วันนี้หกโมงเย็น โทร.ไปหาสำนักพิมพ์เวิร์คพอยท์ (ขอเอ่ยชื่อนะคะ) ด้วยเหตุผลที่ว่า เราสั่งซื้อหนังสือทาง Internet ไปเกือบ 2,000 บาทตั้งแต่เดือนธันวาคม พอเค้ายืนยันรายละเอียดอะไรต่อมิอะไรมาทาง e-mail เรียบร้อยแล้ว ก็แจ้งให้เราโอนตังค์ เราได้โอนเงินไปตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคมที่ผ่านมา แล้วก็หยุดปีใหม่ไปอย่างไม่สนใจอะไร
พอเปิดงานปีใหม่มา เออ...สงสัยคงต้องรออีกซักพัก พอกลางเดือนชักเริ่มสงสัยว่า...เค้าจะส่งข้ามทวีปหรือยังไงนะ ทำไมถึงนานอย่างนี้ เราก็โทร.ไปตาม โทร.ไปถึง 4 รอบด้วยกัน บอกๆสิ่งที่เค้าอยากรู้ไปทุกครั้ง แล้วทีนี้เค้าก็บอกเราว่าเดี๋ยวเช็คให้แล้วจะโทร.กลับ โดยก่อนวางสายเค้าจะขอเบอร์โทร.เราไว้ทุกครั้ง มันจะขำดีมั้ยที่ไม่มีใครโทร.มาเลย กลับมาห้องทุกวันด้วยความหวังว่า จะมีกระดาษที่คอนโดฯมาแปะให้ไปเอาพัสดุ จนเกือบหนึ่งเดือนผ่านไป ในวันนี้ก็ยังไม่มี...เป็นแม่สายบัวสายบัวชะเง้อคอรอเก้อ...
ใจเย็นขนาดไหนมันก็ต้องมีหงุดหงิดกันบ้างแหล่ะ เวลาเรารับปากใครที่ไม่รู้จัก เช่น ลูกค้า ว่าจะโทร.กลับ เราไม่เคยเบี้ยว เพราะเข้าใจว่าเค้ารอข้อมูลจากเราอยู่ ด้วยความที่เคยทำงานกับลูกค้าเหมือนกันเราก็เลยเซ็งจัด เออ...กูโทร.ไปเองก็ได้วะ เลยโทร.ไปเรียกความทรงจำเค้าทำนองว่าน่าจะจำพี่ได้น้า พี่โทร.มาตามยังเบื่อเลย...หนูรับโทรศัพท์พี่...ไม่รู้สึกอะไรซักนิดเลยเหรอ
แต่ความจริงเราไม่ได้ดุด่า ว่ากล่าวอะไรเค้าหรอก ก็พูดดีๆแหล่ะ แต่ถามเค้าว่าจริงๆแล้วมันเพราะอะไรถึงไม่ส่งของมา เราไม่เคยซื้อของที่มีตัวตนอยู่และใช้เวลารอคอย 1 เดือนมาก่อนเลยนะ ถ้าเราซื้อหนังสือสั่งทำพิเศษที่ต้องปักปกดิ้นทอง พอเราสั่งแล้วเค้าค่อยเข้าป่าไปเริ่มหาวัสดุ มันก็พอจะเข้าใจได้อยู่ แต่นี่ของมันก็มีอยู่แล้ว เค้าก็พยายามอธิบายอย่างตะกุกตะกัก คงจะกลัวว่าเราจะโมโหอ่ะนะ (คงไม่ได้แต่งเรื่องสดๆมาหลอกเราตรงนั้นหรอก) เค้าบอกว่า Order มันตกหล่น และเมื่ออธิบายได้จนสำเร็จแล้ว เค้าก็ยอมพูดคำๆนี้ออกมา “ขอโทษด้วยจริงๆค่ะ”
ก็นี่แหล่ะที่ต้องการ และฟังออกว่าน้ำเสียงเค้าไม่ได้ประชดหรือแดกดันเรา เราก็เลยหายหงุดหงิดไปเลย...(มันง่ายไปมั้ยหว่า)...ได้บอกเค้าไปดีๆ ปนหัวเราะว่า ไอ้ที่ช้าน่ะก็พอทนได้นะ ถ้าโทร.มาบอกกันซักหน่อย เบอร์โทร. ก็ให้ไว้ (ใช่จะให้ใครง่ายๆที่ไหนล่ะ...ความจริงคือไม่มีใครขอ...) ติดขัดอะไรถ้าโทร.มาสารภาพมันก็อภัยกันได้อยู่แล้ว แต่ไม่โทร.มานี่มันยังไง เงินมันแหว่งรึเปล่า เราก็ไม่รู้ พร้อมสำทับไปว่า อย่าไปทำยังงี้กับใครอีกนะ ปล่อยให้เค้าชะเง้อรอคอยอยู่ข้างเดียว น่าสงสารนะ เค้าไม่ได้ทำผิดอะไร เค้าแค่อยากซื้อของ แล้วเราก็ไม่ได้ติดใจอะไรอีกแล้ว...จริงๆ...เชื่อสิ...
