรับมือกับมันยังไงต่างหากที่สำคัญ แม้ปัญหามันจะมาหาเราโดยไม่ได้รับเชิญ แต่เราต้องคิดหาคำตอบ ก, ข, ค เอาเองนะ ไอ้ ง.งู ถูกทุกข้อนี่มันไม่ค่อยเจอหรอก ยาก...บางครั้งเราก็เลือกผิด บางครั้งเราก็เลือกถูกเป็นธรรมดา ให้ถือซะว่าไอ้ปัญหาที่วิ่งมาหาเรานี่ มันมาเพื่อฝึกสติปัญญาเรา ว่าเราจะผ่านมันไปได้ยังไง สำหรับเรา การกลัวปัญหามันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ ถ้าไม่กลัวเลยสิแปลก ก็เราไม่ใช่สปอร์ตเรนเจอร์ ผู้เกิดมาเพื่อพิทักษ์คุณธรรม ต่อสู้กับเหล่าร้ายทั้งปวงซะหน่อย ถึงจะกลัวจนสั่น ก็น่าจะลองสั่นสู้ดูซักตั้ง ถ้ามันจะแพ้ทุกครั้งก็ให้มันรู้ไปสิวะ

คงน่าเสียดายมาก ถ้าสุดท้ายคนดีๆ ต้องท้อแท้และถอยห่างออกไปหมด เพราะคำว่า เบื่อ....

กำลังเบื่ออยู่รึเปล่า...
 




It’s me…
9 กุมภาพันธ์ 2555
               
                ปล. เคยมีคนบอกว่า ปัญหาคือช่องว่างระหว่างสิ่งที่มันเป็นกับสิ่งที่มันควรจะเป็น หน้าที่ของเราก็คือทลายมันซะ!

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

จดหมายถึงนายกอบต. งู ฉบับที่ 6

สวัสดีค่ะเจ๊งู, นายกอบต.เจ้าเก่า

เขียนมาด้วยความถี่สม่ำ เสมอค่ะ เพราะว่าอยากจะออกความคิดความเห็น...(ถึงแม้ว่าจะลำเอียงเข้าข้างเจ๊เสมอๆ เลยก็ตาม แหม...ก็คนชอบมันพอกันอ่ะเนาะ) ก็คนเรามีสิทธิ์คิด แต่บางทีก็ไม่มีสิทธิ์พูดนะคะ คือตอนพูดน่ะไม่ลำบากค่ะ แต่หลังจากนั้นอาจตายโดยอายุขัยไม่เป็นใจเอาได้ง่ายๆ หนูเลยคิดว่า มันน่าจะดีฝ่าที่หนูเขียนจดหมายลับๆมาเรื่อยๆอย่างงี้ เจ๊ของหนูใจดี ถึงแม้ระหว่างทางอาจมีคนแอบอ่านบ้างนิดๆหน่อยๆ แต่พอนับตีนแล้ว อาจพอวิ่งไปตายที่โรงพยาบาลทันนะคะ ก็หนูน่ะเข้าข้างเจ๊ไปซะทุกเรื่อง หนูก็กลัวว่าคนเค้าจะหมั่นไส้เอาน่ะสิคะ

ฉบับนี้มันก็มี เรื่องติดใจอยู่นี๊ดนึงค่ะ ถ้าหนูบอกเจ๊แล้ว เจ๊เหยียบเลยนะคะ เดี๋ยวนี้เพื่อนๆหนู เค้าเป็นอะไรกันไม่รู้นะคะ เค้าบอกเบื่อการบ้านการเมืองตำบลเราค่ะ เค้าว่าเค้าอยากย้ายตำบลนะคะ แต่ก็ไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไร บางคนถึงกับหาแฟนต่างตำบลไปเลย จริงๆหนูก็เคยคิดนะคะ ว่าจะไปนั่งไขว่ห้างเป็นซินยอริต้าอยู่อีหรอบดีมั้ย แต่คิดๆดู ตำบลเค้าชอบกินแต่ขนมปัง แล้วหนูจะไปนั่งเสล่อชันเข่าจกส้มตำแซ่บๆ แลบลิ้นแผล่บๆ มันก็ดูไม่เหมาะ เดี๋ยววัวกระทิงมันจะขวิดตายคาไหปลาร้าซะเปล่าๆ อยู่ที่นี่แหล่ะดีแล้ว แล้วมันก็มีข้อจำกัดที่ใหญ่มากซะด้วยอีกอันหนึ่ง คือไม่ได้เกิดมาแบบสวยเลือกได้น่ะค่ะ...แฮ่ะๆ

