วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วันที่เจ็บปวด...

วันที่เจ็บปวด 5  เมษายน  ปี....” เขาจรดปากกาไวท์บอร์ดหัวโตสีแดง เขียนลงบนกระจกบานใหญ่ในห้องน้ำ พร้อมลงท้ายด้วยลายเซ็นต์กำกับยืนยันว่าข้อความข้างต้นเป็นความจริงทุก ประการ ยืนเข่าอ่อน มองเงาหัวตัวเองในกระจก หน้าตาที่พร่ามัวเนื่องมาจากม่านน้ำตาที่อาบแก้มทั้งสอง ตาที่เปียกชุ่ม น้ำตาลูกผู้ชายที่ไม่เคยหลั่งมาก่อน... (ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา) ผมเผ้าอันยุ่งเหยิงแต่ก็ปิดหัวเถิกเอาไว้ได้ สติที่เลอะเลือน แอลกอฮอล์ที่เต็มอยู่ทุกอณูรูขุมขน เขาไม่ได้กลิ่นมันแม้แต่น้อย จะมีอยู่ก็แต่กลิ่นความรักที่จากไป ทุกอย่างยังแจ่มชัดในความทรงจำ

“มึง รู้มั้ย ว่ากูรักเค้ามากขนาดไหน กูรักเค้าจนไม่มีพื้นที่ว่างในหัวใจ กูเป็น Nice guy เสมอเลยนะ ฮือๆๆ” เสียงสะท้อนเมื่อตอนกลางดึก ที่เขาเฝ้าเอาแต่สะอึกสะอื้น ระบายความทรงจำ ถ่ายทอดให้เพื่อนคู่หูที่นั่งเป็นส้วมฟัง อย่างเหมือนจะไม่มีวันหมด ไอ้เพื่อนรักก็แทบจะหันไปอ้วกทุกครั้งที่มันหลุดคำพูดเชิงปริ่มว่าจะขาดใจ ตายเมื่อไม่มีผู้หญิงคนนั้นแล้ว

‘ให้ตายเถอะ เวลามึงมีความสุข ไม่เคยจะได้เห็นแม้แต่เงาหัวอันเลือนลาง พอเลิกกันเข้าหน่อย กูมีความหมายขึ้นมาทันที’ เพื่อนได้แต่สบถความคิดกับกบาลตัวเองเบาๆ ราวกับว่าถ้าคิดดังแล้วเขาจะรู้เข้าและน้อยใจมันเพิ่มไปอีกหนึ่งคน ถึงจะอยากอ้วกมากขนาดไหน แต่พอหันมาเจอน้ำตาที่ไหลพราก ได้ยินน้ำเสียง คำพูดที่ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะระหว่างเล่าความหลัง ต้องร้องไห้ประกอบฉากไปด้วย ผู้ชายอายุเกือบสามสิบ สูงกว่า 180 เซนติเมตร หนวดเคราเฟิ้มเต็มหน้า หน้าตาพอไปวัดไปวาได้ ริจริงจังกับความรัก ตอนนี้นั่งกินเหล้าเมาแอ๋ นั่งหลังค่อมร้องไห้จนตัวโยน ยังไงก็อดเห็นใจมันไม่ได้...ทำท่าเห็นใจก็ยังดีนะ เพราะตอนนี้น้ำตาบังตาหมด เมาด้วย ดูไม่ออกหรอกว่าอะไรจริงอะไรเท็จ

“หัวใจกูมีอยู่แค่ ดวงเดียว ฮือๆ ก็ให้เค้าไปหมดแล้ว ฮือๆ แล้วชีวิตกูจะอยู่ต่อไปได้ยังไง ฮือๆๆ” ทำอย่างกับว่ามันได้เด็ดหัวใจแดงๆ พร้อมขั้ว ให้ผู้หญิงคนนั้นไปแล้วตอนที่ตกลงเป็นแฟนกัน แล้วพอเลิกกัน เค้าก็ไม่ได้คืนกลับมาให้ ว่าแล้วเชี้ยว ปกติชวนไปไหนก็ไม่ไป ไหงครั้งนี้ชวนมาต่างจังหวัด ทำไมมันง่ายดายนัก