จากเรื่องนี้ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า คำว่า ‘ขอโทษ’ เป็นคำที่สำคัญมากๆอีกคำหนึ่งในชีวิต ที่เราควรใช้มันให้ติดปาก วิธีใช้ก็แค่รู้จักเอ่ยออกมาจากใจ จากนั้นค่อยให้มันผ่านออกมาทางลมปาก เรื่องอะไรที่ว่าดูจะรุนแรง พอใช้คำๆนี้ปุ๊บ เรื่องหนักก็อาจกลายเป็นเบา ถ้าเป็นเรื่องเบาอาจทำให้เราไม่มีเรื่องก็ได้ เช่น วันหนึ่งเราเดินไปเหยียบตีนใครเข้า แล้วถ้าเรายังเสือกทำหน้ามึน ไม่รู้เรื่องไม่รู้สึกรู้สาไม่สนใจ ถ้าคุณสมบัติทางกายภาพของเค้ามีภาษีมากกว่าเรา ก็เป็นไปได้มากว่าเราอาจโดนตบบ้องหูเอาได้ง่ายๆ แต่ถ้าเราพูดออกไปอย่างรู้สึกผิดว่า “ขอโทษค่ะ (ครับ) เป็นอะไรมั้ยคะ (ครับ)” สังคมเราคนส่วนใหญ่ขี้เกรงใจจะตาย ถึงเค้าจะเจ็บน้ำตาเล็ด เค้าก็อาจบอก “ไม่เป็นไร” เอาได้ง่ายๆ
ซึ่งเราก็คนหนึ่งที่เคยโดน พอได้ยินคำนี้ปุ๊บ กูแม่งโคตรเจ็บเลย แต่ว่า...ถ้าไปด่าเค้าก็เหมือนเราจะไม่รู้จักให้อภัย กลายเป็นกูบาปอีก ก็ต้องหันไปยิ้มตอบทำนองว่ากูทนได้เพื่อลดความระคายเคือง ซ้ำยังพูดออกไปอีกว่า “ไม่เป็นไรค่ะ” แต่ในใจคิดว่า ‘ตีนกู...เลือดรึเปล่าว้า’ เฮ้อ...หมดเรื่องหมดราวไป...