หนูเคยอ่านเจอ ในหนังสือนะคะ เค้าว่าตำบลเรานี่แต่โบร่ำโบราณ คนโพ้นทะเลพวกไอ้หนุ่มซินตึ๊งเค้าชอบมาปักหลักอาศัย เค้าว่า ความชื้น อุณหภูมิกลางวันกลางคืนไม่ต่างกันมาก มีทะเล มีที่ราบ พายุแรงๆพัดมาก็มีกำแพงภูเขากั้นไว้ ดินอุดม แมลงยั้วเยี้ย ปลายุ่ยยั่บ ปลูกอะไรก็ขึ้น เค้าโจษจันกันถึงขนาดว่าตำบลเราเนี่ย เอาท่อนไม้มาปัก ใบก็งอกแล้ว น่าอิจฉาคนโบราณโบร่ำเนาะเจ๊เนาะ อะไรมันจะขนาดนั้น ปุจฉา...อยากถามว่า แล้วปัจจุบันมันหายไปไหนล่ะฮึ... 

ตำบล เรามันน่าอิจฉาจริงๆมั้ยน้าเจ๊ เคยได้ยินมากับสองรูหูเลยนะเจ๊ นานมากแล้ว คนตำบลข้างๆที่ห่างกันแค่มหาสมุทรน่ะค่ะ เค้าเคยเปรยกับหนูว่า ตำบลเราดีนะ เค้าบอกว่าในน้ำมีปลา ในนามีข้าว บ้านเค้าน่ะแผ่นดินไหว ภัยธรรมชาติสารพัด ตอนแพ้สงคราม พ่อแม่เค้าไม่มีข้าวกินด้วยซ้ำ หนูบอกไปด้วยความภาคภูมิใจ ว่าหนูรู้ตั้งนานแล้ว บ้านเราเลยสบายๆ ไม่รีบร้อน ใครจะแข่งอะไรด้วย เราก็ไม่สน เราเรื่อยๆ ช้าๆได้พร้าเล่มงามนะคะ เราช้าก็ไม่ได้หมายว่าความเราหยุดเดินนี่เนาะ เค้าบอกว่าเสียอย่างเดียว...คนตำบลเราชอบทะเลาะกัน!

อ้าว...มา พูดอย่างงี้มันไม่ถูก ปั๊ด!...เดี๋ยวก็ตบบ้องหูซะนี่ เรื่องของผลประโยชน์ ชอบไม่ชอบเราไม่รู้ แต่จะมาให้เรายอม เราจะยอมได้ไง อย่างเมื่อเช้าเนี่ยดูทีวีมาสดๆเลย ที่หัวหน้าพรรครักตำบลออกมาแฉลูกพรรคตัวเอง เพราะลูกพรรคออกมาแสดงจุดยืน (ซึ่งก็น่าจะเป็นส้นตีนตัวเองน้า...หนูก็งงๆว่าคนพวกเนี้ยเค้ายืนบนอะไรกัน) เค้าแสดงจุดยืนว่า เค้าไม่ได้ลาออกจากการเป็นสส. แต่ลาออกจากตำแหน่งในพรรค ยิ่งฟังก็ยิ่งเง็ง ในขณะที่หัวหน้าพรรคก็ออกมายันว่า คนเนี้ยลาออกไปแล้ว มีหลักฐานและลายเซ็นต์ด้วย คนเนี้ยก็ไม่ยอม...ยังมาให้สัมภาษณ์ด่าหัวหน้าว่าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ เด็ก เป็นคนยังไงทำไมตัวจะไม่รู้ เผด็จการ ไม่เห็นหัวใคร ไม่ฟังใคร เห็นแก่ตัว หนูฟังแล้วก็ไม่เข้าใจว่า ถ้าเค้าเลวร้าย แล้วมาอยู่ด้วยกันทำไมหว่า คิดจนรังแคร่วง คันหัวจัง แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้

