วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Unbelievable!

“That’s one small step for a man, one giant leap for mankind.”
“มันเป็นก้าวเล็กๆ ของมนุษย์คนหนึ่ง แต่เป็นก้าวกระโดดของมนุษยชาติ”

คำพูดข้างบน เป็นของปู่นีล อาร์มสตรอง มนุษย์คนแรกที่ได้ไปเหยียบดวงจันทร์เมื่อปีพ.ศ. 2512 ตอนนั้นแกเป็นผู้บัญชาการโครงการอพอลโล่ 11 มีเป้าหมายเพื่อก่อการเหยียบดวงจันทร์ให้เป็นผลสำเร็จ และท้ายที่สุดมันก็เป็นไปได้จริงๆ แกพูดประโยคหล่อๆข้างบนไว้ตอนได้ไปเหยียบดวงจันทร์โดยขี่พาหนะ คือ อพอลโล่ 11 (ชื่อยานอวกาศนะ ไม่ใช่ดินสอที่เราใช้ตอนสมัยเด็ก...โห...เก่ามาก) แกได้ไปเหยียบตั้งดวงจันทร์ แล้วยังจะบอกว่าเป็นแค่ก้าวเล็กๆเองนะ อะไรจะเท่ปานนั้น


ถ้าเป็นเราน่ะเหรอ คงจะไปยืนท้าวสะเอวทั้งสองข้าง แล้วเงยหน้าหาสวรรค์วิมานหัวเราะสะใจเป็นบ้าเป็นหลังที่ได้มีโอกาสเอาตีนทั้งสองไปแปะพื้นผิวขรุขระนั้นได้เป็นคนแรก หลังจากเอาแต่แหงนหน้ามองมันมาชั่วชีวิต สัญชาตญาณมนุษย์ที่มีความอยากเอาชนะอยู่ในตัวคงกำเริบไปแล้ว...วะฮ่ะฮ่ะฮ่ะ ฮ่ะ...ชีวิตชินจังชัดๆ...


ไอ้ที่เกริ่นเรื่องข้างบนนี่ขึ้นมา ก็ไม่ได้มีความหมายในเชิงอยากจะให้กำลังใจอะไรใครทั้งสิ้น ใครที่หวังไว้ก็ต้องขอโทษด้วย แต่เป็นเพราะไม่คิดว่านี่เราอายุเลยเถิดมาถึงสามสิบกว่าแล้ว เราจะยังจำความหลังครั้งยี่สิบปีเก่าก่อนได้ ซึ่งมันเป็นเพียงคำบอกเล่าของอาจารย์คนหนึ่งที่แกสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนสิรินธร จังหวัดสุรินทร์ (เอาชื่อโรงเรียนมาเขียนโดยไม่คิดจะขออนุญาตเลยซักนิด) หากวันหนึ่งอาจารย์ได้มาอ่านเข้า เราคงดีใจ แต่อาจารย์จะดีใจมั้ยเนี่ยมันก็อีกเรื่องหนึ่งแหล่ะนะ


ตอนนั้นเราเรียนอยู่ม.ต้น มันเป็นแค่ชั่วโมงภาษาอังกฤษชั่วโมงหนึ่ง ที่อาจารย์มาเล่าเรื่องสนุกให้นักเรียนฟังประกอบการสอน ไม่คิดว่ามันจะยังประทับอยู่ในลิ้นชักความทรงจำของเรามานานขนาดนี้ แต่มันก็ลางๆนะ แอบคิดอยู่เหมือนกันว่า นี่เราโมเมแต่งเรื่องขึ้นมาเองหรือฝันไปรึเปล่า แต่มันก็ไม่น่าเป็นตุเป็นตะขนาดนั้น เราก็เลยลอง Search ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตดู ถึงรู้ว่าเค้าโครงความจำของเรามันถูกต้องนี่หว่า รู้สึกดีใจ ก็เลยเอามาเขียนเผื่อมีโอกาสเเผยแพร่จะดีกว่า หลังจากร่ายตัวหนังสือผ่านไปเป็นหน้าแล้ว ก็จะได้เล่าจริงๆซะที...และอยากบอกด้วยความภาคภูมิใจ ว่าเรื่องที่จะเล่านี้ หาอ่านในอินเตอร์เน็ตไม่ได้แน่ๆ (แอบสะใจอยู่ลึกๆ หึหึหึหึ!)


เราว่ามันก็เป็นเรื่องเหนือธรรมดาไม่น่าเชื่อแล้ว ที่ว่านีล อาร์มสตองแกไปเหยียบดวงจันทร์ได้สำเร็จ แต่ที่ไม่น่าเชื่อมากกว่าก็คือมีเด็กสุรินทร์บ้านนอกเซาะกราวคนหนึ่ง คุณครูของเค้าให้เขียนจดหมายภาษาอังกฤษในชั่วโมงเรียน แล้วมันดันหาญกล้าเขียนจดหมายไปที่ไหนไม่รู้ แต่คาดว่าน่าจะเป็นนาซ่า เขียนจดหมายไป เพื่อเชิญคนที่เหยียบดวงจันทร์คนแรกมาเหยียบสุรินทร์ครั้งแรก ช่างหน้ามึนเสียนี่กระไร ถุงเท้ายังไม่รู้เลยว่าจะมีใส่มั้ย แต่ริอ่านเขียนจดหมายไปเชิญคนดังระดับโลกมา


