ไม่แค่ท้อแท้...แต่ยังท้อถอย...
วันนี้ตอนเช้า เราเดินน้องแน้งอยู่ในบริษัทตามปกติ ว่าจะไปนั่งอ่านหนังสือใต้โรงอาหาร รอเวลาเข้างานตอน 8 โมง ถ้าได้เดินเข้าแถวไปเข้างานอีกอย่าง ก็เป้นโรงเรียนได้แล้ว แต่แล้วก็มีพี่ที่คุ้นเคยคนหนึ่ง แกเรียกเราไปนั่งเม้าท์ด้วย เป็นเรื่องน่าประหลาดใจมากที่พี่อีกคนหนึ่งในโต๊ะ แกจะยื่นใบลาออกด้วยเหตุผลว่าเบื่อเจ้านาย พี่แกทำงานที่นี่มายี่สิบปี เป็นคนไม่เก่งหรอก แต่เค้าก็รับผิดชอบงานดี และที่สำคัญเค้าเป็นคนดีด้วย ตอนที่เค้ามาทำงานที่นี่ใหม่ๆ เราคงกำลังนั่งเกรียนกรี๊ดหลิวเต๋อหัวขณะเรียนอยู่ม.ต้น
เวลายี่สิบปี มันไม่ใช่น้อยๆเลย สำหรับการตั้งใจทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ที่เดียว จบปริญญาตรีธรรมดา ด้วยความที่เป็นคนจริงจังกับงาน แต่ไม่หือไม่อือ นายสั่งอะไรก็ทำให้ (ถ้าทำได้) นายเปลี่ยนคนไปเรื่อยๆ แต่เค้าก็ยังอยู่ เรารู้มานานระยะใหญ่แล้วว่าเค้าโดนบ่น โดนว่าอยู่ทุกวัน รู้เพราะว่าแอบเห็นนั่นแหล่ะ และด้วยความที่เป็นลูกน้องก็ไม่กล้าเถียง รู้ทั้งรู้ว่าเหตุผลคืออะไร แกบอกว่าพูดไป นายก็ไม่ฟังหรอก ก็เลยเล่นซื่อๆ เอาลูกขันติเข้าแลก แล้วตอนนี้ขันติของพี่แกก็กำลังจะแตกแล้ว...อยู่ต่อไปอาจบ้าตายได้
เราไปนั่งที่โต๊ะ ช่วยสุมหัวออกความเห็นเรื่องนี้ ในฐานะรุ่นน้องที่มาทีหลัง 8-9 ปี ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องประชาธิปไตย ที่เมื่อใครคนหนึ่งจะลาออก แล้วต้องมานั่งโหวตกันว่าคุณควรจะออกหรือไม่ แต่เราก็อยากออกความเห็นด้วยความปรารถนาดี...อีกนัยหนึ่ง ก็เสือกนั่นแหล่ะ เราไม่อยากให้เค้าลาออก ทุกคนก็เห็นว่าเค้าควรอดทนต่อไป แกบอกว่า แกเหนื่อย เบื่อ ไม่ไหวแล้ว เพราะว่าเป็นคนที่ไม่ใช่ ทำอะไรก็ผิด เราเห็นว่าอะไรบางอย่างมันก็ไม่ใช่เพราะความผิดพลาดของพี่เค้าหรอก ปัญหาบางอย่างมันก็เป็นเรื่องของทั้งระบบ ยิ่งมองหา ก็ยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ใหญ่มองไม่เห็น หรือ หลับตาโทษคนตัวเล็กๆดีกว่าเผื่อจะลืม