หัว หน้าพรรคเลยมาพูดแถลงให้แจ่มแจ้งดำแจ๋ (ดำแล้วกัน...ดำยังไม่ได้เป็นพวกใคร) บอกว่าขอโทษคนทั้งตำบลที่ชักนำคนแบบนี้เข้าพรรคมา พร้อมเปิดคลิปวีดีโอ เห็นแล้วอึ้ง คนนั้นที่เป็นลูกพรรคนั่งคุยกับหัวหน้า ซึ่งบอกว่าเป็นเพื่อนตั้งแต่เด็กน่ะค่ะ พูดถึงถนนทางหลวงชนบทที่จะมาตัดผ่านหน้าบ้านเค้าเอง เอางบประมาณมา แล้วเค้าก็จะทำเอง หรือหาคนอื่นมาทำเอง โดยยืนยันว่าเค้าได้ผลประโยชน์ด้วยแน่นอน ไม่มากค่ะ แค่ประมาณ 10% เอง จิ๊บๆ ถ้า 500 ล้าน ก็ได้แค่ 50 ล้านเองอ่ะค่ะ ฮือๆ...นักการเมืองตัวอย่าง! ตัวอย่างที่ดีของนักการเมืองที่...จุดจุดจุด หนูเพิ่งรู้นะคะ ว่าชาติก่อนตำบลเราติดหนี้บุญคุณคนพวกนี้มากมายเหลือเกิน ชาตินี้เค้าก็เลยตามมาเก็บคืน นี่มันทบต้นทบดอกรึยังคะเจ๊ อย่าบอกนะว่ามาเอาแค่ดอกเบี้ย แล้วชาติหน้า หนูยังต้องไปเจอเค้าอีก หนูไม่อยากเจอแล้ววววว...แงๆ...หนูอยากฟ้องโดเรม่อน

หนูว่า ถ้าพี่คนนี้แกกลับมาในวงการเมืองได้อีกนี่แสดงว่าตำบลเรานี่ใจพระสุดๆนะคะ เจ๊ พี่แกโดนจับได้ ถูกล้อกิ๊วๆขนาดนั้นแล้ว ถ้าพรุ่งนี้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ ดูท่าว่าลูกตำบลเราจะเป่าปี่พระอภัยกันมากไปรึเปล่า เวทมนต์เลยครอบหน้า ถ้ามีวันที่เค้ากลับมาจริงๆ เราน่าจะขึ้นป้ายล้อมตำบลยินดีต้อนรับคนโกงจากทั่วโลกมาฝนตกขี้หมูไหลด้วย กันให้มันโจ๊ะพรึมๆตึ่งโป๊ะกันไปเลยนะคะ หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าด้วยกรรมที่หนูก่อเอาไว้ หนูจะต้องตายใหม่อีกกี่หมื่นชาติถึงจะพ้นเคราะห์จากการถูกโกงอ่ะค่ะ เจ๊เป็นคนดี ความดีอาจส่งผลให้เจ๊นิพพานในเร็ววัน หนูนี่แย่เลย แค่จะให้อภัยคนชั่วยังลำบากเลยค่ะเจ๊

เออ...ลืมชื่นชมเฮียหัว หน้าพรรคคนนั้นไปเลย คนที่เอาเทปแบบนี้มาแฉน่ะค่ะ หนูว่าแกต้องเคยเป็นทีมงานสาระแนมาก่อนแน่ๆเลย ทักษะในการถ่ายคลิปแกเนี่ย เก่งขึ้นทุกวันนะคะ ใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ หนูยกให้แกเป็น Man of the match of the clips ไปเลยค่ะ เจ๊เห็นด้วยมั้ยคะ ถ้าไม่เห็นด้วย หนูจะได้ถอนคำพูด หนูแล้วแต่เจ๊แหล่ะ...เอ๊...คิดอีกที เจ๊มีผู้รับเหมาทำป้ายรึยังอ่ะ เดี๋ยวหนูรับงานให้ คิดราคากันเอง บวกเพิ่มนิดหน่อย ห้าแสนตารางกิโลเมตร เส้นรอบวงซักเท่าไหร่น้อ ได้เวลาลืมตาอ้าปากกันซักที จะยื่นซองเมื่อไหร่ อย่าลืมกรี๊งกร๊างน้า...รักกันเหนียวแน่นทนนาน