“ตุ๊กตาหมี ตัวนี้ มึงไม่ทิ้งเหรอ ไหนว่าเลิกกันแล้ว” ตอนกลางวัน เพื่อนเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นตุ๊กตาหมีตัวเล็กที่นั่งปั้นจิ้ม ปั้นเจ๋อ ทำตาบ้องแบ๊วอยู่บนคอนโซลหน้ารถ คิดว่าเขามีสภาพจิตที่ปกติดี หลังจากเลิกกับแฟนไปแล้ว ก็เลยถามดู ตุ๊กตาหมีคิกขุ...ของขวัญวันวาเลนไทน์ปีก่อน ที่เพื่อนก็รู้ดีว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนซื้อให้เขา

“ทำไมกูต้องทิ้ง ก็ตุ๊กตาหมีมันไม่ได้ทำผิดอะไร” นี่คือคำพูดซื่อๆ จากผู้ชายหัวใจน้ำเน่าโดยแท้

“เหรอออออออออ” คงให้ความเห็นมากกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ ฟังแล้วจะไปทำอะไรได้ ก็ได้แต่นั่งพยักหน้าหงึกๆ แอบกลืนอ้วกที่เผลอขย้อนออกมา

เขามักจะมีวลีเด็ด ถ้อยแถลงอันน้ำเน่า ให้เพื่อนได้สะอิดสะเอียนอยู่เสมอ

“กู คือผืนทรายที่โอบทะเลไว้ จะวันใดมั่นคงเหมือนดังที่เป็น อยู่เคียงข้างเธอ ใจไม่ไหวเอน และยังคงชัดเจนอย่างนั้น” รักก็คือรัก อกหักก็คือรักไม่สมหวัง มันจะน้ำเน่ายุงชุมไปถึงไหน

“กูว่าประโยคนี้มันคุ้นๆนะ” เพื่อนพยายามท้วง

“กูก็แค่พูดจากข้างใน ซึ่งมันสลายไปหมด ไม่มีหัวใจอีกแล้ว” แล้วมึงหายใจได้ยังไงเนี่ย...

 “เออๆ กูเข้าใจ” เข้าใจก็ได้วะ

“จะดีกว่ามั้ย ถ้ากูตายให้เค้าดูไปเลย จะได้รู้ว่ากูรักเค้าแค่ไหน ฮือๆๆ”

“เฮ้ย ยยย...ไม่ดีๆ กูไม่อยากมีเพื่อนเป็นผี อยู่มีเนื้อหนังต่อไปดีแล้ว มึงเล่าต่อเถอะ เอาให้สบายใจเลย กูไม่นอนก็ได้ ฮือๆ” อ้าว...แล้วจะร้องไห้ทำไมนั่น ผิดบทบาทแล้วนะ

จากหัวค่ำ ยันดึกดื่นค่อนคืน รุ่นน้องคนอื่นที่มาด้วยก็ไปนอนกันหมดแล้ว เหลือไว้แต่เพื่อนเท่านั้น ที่นั่งฟังเขาอย่างตั้งใจ แอบสัปหงกบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ให้เจ้าตัวจับได้ พยายามอย่างที่สุดที่จะให้เขาดื่มเหล้า เบียร์ อะไรก็ได้ที่เหลืออยู่ เพื่อจะทำให้เขาหลับไปก่อน อย่างน้อยก็ไม่น่าจะคิดสั้นตอนหลับได้ล่ะวะ ตัวเองก็ง่วงเต็มทน พยายามถ่างตาทุกชั่วขณะจิต ไม่ได้คิดว่าจะไม่นอนอย่างที่ปากพูดหรอก ทำไมถึงได้เมายากเมาเย็นนักวะ เหล้าหมดไปทั้งขวด เบียร์หมดไปเป็นลังแล้ว ยังพร่ำได้ไม่หยุด

แต่น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน นี่แอลกอฮอล์ตั้งเท่าไหร่ ราดรดหัวใจอ่อนๆของเขา เออลืมไปหัวใจไม่มีแล้วนี่หว่า เอาเป็นว่าตับไตไส้พุงละกันวะ แล้วจะเหลือหรือ ในที่สุดก็เมาพับหลับไปจนได้ คนที่ดีใจที่สุดเห็นจะเป็นไอ้เพื่อนที่นั่งเฝ้านี่แหล่ะ

หลัง จากลากเขาไปนอนในห้องได้สำเร็จ เพื่อนก็ได้สะโหลสะเหลเดินไปล้มใส่เตียงหลับตาลงนอนบ้าง อย่างน้อยคืนนี้ก็ได้ทำหน้าที่เพื่อนที่ควรแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้เต็มใจเลยก็ตาม