เราบอกว่าลองอย่างงี้ได้มั้ย พี่คิดว่าเค้าไม่ใช่เจ้านาย เค้าด่ามา พี่ตะคอกกลับซัก 1 ประโยคได้มั้ย ประโยคเดียวพอเลย พี่อีกคนถามว่าเราจะบอกว่าอะไรดี เราบอกว่า ง่ายๆเลยนะ “จะเอายังไงกับกู!” หลับหูหลับตาตะคอกไปเถอะ ไหนๆพี่ก็ดีมาทั้งชีวิตแล้ว เอาสักครั้งนะ มากที่สุดเค้าก็ไล่เราออก ซึ่งพี่ก็จะได้ค่าทำขวัญ 10 เดือนเป็นอย่างน้อย ได้แน่นอน เพราะที่นี่มีสหภาพแรงงาน ยังไงบริษัทก็รังแกเค้าโต้งๆไม่ได้อยู่แล้ว
จริงๆพี่เค้าไม่ได้อยากออกจากบริษัทหรอก แต่อยากหนีอกจากเจ้านายแบบนี้ แต่ก็ไม่ใช่คนที่ดูแล้วจะไปทำมาค้าขาย พูดจาจ๊ะจ๋า ทำหน้ายิ้มแย้ม เอาใจเขามาใส่ใจเรา ขายของให้รุ่งเรืองได้ (ถ้าเป็นคนแบบนั้น คงออกไปนานแล้ว) เลยไม่อยากให้เค้าไปแบบนี้ ถ้าบริษัทนี้ไม่มีดี คนตั้งเยอะแยะคงไม่ใช้ชีวิตนานแสนนานของเค้าที่นี่หรอก อยู่นานก็ผูกพัน พอผูกกันมันก็รักจนได้แหล่ะ แต่โลกนี้มันไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบหรอก โลกพระศรีอาริย์น่ะ ยังอยู่อีกไกลหลายล้านปีแสง เราไม่มีทางเจออะไรที่จะดีทั้งหมด เป็นไปไม่ได้ที่จะมีกลีบกุหลาบนุ่มๆหอมๆให้เราเดินเหยียบตลอดทาง มันก็ต้องมีหนามเหนิมมาตำส้นตีนพอให้รู้รสความเจ็บปวดบ้างแหล่ะ
เราพยายามชักแม่น้ำทั้งหมดมาเท่าที่จะนึกออก เราบอกเค้าว่า เราออกแบบไม่ได้หรอกว่าวันๆคนที่เข้ามาหาเรา มันจะเป็นแบบไหนบ้าง มาทำอะไรใส่เราบ้าง เราก็แค่ต้องหาทางรับมือ ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้แหล่ะ พี่แกบอกว่า เราพูดมันก็ง่าย แต่ทำน่ะยากนะ เราบอกเค้าว่าที่พูดนี่ไม่ใช่ทฤษฎีนะ ก็เจอมาแล้วกับตัวทั้งนั้นแหล่ะ เราต่างก็ต้องเลือก การเลือกที่จะหนีมันง่ายเกินไป แค่เซ็นต์ใบลาออก เขียนแป๊บเดียวก็เสร็จ ทุกอย่างที่นี่ก็จบ แล้วถ้าวันหน้าไปเจอปัญหาอีกล่ะ ก็วิ่งหนีอีกแค่นี้เหรอ
แกยืนยันว่าเบื่อ เราบอกว่า พี่รู้มั้ย ว่ามันคือความกลัวต่างหาก และหนีง่ายกว่าเอาชนะมัน พูดไปพูดมาเหมือนกูไปช่วยกดดันเค้าเลย พูดไปก็สงสารเค้า แต่ไม่อยากให้เค้าท้อ อย่าว่าแต่จะท้อแท้เลย ตอนนี้กำลังจะถอยแล้วด้วย เจอกันในห้องน้ำแต่ละวัน พี่ยังหน้าบูดเป็นตูดอยู่เลย บอกเค้าว่า ถ้าไม่กล้าพอ ซ้อมหน้ากระจกซัก 20 รอบก่อนไปตะคอกจริงก็ได้ ไหนๆก็ถูกด่าทุกวันอยู่แล้ว คิดว่าด่าเพื่อนคืนไง ลองดูแล้วพี่จะไม่กลัวอีก เค้ายังยืนยันว่าที่จะออกเพราะเบื่อ เราบอกว่าเราก็เห็นมาเยอะแล้ว ออกเพราะแบบนี้ แต่มันไม่สวยไง ถ้าพี่มีลูกสู้ชีวิตมันก็น่าเชียร์ให้ออก ถ้าพี่ได้งานที่ใหม่ จะไปขายของ จะไปทำสวน มีอนาคตรออยู่ เราจะไม่พูดแบบนี้เลยนะ ต้องออกจากงานเพราะตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดมันจะคุ้มค่าเหรอ