เจ๊...อีก เรื่องที่หนูได้ยินมาแล้วอยากจะชื่นชมคือเรื่องโปรเจ็กท์ยักษ์ เรือนจำซุปเป้อร์แม็กซิมั่มอันนั้นน่ะค่ะ หนูว่าคอนเซ็ปท์ดีจังนะคะ เอาคนค้ายาฯไปอยู่รวมกัน แยกกันกิน อยู่ หลับ นอน ไม่ต้องให้เจอใคร ไม่ว่าภายในภายนอก อาหารไหลไปตามราง ว่าแต่เค้าจะไม่เจอใครจริงๆใช่มั้ยคะ แล้วเราจะเอาตังค์ที่ไหนมาสร้างคะ ระบบที่แข็งแรงทนทานขนาดนั้น แถมใช้เทคโนโลยีควบคุมเพียบเลย อย่างกับเดอะร็อค คุกในหนังฝรั่งเลยค่ะ เราต้องไปกู้เงินเค้ามาสร้างอีกแล้วใช่มั้ยคะเจ๊ ก็นั่นสิเนาะ จะเอาฟางก้อนมาสร้างได้ยังไงหว่า แต่ว่า...เรายังไม่ได้ทำคันคอนกรีตกั้นน้ำท่วมกันเลยนะคะ อีกไม่กี่เดือนเดี๋ยวก็หน้าฝนแล้ว ว่ากันว่าปีนี้เจอลานินญ่า ฝนก็จะตกเร็วกว่าเดิมด้วยนะเจ๊ เอาเรื่องน้ำท่วมก่อนดีฝ่ามั้ยคะ ไอ้หนูก็กลัวเจ๊จะลืม ยิ่งยุ่งๆอยู่ด้วย...

ส่วนเรื่องเรือน จำ ในขณะที่งบน้อย ขอแนะนำให้ไปดูกรงขังผู้ป่วยทางจิต (คนบ้าน่ะค่ะ) ตามหลังคาแดงนะคะเจ๊ ลงทุนต่ำ เห็นผลสูง จะย้ายไปไหนก็ง่ายอีกต่างหาก เอาเครนยกเอาก็ได้ด้วย จะว่าก้าวล้ำข้ามเส้นสิทธิมนุษยชนมั้ยนี่ ก็ขอให้ re-run กลับไปตอนที่เค้าขายยา และบ่อนทำลายประเทศนะคะ ว่านั่นมันก้าวล้ำทำลายสิทธิมนุษย์กี่คน ลงโทษหนักๆแล้วก็ไม่ต้องลดโทษ อย่างน้อยก็อาจลดพวกมือใหม่หัดค้าหัดเสพได้บ้าง มันคิดไม่ได้ ให้มันกลัวก็ยังดีเนาะ

แต่ตำบลเรามีการผวาล่วงหน้าแบบนี้ด้วย นะคะ ไม่รู้ว่าเจ๊จะรู้มั้ย คือกลัวว่าถ้ากำหนดบทลงโทษหนักๆ แล้วในกรณีที่จับผิดตัว ไปจับแพะเข้าล่ะจะทำยังไง อ้าว...นี่มันเกาไม่ถูกที่คันรึเปล่าคะเจ๊ วู้...อะไรมันจะไว้ใจไม่ได้ขนาดนั้นเนาะ เราควรไปแก้ที่วิถีทางในการจับกุมดีมั้ยคะ เอาให้จั๋งหนับ จับให้โดนตัวจริง พอจับได้แล้วก็จัดให้หนัก ตำบลเราใจดีนะคะ สารภาพก็ลดโทษครึ่งหนึ่งแล้ว เป็นแรงจูงใจให้คนทำผิด หรือว่าตำบลอื่นๆ เค้าก็ทำกันคะ หนูมันก็อยู่แต่ในตำบลเลยไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เวลาออกจากบ้านก็พยายามเทขี้เลื่อยออกจากหัวแล้วน้า แต่ว่ามันก็ไม่หมดซักทีอ่ะค่ะ หนูคิดเอาเองว่าการโดนลงโทษก็เป็นกรรมอย่างหนึ่งที่คนไม่ดีควรได้รับ คือซ้อมไว้ก่อนเจอของจริงในปรภพก็ดีนะคะ เจ๊ว่าแมะ...