บางคนอาจเถียงว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ อย่างเช่น ถ้าใครได้ดูข่าวเมื่อเร็วๆนี้ จะได้เห็นข้าราชการซี 7 คนหนึ่ง ตบบ้องหูพนักงานผู้น้อยในสนามบิน เค้าทำตัวใหญ่ได้ราวกับว่านั่นคือสนามบินของที่บ้านเค้า (ไม่อยากบอกว่าเป็นของใครในบ้านเค้า...เดี๋ยวหยาบคาย) และทุกคนคือไพร่ในเรือนเบี้ย พี่เค้าคงลืมไปว่าประเทศนี้เลิกทาสกันมาเป็นร้อยๆปีแล้ว เลยทำตัวใหญ่คับสนามบิน บ้องหูมันซะเลย ไม่ถูกใจดีนัก ถ้าวันหนึ่งถึงคราวซวยจริงๆ เราไปพูดขอโทษกับคนแบบนี้เข้าก็คงไม่เกิดอะไรขึ้นมา
อย่าได้ห่วง เมื่อใดก็ตามที่เราได้ทำเรื่องที่ดีและเราไม่ผิด ไม่ว่าช้าหรือเร็วจะต้องมีอะไรซักอย่างอยู่ข้างเรา เช่น เทพเจ้ากล้องวงจรปิด ผู้คนที่อยู่โดยรอบที่มักจะมีคนใดคนหนึ่งแอบถ่ายคลิปเก็บไว้อยู่เสมอ แล้วมันก็มักจะมาปรากฏออกทางหน้าสื่อ
เวลามีคนเข้าข้าง...ความเจ็บปวดของเรามันก็จะลดลง
และสุดท้ายยังไงผลกรรมก็ต้องตามไปหลอกหลอนคุณเวรคนนั้นอยู่ดี แต่คนพวกนี้ส่วนใหญก็กู่ไม่ค่อยกลับหรอกนะ ไม่รู้เค้ากินอะไรเป็นอาหาร จึงแยกแยะอะไรไม่ค่อยได้ เค้าก็จะพยายามหาทางพลิ้วต่อไปอยู่ดี ถึงขอโทษเราแล้วก็คงทำส่งเดชแหล่ะ น่าจะประมาณชาติหน้าทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง
และมีสิ่งต้องพึงสังวรณ์สำหรับคำๆนี้ ก็คือ การขอโทษ ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะให้ทำผิดซ้ำซาก หรืออาจตั้งใจเหี้ยซ้ำซ้อน และอาจใช้ไม่ได้เมื่อความผิดนั้น เป็นความผิดทางกฎหมาย
เช่น ค้ายาเสพติด ทำร้ายร่างกาย ฆ่าแกงกัน แล้วจะมา “ ว้า...ผมขอโทษฮะ...แย่จัง” ถ้ายอมรับผิดจริงก็ไปใช้กรรมต่อในคุกเถอะ หรือตายไปแล้วค่อยแก้ตัวใหม่ชาติหน้าเถอะนะ ยอมอโหสิก็ได้...
การพูดคำว่าขอโทษทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็กได้ ทำให้เรื่องบาดหมางจางลงก็ได้ คงไม่มีใครเป็นมนุษย์ถูกเสมออยู่ตลอดเวลา (ถ้ามี...อาจแสดงว่า...มันคิดไปเองของมันคนเดียว) พอเราพูดคำว่าขอโทษอย่างจริงใจบ่อยๆจนติดปาก มันจะทำให้เรากล้าแอ่นอกออกมารับผิดเมื่อมีสิ่งผิดพลาดใดๆเกิดขึ้นก็ตามในชีวิต สอนให้เราพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง มันจะกลายเป็นที่มาของคำว่า ‘รับผิดชอบ’ เราจะกล้ารับทั้งผิดและชอบ จิตใจเราก็จะแข็งแรง ไม่เป็นผู้ใหญ่ประเภท ‘ดีเข้าตัว ชั่วให้คนอื่น’
คำ ‘ขอโทษ’ ง่ายๆ แค่คำเดียว ส่งผลให้ประเทศชาติเจริญได้อย่างไม่ยากเย็นเลยใช่มั้ยล่ะ...ที่สำคัญเวลาพูดต้องจริงใจ ไม่งั้นคนที่ไม่โง่จนเกินไปนัก เค้าจะจับได้นะ...ขอโทษเถอะ...
It’s me…
23 มกราคม 2555
ปล. ถึงเวิร์คพอยท์
เราไม่ได้มีปัญหาใดๆแอบแฝง ที่จะ Discredit สำนักพิมพ์เลยนะ และพร้อมจะซื้อหนังสือของพี่จิกต่อไปอีกนานเท่าที่พี่เค้ายังจะเขียนอยู่ นิยมรายการคุณปัญญา และรักจำอวดหน้าม่านด้วย...เริ่มเวิ่นเว้อแล้ว...พอเถอะ!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น