เกือบ รุ่งเช้า ฟ้ายังมืดสนิท เพื่อนได้ยินเสียงครางแปลกๆ อยู่ข้างๆ เลยปรือตามาดู เปิดไฟที่หัวนอน เห็นน้องที่มาด้วยกันนอนครางหงิงๆ ตัวสั่นหงึกๆ

“มึงเป็นอะไร นอนตัวสั่นทำไม”

“ผมเจอผีพี่ ผีจริงๆ เห็นจะจะเลย”

“ฮ้า! ผี! เจอที่ไหน ตอนไหน ทำไมกูไม่รู้เรื่อง” ตาเริ่มจะไม่ปรือแล้ว ด้วยว่านี่ก็มานอนต่างถิ่น และก็ไม่ได้ขอขมาเจ้าที่เจ้าทางก่อนนอน  เริ่มเสียวสันหลังวูบ ขนลุกซู่ขึ้นมาเหมือนกัน

“เมื่อคืนพี่ ผมลุกไปเยี่ยวในห้องน้ำ ผมเจอผีนอนตายอยู่ในอ่างอาบน้ำ มันตัวใหญ่มากเลย ดำทะมึนเลย”

“เฮ่ย...เห็น ชัดๆเลยเหรอวะ ไปดูกันอีกทีซิ ว่าผีเค้าจะยังอยู่มั้ย บรื๋ออออ...” ว่าแล้วสองคนก็ลุกเปิดไฟทั่วห้อง พร้อมทั้งไฟห้องน้ำ แล้วค่อยๆย่องเข้าไป และแล้ว...

“เฮ้ยยยยย...” ร่างกายอันใหญ่โตของคนอกหัก นอนเป็นยักษ์ล้ม หลับสบายไม่รู้เรื่อง อยู่ในอ่างที่ปราศจากน้ำ

“นี่ นะ ผีของมึง ไอ้หมีนอนเป็นหมาเมาหลับแน่นิ่งอยู่เนี่ย สั่นซะอินเลย วู้...เสียเวลานอนกูหมด” มองไปที่กระจก ได้แต่ส่ายหัว...ตัวหนังสือแดงโร่ มันลงวันที่เจ็บปวดของตัวเองเอาไว้ อย่างกับพินัยกรรมเลือด ดูน่าสยองและขำขันในเวลาเดียวกัน ว่าแต่ว่ามันไปเอาปากกามาจากไหนวะ...

“สงสัย จะมาฆ่าตัวตาย แล้วลืมเปิดน้ำ ดีนะที่มันโง่ ปล่อยมันไว้งี้แหล่ะ ตื่นมาก็สร่างแล้ว” ว่าแล้วก็เกาตูดยิกๆ แล้วย้ายมือมาเกาหัวแกรกๆ แล้วก็เดินไปปิดไฟแยกย้ายกันนอนอีกครั้ง

“เอ่อ...ตอนที่คิดว่าเป็นผี สงสัยผมคงลืมเปิดไฟนะฮะ” รุ่นน้องแก้เก้อให้ตัวเองเล็กน้อยก่อนนอนรอบเช้าโดยอาการสั่นหายไปเป็นปลิดทิ้ง




                ขากลับจากต่างจังหวัด เจ้าของร่างสุภาพบุรุษไร้หัวใจและเพื่อนนั่งรถมาด้วยกัน ระหว่างทาง เพื่อนบอกขอแวะปั๊มหน่อย ปวดขี้ เขาจอดรถให้เพื่อนแวะเข้าปั๊ม แต่กลัวว่าเพื่อนจะไม่สบายใจที่ต้องเข้าไปขี้ในห้องน้ำชายคนเดียว เพราะปกติทุกคนจะยืนฉี่หน้ากระดานเรียงหนึ่งอยู่ข้างนอกกันหมด ใครเข้าไปในห้อง ก็คือไปขี้สถานเดียว เพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณ สุภาพบุรุษก็เลยเดินตามเข้าไปห้องข้างๆ เพื่อนั่งขี้เป็นเพื่อนกัน แล้วตะโกนออกมาโดยไม่ได้สนใจคนอื่นที่อยู่ข้างนอก

                “นี่แน...ปู้ด...ของกูดังกว่าโว้ย มาแข่งกันเลยดีกว่า” ปู้ด!ป้าด! ปู้ดป้าด อย่างอารมณ์ดีและไม่อายใครๆ