มี เรื่องอะไรอีกน้า ที่อยากจะบอกเจ๊...อ๋อ นึกได้แล้ว เรื่องรมต.ที่เจ๊แต่งตั้งเอาไว้ ที่เค้าติดบัญชีดำ (อันนี้ดำจริงๆ) ของตำบลฝรั่งน่ะค่ะ ไม่รู้ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว ตั้งแต่ติดตามข่าวอบต. หนูก็เพิ่งรู้ว่า ความจริงนี่มันมีหลายแง่มุมนะคะ หนูโง่อยู่ตั้งนานแสนนาน หนูเข้าใจว่า ความจริงก็คือความจริง มีได้แค่อย่างเดียว ซึ่งที่จริงแล้วความจริงมันดิ้นได้ คนนี้ก็พูดความจริงว่าไม่เคยทำอะไรผิด ทุกอย่างทำด้วยใจตลอด ซึ่งคำพูดที่มาจากใจก็อ่านเอาจากกระดาษหมดเลย หนูเลยแอบคิดถึงหัวใจกระดาษ เบาๆก็ขาด แค่ลมบางเบาก็ปลิว เคว้งคว้างล่องลอยในสายลม...อะไรไปเรื่อยเปื่อย

เจ๊ก็เชื่อ ใจในคนตำบลเราซึ่งมันก็ถูกต้องแล้วแหล่ะ ก็เจ๊หลับตาจิ้มมากับมือนี่เนาะ ก็ผ่านการเลือกที่ดีงามมาแล้ว เค้ากลั่นความรู้สึกจากใจ อ่านมาจากกระดาษถึงขั้นนั้น คงเป็นวิธีป้องกันการพูดจากใจเลยเพราะเดี๋ยวจะร้องไห้ในขณะพูดเนอะ เดี๋ยวคนก็หาว่าอ่อนแออีก เลยถ่ายใส่กระดาษรอบหนึ่งก่อน อย่างงี้มันก็ต้องจริงแท้แน่นอนอยู่แล้วแหล่ะ เห็นๆกันอยู่ ส่วนเจ้าหน้าที่ตำบลนั้นเค้าก็บอกว่าพูดจริงเหมือนกัน รายละเอียดยังไงหนูฟังแล้วก็งง ต้องเกาหัวแล้วเกาหัวอีก แถมอะไรที่เอามาโชว์ก็เป็นภาษาปะกิด อ่านม่ายออกอ่ะ...วู้! หลายๆอย่างที่เป็นความจริงในเรื่องเดียวกันช่างทำให้หนูตัวน้อยๆสับสน อลหม่านนัก เอาหูไปนา แล้วเอาตาไปไร่ดีฝ่า ง่ายกว่ากันแยะเลย

เจ๊ คะเจ๊...ด้วยความเป็นห่วง อาทิตย์ก่อนฝนตกที่หมู่บ้านก่อตอหม้อ ในหน้าหนาวที่แสนร้อนอย่างนี้ ฝนมันตกอยู่หน่อยเดียวเอง แล้วไหงน้ำมันท่วมแล้วล่ะคะ ยังไม่ใกล้หน้าฝนซักนิด ปีนี้เราจะรอดจากน้ำท่วมจริงๆใช่มั้ยคะเจ๊ แต่ไม่ว่ายังไงก็เป็นกำลังใจให้เสมอ

ห้าลบสอง ได้เท่ากับ ไอเลิฟยู หนูรักเจ๊ที่ซู้ด...(สำหรับคนที่มาแอบอ่านแล้วตามไม่ทัน...แบมือออกมา หดนิ้วกลางกับนิ้วนางลงไป ชัดเจน...เปลี่ยน...)






หนูนาคารูแย้ตัวเดิมเด๊ะ รักเละเทะเหมือนเดิมด้วย
6 กุมภาพันธ์ 2555

วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หุ่นละครเล็กคณะคำนาย บ้านศิลปิน คลองบางหลวง

 ถึงนักแสดงหุ่นละครเล็กคณะคำนาย...

เมื่อวาน (วันเสาร์) มีโอกาสได้ไปดูหุ่นละครเล็กของคณะคำนายมาค่ะ เลยอยากจะเขียนมาขอบคุณ...


เพราะเพื่อนรุ่นน้องมาบอกว่าตอนที่เค้าไปบวชที่ปัตตานี เค้าบังเอิญได้เห็นนิ้วกลมในทีวี พาไปเที่ยวบ้านศิลปินในรายการอะไรก็ไม่รู้ เค้าเห็นแค่ผ่านๆ และรู้สึกว่าน่าสนใจ เค้าเลยจำชื่อมา ว่าชื่อหุ่นละครเล็กคลองบางหลวง พอกลับมาทำงานปกติ เค้าก็เลยมาบอก และที่สำคัญเค้าบอกว่าฟรี เราก็ตาลุกโพลง เออ...งั้นก็อย่าช้า ไปกันเลยทันทีที่มีโอกาส เสิร์ชหาข้อมูลใน internet แล้วก็โทร.ไปถามว่าวันเสาร์แสดงมั้ย ต้องไปกี่โมง จนดั้นด้นไปจากสมุทรปราการ (ทำอย่างกับว่ามันไกล...บางคนเค้ามาจากอเมริกานู่น ยังไม่บ่นเลยเนอะ...)