และที่ไม่น่าเชื่อที่สุดก็คือนีล อาร์มสตรอง แกตอบรับ และมาเหยียบสุรินทร์จริงๆ ตามคำเชื้อเชิญของหนูน้อย ฮ่ะฮ้า...นี่แกว่างขนาดเดินทางมาให้ความหวังเด็กบ้านนอกคนหนึ่งถึงถิ่นเลย หรือจะว่าไป ขนาดดวงจันทร์ แกยังไปมาแล้วเลยเนาะ นับอะไรกับสุรินทร์วะ มันก็น่าจะแวะมาไม่ยากหรอก เด็กคนนั้นดีใจมากที่จะได้รับเกียรตินี้ แต่เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน โรงเรียนมัธยมบ้านนอก ถึงจะเป็นอำเภอเมือง และเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด มันก็ยังคงความเป็นบ้านนอก ไม่สมศักดิ์ศรีอันยิ่งใหญ่ของนักบินอวกาศระดับโลกอยู่ดี


วันที่นีล อาร์มสตรองมาเยือน มีการจัดขบวนนักเรียนมาต้อนรับใหญ่โต...ก็ใหญ่โตที่สุดเท่าที่จะสามารถนั่นแหล่ะ ชาวบ้านแห่มาดูกันเพียบ คือคนสุรินทร์ไม่เคยเห็นเครื่องบินใกล้ๆน่ะ เค้าก็เลยแห่มาดูเครื่องบินกัน โดยที่ไม่รู้เลยว่าไอ้หมอที่เดินลงมาจากเครื่องบิน มันเป็นใคร สำคัญยังไง เซาะกราวกันเป็นหมู่คณะเลยทีเดียว ดีนะที่คุณนีล อาร์มสตรองแกไม่เคยรู้ความลับนี้


ก็อย่างที่บอก อย่างไม่ได้อยากย้ำความเป็นบ้านนอกหรอกนะ แต่ว่าโรงเรียนมันไม่มีเวทีไง ทำได้ดีที่สุดก็แค่สร้างเวทีชั่วคราวมาต้อนรับ จะให้มีแสตนด์ไฮเทค ถอดประกอบเข้าออกง่ายเหมือนปัจจุบันคงไม่ได้ ก็ทำๆไปเท่าที่จะทำได้ แต่เวทีชั่วคราวที่สร้างขึ้นก็ต้องมีบันไดเหมือนกัน และด้วยความจำกัดจำเขี่ย ก็ต้องเอาเก้าอี้นักเรียนนั่นแหล่ะ มาแสตนด์บายใช้เป็นบันไดให้นักบินอวกาศระดับโลกเหยียบขึ้นเวที โคตรสงสารโรงเรียนตัวเองในอดีตเลย และก็อย่างว่าแหล่ะ..เก้าอี้นักเรียน จะหาความเสถียรมั่นคงที่ไหนได้ คุณนีล อาร์มสตรองแกก็เลยตกเก้าอี้ ตอนก้าวขาขึ้นเวทีนั่นเอง เลยเป็นที่น่าประทับใจของเด็กคนนั้นขึ้นไปอีก มนุษย์อวกาศที่มีคุณูปการใหญ่หลวงต่อโลกเรา คนที่ยืนเท่ปักธงบนดวงจันทร์ เค้ามาทำตัวน่ารัก อ่อนน้อมถ่อมตน แกล้งตกเก้าอี้ที่สุรินทร์ จังหวัดที่เกือบจนที่สุดในประเทศไทย


นอกจากนั้น จำได้ว่าข้างฝาผนังห้องที่โรงเรียน ก็มีภาพถ่ายใส่กรอบรูปของนีล อาร์มสตรองด้วยนะ เรื่องที่จำได้ทั้งหมดก็มีประมาณนี้แหล่ะ อ่านมาถึงตรงนี้ ก็คงพอจะเดาได้ใช่มั้ย ว่าไอ้เด็กทะลึ่งคนที่สร้างเรื่องในวันนั้น ก็คืออาจารย์ภาษาอังกฤษของเราเอง เป็นอาจารย์ที่ยืนโม้เรื่องนี้ของตัวเองให้พวกเราฟังในชั่วโมงนั้น ให้เราประทับจำได้มาจนทุกวันนี้ ความประทับใจที่สร้างคุณครูภาษาอังกฤษ ไม่ยักกะเป็นมนุษย์อวกาศ


ป่านนี้ไม่รู้อาจารย์จะ เกษียณรึยังนะ คิดว่าอาจารย์คงจะได้มีโอกาสเล่าความภาคภูมิใจแฝงความเกรียนของตัวเองให้ เด็กรุ่นหลังฟังทุกปี ไม่นับรุ่นพี่พวกเราอีก เด็กสี่ห้าร้อยคนต่อรุ่น ไม่รู้ว่ากี่ปีต่อกี่ปีมาแล้ว เป็นวิธีเผยแพร่เรื่องราวที่น่าสนใจมาก เราจำภาษาอังกฤษที่แกสอนไม่ได้ แต่กลับจำเรื่องนี้ได้เฉยเลย คงเป็นเพราะ มันเป็นเรื่องราว ‘ครั้งหนึ่งในชีวิต’ ของคนอื่นที่มันน่าจดเอาไว้จำล่ะมั้ง...


ลืมบอกไป...อาจารย์คนนั้นชื่อ...จุด จุด จุด...เปลี่ยนใจไม่บอกดีกว่า...






It’s me…
คนไร้ความกล้า แต่เรื่องหน้ามึนก็พอไหว...
15 กุมภาพันธ์ 2555


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น