                เพื่อนคนนั้นมาเล่าให้ฟังในภายหลังว่า เป็นการขี้ที่อายที่สุดในชีวิต เวลาขี้...ไม่ได้อยากมีเพื่อนเล้ย จะนั่งขี้ดีๆ เสือกมาเสนอตัวขี้ข้างๆ แล้วทำเสียงทิ้งทุ่นที่ดังกว่า ไม่พอ ยังมีระบบเซอราวด์ตามมาพากษ์เสียงด้วย ไม่รู้คนข้างนอกที่ได้ยินเค้าจะคิดยังไง...ไม่ต้องรักกันขนาดนี้ก็ได้นะ

                เฮ้อ! ต้องทำใจที่มีเพื่อนจริงใจ ใสซื่อใช่มั้ยเนี่ย...



                หมายเหตุ: เป็นเรื่องแต่งโคตรสั้นที่มีเค้าโครงความจริงอยู่เกือบทั้งหมด เป็นเรื่องที่สอนให้รู้ว่า ความรักมันไม่ได้มีแต่ด้านที่สมหวังและสวยงาม และยังดังต่อไปนี้

                1. ยามที่เพื่อนเราอกหักรักคุด อย่าได้ปล่อยมันเอาไว้ในโลกโสมมตามลำพัง ถึงแม้เพื่อนจะไม่ได้ดีมากนัก แต่การมีเพื่อนที่มีชีวิตก็น่าจะดีกว่าวิญญาณ ถ้าแก่ตายหรือเป็นโรคตายก็ว่าไปอย่าง คนที่มีทุกข์หนัก หรือคิดไปเองว่าตัวเองทุกข์หนัก มันอาจทำอะไรไม่คาดฝันขึ้นมาในเวลาชั่วเสี้ยววินาที และสถานะความเป็นมนุษย์ก็จะเปลี่ยนเป็นผีโดยฉับพลันทันใด หลังจากนั้นมันไม่สามารถมาอั๊พเดท Status ในเฟสบุ๊คว่า Ghost แล้วติดต่อกันได้ดังเดิม...ชีวิตมันไม่ง่ายขนาดนั้น...

                2. ตามสถิติ...ที่ไม่ต้องออกโดยโพลของสำนักไหนทั้งสิ้น พบว่าการอกหักนั้น สามารถหายเองได้ ตามระยะเวลาที่ผ่านเลยไป เร็วบ้างช้าบ้าง ร่างกายเรามีระบบรักษาหัวใจตัวเองได้ ขอเพียงไม่จมจ่อม ทิ้งตัวเองไว้กับอดีตมากจนไม่ออกไปดูเดือนดูตะวัน และหัดรักตัวเองเยอะๆหน่อย คิดให้ได้ว่า ตอนเกิดมาเราก็ไม่ได้หนีบเค้าคนนั้นมาด้วยซักกะหน่อย พ่อ-แม่ต่างหากที่เราควรนึกถึง

                3. ขณะมีแฟน สมควรคบเพื่อนไว้เผื่อการณ์นี้ด้วย อย่าทิ้งเพื่อนหรือหนีหน้าหายไปเลย เพราะว่า เลิกกับแฟนเมื่อไหร่เราก็ยังมีเพื่อนเหลืออยู่ดี ของเหลือไม่เลวร้ายเสมอไปหรอก หรือถ้าใครเถียงว่า กูเลิกกับเพื่อนเพื่อไปคบกับแฟน -_-!  ใครทำแบบนี้ ก็ขอให้โชคดีในความรักที่เลือกแล้วนะ

                4. ว่ากันว่าใครมีรักที่ดีเลิศ ก็เหมือนถูกหวย ซึ่งในชีวิตหนึ่งเราอาจไม่ถูกหวยเลยก็เป็นได้ หรือใครไม่เล่นหวย โอกาสถูก มันก็ไม่มี ก็เป็นธรรมดาโลกนะ อย่าไปทุกข์กับมัน อย่าไปคิดมากเลย...

                หรือใครถูกหวยบ่อยๆ จะเอามาเล่า ก็ยินดีศึกษาไว้เป็นกรณีตัวอย่างนะ...








It’s me…
เขียนขึ้นเนื่องในวันจะวาเลนไทน์ของคนไม่เล่นหวย...ทางความรัก...แหว่ะ!
13 กุมภาพันธ์ 2555

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น