คือพวกเราเป็นคนไทยที่บอกได้เลยว่าไม่เคยได้ใช้ชีวิตโดยซาบซึ้งในศิลปะของชาติ เข้าใจในศิลปินอะไร และคิด (เอาเอง) ว่านี่แหล่ะคือคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ เราดูศิลปะเอาความสวยงามเฉยๆ นานแล้วที่ไม่ได้เห็นหรือซึมซับความคิดของศิลปิน แต่เมื่อวานที่ได้ไปเห็น กลับทำให้เราเห็นอะไรหลายๆอย่างที่มันมีนัยยะซ่อนอยู่ เราเลยอยากเขียนมาหานะ อย่างน้อยการได้บอกพวกคุณซึ่งเป็นศิลปิน เราก็รู้สึกดีใจที่เราได้เล่ามันออกมา ไม่ว่าพวกคุณจะได้อ่านหรือสนใจมันมั้ยก็ตาม


อย่างที่บอกตอนแรก ที่ว่าไปนี่ก็กะไปดูฟรีนะ แต่พอได้เจอจริงๆ ไม่อยากจะเชื่อว่ามีสิ่งดีๆ อย่างงี้ซ่อนอยู่ในสังคมเราด้วย การที่คุณพูดว่า เราทุกคนมีหน้าที่ แล้วพวกคุณ 15 คนเนี่ยก็คงมีหน้าที่อนุรักษ์หุ่นละครเล็กให้ได้อยู่คู่เมืองไทยต่อไป มันทำให้เราเสียตังค์หลายร้อยโดยไม่เสียดายเลย ถ้าเมื่อวานในกระเป๋ามีเป็นพัน เราก็จะให้ คือเราน่ะก็คนธรรมดามากๆ ห่างไกลจากคำว่าร่ำรวยอีกโคตรไกลโข แต่ว่าเราเห็นแล้วทึ่งน่ะ อยากสนับสนุน อย่างที่คุณบอกว่า รายได้หลักของคุณมันไม่ใช่ตรงนี้ เราดีใจที่คุณเปิดโอกาสให้ดูฟรี มันทำให้เราอยากมาดู และพอดูแล้ว มันก็ทำให้เราเห็นคุณค่า เราเป็นคนหนึ่งซึ่งเชื่อว่า เวลาเป็นสิบปีที่พวกคุณทุ่มเทเอาไว้จะไม่สูญเปล่านะ อยากให้อีก 100 ปีข้างหน้า ถ้าโลกมันไม่แตกไปซะก่อน ก็อยากให้คนรุ่นหลังได้เห็น (แหม...ก็ไม่ใช่ว่าจะให้พวกคุณอยู่แสดงเองหรอก)


ตอนเราเดินเลียบ คลองเข้าไปตอนแรก เห็นน้องเซฟ เค้าโดนผู้ใหญ่แกล้งดึงจุกอยู่ น้องมันโดนแกล้ง มันก็กรี๊ดใส่เค้า เราก็ยังเห็นว่าไอ้เด็กจุกนี่มันก็น่ารักดีว่ะ คิดว่าอายุน่าจะซักสี่ห้าขวบ ไม่นึกว่ามันจะมาแสดงด้วยในเวทีจริง แล้วก็หยุดแสดงซะเฉยๆ เมื่อถ่านหมด หยุดเอาดื้อๆ มันดูเป็นธรรมชาติมากๆ ไทยๆ ใสๆ และที่ไม่น่าเชื่อก็คือ มันบอกว่าตัวเองอายุสองขวบสามเดือน แล้วก็น้องพลาย (พลายชุมพล) ที่ใส่หัวโขนร่ายรำ จนเหงื่อแตกพลั่ก กับพวกคุณทุกคน ที่พยายามประยุกต์การเล่นหุ่นให้มันมีจุดน่าสนใจมากขึ้น คุณเอาตลกมาประยุกต์ใช้ได้อย่างสร้างสรรค์สุดๆ มันทำให้คนดูไม่เบื่อ ดูตลก แต่มีศิลปะไทยที่โคตรจะงดงามอยู่พร้อมกัน เราไม่คิดว่าเราจะได้เห็นแหล่ะ เราคิดว่าถ้าเด็กไทยได้เห็นอะไรอย่างงี้กันทั้งประเทศตั้งแต่เล็ก เค้าก็คงจะหันมาสนใจเรียนวรรณกรรมไทยกันมากขึ้นไม่มากก็น้อย ถ้ามันหายไปกับสายลมหมดก็บ้าแล้ว...