ถึงถ้าไปตะคอกนายแล้ว ได้ออกจริงๆ (เพราะเค้าไล่แน่) ก็เกิดประโยชน์นะ ตัวเองก็จะได้เงินทำทุนอีกก้อนหนึ่ง แล้วถ้าได้ผลดีเกินคาด คนที่เป็นนายที่คิดว่าตัวถูกอยู่เสมอเค้าอาจคิดได้ และไม่กดดันลูกน้องคนอื่นๆอีก เพราะถ้าขืนทำอีก มีหวังต้องจ้างทุกคนออกหมด แล้วใครจะอยู่ทำงานให้ แล้วเค้าก็ไม่ใช่คนไทยด้วย เค้าไม่ชกเราหรอก เราเป็นผู้หญิงนะ เมื่อประเมินทุกอย่าง เรามีแต่หนทางบวกทั้งนั้น มากสุดก็เสมอตัว เราเตือนเค้าว่า เวลาจะทำอะไรให้คิดให้รอบคอบ มองหาทางเลือกให้หลายๆทางแล้วค่อยเลือก ช่างผลดีผลเสียก่อน เพราะหลังจากเลือกแล้ว ไม่ว่ายังไง เราก็ยังต้องรับผลของมันให้ได้ทุกครั้งอยู่ดี
จริงๆสิ่งที่บอก มันก็ไม่ใช่อะไรใหม่นะ เป็นหลักง่ายๆที่ต่อให้เราไปวัดมาทั้งชีวิต ถ้าเราไม่ยอมเอามันมาคิด มาทำ มาต่อยอด มาลองใช้ มันก็เท่านั้นแหล่ะ การไปวัดอาจทำให้ใจที่ร้อนสงบลงได้ แต่การแก้ปัญหามันก็อยู่ที่ตัวเรานั่นแหล่ะ ที่พูดอย่างงี้ไม่ใช่ว่าเราสามารถบรรลุแล้วนะ ทุกคนก็มีปัญหาหมดแหล่ะ เราจะรับมือกับมันยังไงต่างหากที่สำคัญ แม้ปัญหามันจะมาหาเราโดยไม่ได้รับเชิญ แต่เราต้องคิดหาคำตอบ ก, ข, ค เอาเองนะ ไอ้ ง.งู ถูกทุกข้อนี่มันไม่ค่อยเจอหรอก ยาก...บางครั้งเราก็เลือกผิด บางครั้งเราก็เลือกถูกเป็นธรรมดา ให้ถือซะว่าไอ้ปัญหาที่วิ่งมาหาเรานี่ มันมาเพื่อฝึกสติปัญญาเรา ว่าเราจะผ่านมันไปได้ยังไง สำหรับเรา การกลัวปัญหามันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ ถ้าไม่กลัวเลยสิแปลก ก็เราไม่ใช่สปอร์ตเรนเจอร์ ผู้เกิดมาเพื่อพิทักษ์คุณธรรม ต่อสู้กับเหล่าร้ายทั้งปวงซะหน่อย ถึงจะกลัวจนสั่น ก็น่าจะลองสั่นสู้ดูซักตั้ง ถ้ามันจะแพ้ทุกครั้งก็ให้มันรู้ไปสิวะ
คงน่าเสียดายมาก ถ้าสุดท้ายคนดีๆ ต้องท้อแท้และถอยห่างออกไปหมด เพราะคำว่า เบื่อ....
กำลังเบื่ออยู่รึเปล่า...
It’s me…
9 กุมภาพันธ์ 2555
ปล. เคยมีคนบอกว่า ปัญหาคือช่องว่างระหว่างสิ่งที่มันเป็นกับสิ่งที่มันควรจะเป็น หน้าที่ของเราก็คือทลายมันซะ!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น