ถ้าเราเป็นนายทุน เราคงจะมองเห็นพวกคุณแสดงในลักษณะนี้แบบเวอร์ชั่นยาว (แสดงเอาฮา 70% แอบแทรกวรรณกรรมไทย 30%) ในเวทีที่พารากอน มีดารานักแสดงมานั่งดูกันให้ตรึม เพื่อการันตีความฮาและความงาม เราอยากให้คุณได้เงินเยอะๆนะ ไม่ใช่อยากให้ได้เพราะจะไปหลงระเริงกับมันหรอก แค่อยากให้เอาเงินมาสานต่อเจตนารมย์ที่ดีน่ะ เราเชื่อว่าเจตนาที่ดี จะนำสิ่งที่ดีมาสู่ตัวเราเสมอ อย่างโน้ต อุดมน่ะ เค้าต้องผ่านการฝึกฝนเคี่ยวกรำมานานมากนะ และต้องเชื่อมั่นในสิ่งดีๆที่เค้าคิดมากๆ กว่าจะมาพูดเรียกเงินเรียกทองได้เป็นร้อยล้าน จริงๆเราว่าในกรณีพวกคุณนี่ ความน่าสนใจมันสุดๆไปเลยนะ พวกคุณกับเค้ามีอะไรคล้ายกันตรงคำว่า อุดมการณ์ (แค่อุดมการณ์ของเค้ามันอาจจะดูเอียงๆอยู่ซักหน่อย) เราอยากให้พวกคุณกับเค้าเจอกันจังเลย แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะต้องทำยังไงได้ เรามองภาพนั้นเล่นๆในหัวว่ามันจะเป็นยังไงนะ แต่ก็ทำได้แค่คิดแหล่ะ บางทีสิ่งที่เราชอบในตัวพวกคุณมันอาจจะไม่ใช่ผลลัพธ์อย่างเดียว เราชอบคำว่า "ความพยายาม" กว่าเฉินหลงจะมาเป็นเฉินหลงอย่างทุกวันนี้ เค้าก็ฝึกมาตั้งแต่เด็กนะ (เกี่ยวกันมั้ย)


เมื่อวานพวกเราซื้อเสื้อมา 4 ตัว ซื้อโปสการ์ดที่ระลึก กินข้าว กลับออกมาช้ามาก เดินชื่นชมไม่ขาดปาก อย่างกับไปดูเอทีเอ็มเออรักเออเร่อมา ออกมาซื้ออาหารปลา และนั่งโม้กันในขณะที่โยนอาหารให้ปลา


เราบ่น (แต่เสียงคงดัง)ว่า "ไอ้น้องเซฟมันได้ตังค์เต็มเสื้อ แล้วมันหายตัวไปเลยเนาะ" แล้วก็หัวเราะเพราะยังตลกท่าทางน้องมันอยู่

น้องที่ไปด้วยกันบอก "ก็พ่อมันมารับตัวไปแล้วไง"

คนขายอาหารปลาได้ยินเข้าเต็มสองรูหู เค้าถามว่า..."น้องเซฟเหรอคะ ลูกหนูเองค่ะ" ดีนะที่ใช้คำว่า หายตัว ไม่ใช่ หายหัว...ดีใจมากที่เจอตัวแม่...

เราก็เลยได้ที คุยล้วงประวัติน้องมันซะเลย เราดีใจมากเข้าไปอีก ที่รู้ว่าเงินที่น้องเค้าหอบใส่เสื้อได้รางวัลมา เป็นของน้องเค้าจริงๆ เราชอบอยู่แล้วไอ้การชวนคุยเนี่ย เราเลยได้รู้มาว่า น้องเค้าอยู่ที่นี่มาก่อน พออายุ 5 เดือน คณะคำนายก็มา น้องเค้าเริ่มแสดงตั้งแต่สองขวบ ไอ้ที่พูดว่าตัวเองสองขวบสามเดือนน่ะ จริงๆมันผ่านมาตั้งหกเดือนแล้ว ตอนแรกน้องเค้าก็กลัวมาก แต่อยู่ๆก็ชอบ อยากแสดง อยากฝึก เรานั่งชื่นชมให้แม่เค้าฟัง เรื่องการนั่งสมาธิหลับตาปี๋ คิดแล้ว...ยังประทับใจอยู่เลย แม่เค้าบอกว่า แม่พูดอะไรไม่ค่อยเชื่อนะ แต่ถ้าครู (ที่บ้านศิลปิน) พูด นี่เชื่อหมด ทำตามทุกอย่าง น้องเกิดวันฉัตรมงคล (5 พฤษภาคม) ซึ่งเป็นวันดีมาก และที่หายตัวไป เพราะว่ากำลังหลับอยู่ น้องไปโรงเรียน (จริงๆ) แล้วครูที่โรงเรียนสอนให้นอนกลางวัน และที่เราอึ้งที่สุด คือแม่เค้าบอกว่า ค่าเทอมที่โรงเรียน 5800 บาท ของน้องเซฟ น้องเป็นคนจ่ายเองทุกบาททุกสตางค์ ฟังแล้วน้ำตากลั่นมาจากอกเลย ไม่ใช่ลูกหลานเรา แต่เราปลื้มแทนพ่อแม่เค้านะ

อยากบอกว่าเลี้ยงเค้าดีๆนะคะ สั่งสอนแต่สิ่งที่ดีและสร้างสรรค์ เด็กมันใส อยู่ที่เราจะจับอะไรใส่เข้าไปในลิ้นชักความจำมันแหล่ะ ขอให้เมื่อเค้าเจอโลกแห่งความจริงในอนาคตแล้ว เค้าจะรู้จักเลือกทางที่ถูกต้องและดีงามเหมือนอย่างในวันที่เค้าได้เลือก เมื่อตัวเองอายุ 2 ขวบ เด็กคนนี้คงจะมีอนาคตที่ไกลมาก ถ้าเป็นไปได้ เราขอชื่อและนามสกุลน้องเค้าไว้ได้มั้ย อยากเป็นแฟนรุ่นป้าน่ะ และน้องเค้าชอบอะไรเป็นพิเศษมั้ย ไปครั้งหน้าจะเอาไปฝากค่ะ


พวกคุณรู้มั้ย...ถ้าเราไปเจอพวกคุณเดินเปะปะปนอยู่กับผู้คนทั่วไป เราจะหมายหัวเลยว่า ไอ้พวกนี้ ทรงผมอย่างงี้ ใส่ตุ้มหูอย่างงี้ หน้าตาประมาณนี้ พอเอามารวมอยู่ในหัวเดียวกันนี่...บีบอยแน่นอน พอเห็นพวกคุณวาดลวดลายกับหุ่นละครเล็กแล้ว คำว่า "ลงตัว" มันยังน้อยไปนะ ไม่รู้จะบอกว่าอะไรดี...พวกคุณมีออร่าของความดีงามล้อมอยู่นะ (ภายใต้หน้าเหี้ยมๆนั่นแหล่ะ)


เก่าไป-ใหม่มา ในขณะที่เก่าก็ไม่ไป เพราะมันมีดีเหลืออยู่ ใหม่ก็มา แต่มาเพื่อสืบสาน มาเพื่อต่อยอด มาเพื่อรักษา มาเพื่อบอกว่า บ้านเมืองเรามันมีดีแค่ไหน ขอบคุณมากๆ ที่มองเห็น ไม่ทอดทิ้ง ไม่สูญสิ้นอุดมการณ์ เราอยากให้บ้านเมืองเรา มีแต่คนอย่างพวกคุณเต็มไปหมด ไม่ใช่ทำสิ่งเดียวกันเหมือนพวกคุณนะ แต่ยึดมั่นในสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมือง ทุกอย่างคงไม่วุ่นวายอย่างนี้


ขอให้พวกคุณไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ เมื่อคิดอะไรดีๆ ขอให้ประสบความสำเร็จและสมหวังทุกประการค่ะ เราจะไปดูคุณอีกแน่นอน...


ด้วยหัวใจคนไทยธรรมดาคนหนึ่ง...(ที่ยืนพิงเสาดูพวกคุณเมื่อวานนี้)
5 กุมภาพันธ์ 2555