วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

มองมุมหมี

          “พี่ๆ อาทิตย์หน้าผมจะไปเชียงใหม่กับเพื่อน ไปด้วยกันมั้ย” น้องที่ทำงานมาบอกเมื่ออาทิตย์ก่อน พร้อมทั้งแอบชวนตามมารยาหรือตามมารยาทนะ แต่ของมันนี่น่าจะอย่างแรก

           “ไป” ตอบออกไปอย่างไม่ต้องคิด มึงรู้จักกูน้อยเกินไปแล้ว เสือกชวนดีนัก ต้องสั่งสอนให้เข็ดหลาบ 

ด้วยเหตุผลที่ดูไม่ค่อยเข้าท่าข้างต้น ก็เลยได้เอาร่างไปประทับที่เชียงใหม่โดยบังเอิญเมื่อเสาร์อาทิตย์จันทร์ที่ผ่านมา แอบดีใจนิดหน่อยก่อนไป เพราะดูข่าวในทีวี เค้าว่าจีนเจอความกดอากาศสูง หิมะตกหนัก เพราะฉะนั้นประเทศไทยตอนบนอาจจะได้อานิสงส์อากาศเย็นไปด้วย ปลายกุมภาพันธ์แล้ว ยังได้มีโอกาสได้เจออากาศเย็นอีก ย้าฮู้!

เรานั่งรถทัวร์คืนวันศุกร์ หลับอุตลุต ตื่นมาก็เช้าวันเสาร์ที่ ขนส่งอาเขต เชียงใหม่พอดี ไปสมทบกับไอ้น้องซึ่งเดินทางมาล่วงหน้าก่อน 1 วัน และเพื่อนๆมันที่เรายังไม่รู้จักรวมทั้งหมดก็ 5 คน พอดีนั่งเบียดในรถ Vios 1 คันเดียวกันได้ ทำให้การหารเฉลี่ยเช่ารถดูคุ้มค่าที่สุด คุณสมบัติอันเหมาะสมที่เราควรจะไปเป็นตัวหารที่ดีก็คือ ตัวเล็กไม่กินพื้นที่ ไปไหนคล่องตัวไม่เรื่องมาก พยายามทำตัวไม่ให้เป็นภาระ กินง่ายอยู่ง่าย ไม่รู้จักกันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ อยู่ๆไปเดี๋ยวก็รู้จักกันไปเอง ถ้าไม่ตีนแดง ตะแคงตีนเดินมาหรืออาร์ตมาก ติสท์แตก ก็ร่วมทางกันได้แน่นอน

เช้าวันเสาร์ หกโมงกว่า ที่เชียงใหม่อากาศดี อุณหภูมิน่าจะประมาณ 20 องศาได้ ไม่ได้ดูจากเทอร์โมมิเตอร์ ดูจากหนังหน้าดิจิตอลของเรานี่แหล่ะ รู้สึกเหมือนอยู่ห้องแอร์อยู่เลย ฮะฮ่าฮ่า...หนาวจริงๆด้วยวุ้ย วันนี้มีโปรแกรมไปอ่างขาง จะไปนอนที่นั่นคืนหนึ่ง แต่ข่าวร้ายที่ได้รับก็คือ รถที่เช่ามา เบรคมันไม่ค่อยดี พวกนั้นบอกว่า “ขับไปก็ได้นะพี่ แต่กลัวว่ามันจะเบรคไม่อยู่” เหอๆๆ กลัวว่าจะได้ไปเที่ยวนรกแทนน่ะสิไม่ว่า แล้วตีตั๋วเที่ยวเดียวด้วยนะ แบบไปไม่กลับ อย่าไปเลย ถ้าสปอยเลอร์ไม่ดีก็ว่าไปอย่าง นี่เบรคนะ เลื่อนไปวันอาทิตย์ก็ได้

โปรแกรมจึงต้องเปลี่ยนแปลง เพราะต้องรอรถเช่าคันใหม่ ซึ่งเค้าจะเอามาเปลี่ยนให้ได้ก็บ่ายสามโมง เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเอาชีวิตไปละลายกับสังคมเมืองก่อน 1 วัน แล้วจะไปไหนดี ที่จะต้องกินก็มี ข้าวซอย ร้านเค้กมองบลังค์ ไอติมไอเบอรี่ อาหารญี่ปุ่นซึนามิ ที่นอนก็นอนหน้ามช. เพราะใกล้แหล่งทุกแหล่งในเมือง ที่เที่ยวก็ไปดอยสุเทพละกัน แต่เพราะเบรครถที่ว่า ก็เลยไม่เสี่ยงขึ้นดอยปุยที่เลยขึ้นไปอีก แล้วทีนี้ไปไหนได้อีก ติ๊กต่อกๆๆ...น้องที่นำทางเฉลยว่า ไปดูหมีที่สวนสัตว์เจียงใหม่ละกันเจ๊า!

ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งเราจะได้มาดูหมีจริงๆ (ขอใช้คำว่า ดูหมีนะ มันดูไม่สองแง่สามง่าม ถ้าใช้คำว่าเห็น เดี๋ยวจะมาตราหน้ากันว่าไอ้คนเขียนมันทะลึ่ง) หลังจากเคยดูมันนอนมืดๆในเคเบิ้ล 2 ครั้ง แล้วก็ไม่กดไปดูอีกเลย เพราะไม่คิดว่าการดูหมีแพนด้าเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจหรือประเทืองปัญญามาก่อน ถ้าเป็นเด็กอาจจะกระตุ้นจินตนาการหรือความคิดให้กว้างไกลได้ ส่วนเรามีวัยเลยมากว่าเกือบ 30 ปีแล้ว ไม่น่าจะจินตนาการอะไรได้มากกว่าเห็นความจริงที่เป็นอยู่ แต่วันนั้น เมื่อแพนด้าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ก็เลยถูกชักนำเข้าไปหามันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

การเข้าสวนสัตว์ช่วงบ่าย ยังไม่ทันได้เห็นอะไร เหงื่อก็ตกกีบกันแล้ว พยากง พยากรณ์อากาศอะไรที่ดูมา ก็น่าจะตกอุณหภูมิที่ร้อนสุดแหงๆ ร้อนเหมือนมีพระอาทิตย์มีสองดวง ลืมอากาศเย็นๆเมื่อเช้าไปได้เลย สวนสัตว์เชียงใหม่สามารถขับรถเข้าไปได้ ค่าเข้าราคาคนละ 50 บาท รถ 1 คันอีก 50 บาท ทั้งหมด 300 บาท แต่ว่าถ้าจะดูอะควาเรี่ยมต้องจ่ายอีกคนละ 250 บาท หมีแพนด้าอีกคนละ 50 บาท สโนว์โดมไม่รู้ว่าเท่าไหร่ หนัง 4D สั้นๆ ราคาคนละ 100 บาท มันมีจ่ายหลายอย่างมาก ไม่แน่ใจว่ามีบัตรชุดขายเหมือนดรีมเวิร์ลกันเลยมั้ย 

เอาเป็นว่าเมื่อไฮไลท์อยู่ที่แพนด้าและความงกของเรา ก็ไปดูแพนด้าอย่างเดียวละกัน สิ่งที่แพนด้าไม่ชอบก็คือ แฟลชกล้อง และ เสียง เค้าห้ามใช้แฟลชและห้ามใช้เสียง มีสติ๊กเก้อร์สำหรับแปะแฟลช แต่ไม่มีสติ๊กเก้อร์สำหรับแปะปาก คนที่ไปดูก็เลยยังใช้เสียงได้ ทั้งๆที่มีป้ายห้ามตลอดทาง โดยเฉพาะเด็กๆ อย่าหวังเลยว่าสปีชีส์นี้มันจะเงียบ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุนั่นแหล่ะ พูดไปทำไมมี บางคนกูร้องไห้แหกปากแม่งเลยดีกว่า...เป็นการข่มขวัญหมี...

เนื่องจากหมีมันชอบที่เย็นๆ เค้าก็เลยต้องติดแอร์ เราเลยได้อานิสงส์ความเย็นนั้นไปด้วย อาณาเขตแรกที่ย่างเข้าไปเป็นของหลินปิง ลูกชายตัวเดียวของแม่หลินฮุ่ย ข้างฝาผนังมีการบอกเล่ากำเนิดหลินปิงเป็นระยะ ตั้งแต่หลินฮุ่ยเริ่มเป็นสัด หลินฮุ่ยอยากแต่ช่วงช่วงไม่อยาก ช่วงช่วงอยากแต่ช่วงช่วงไม่สามารถขึ้นคร่อมได้ สงสัยจะอ้วนจัด เอ่อ...พฤติกรรมพวกนี้น่าจะติดเรท 13+ นะ ผู้ปกครองควรพิจารณาและให้คำแนะนำลูกหลาน ความจริงเค้าไม่ได้เขียนโจ๋งครึ่มอย่างงี้หรอกนะ แต่ความหมายมันแปลได้อย่างงี้แน่นอน

แล้วยังมี...หลินฮุ่ยอยาก แต่อยู่ๆก็หายอยาก ทีมงานมนุษย์กว่า 30 ชีวิตที่ตามดูก็งง ไม่เข้าใจว่าสาเหตุมันคืออะไร พวกนี้สมควรส่องกระจกนะ แล้วจะรู้สาเหตุทันที แหม่...เค้าจะ xxx กัน แต่มีคนคอยตามดูเยอะแยะ หมีมันก็อายบ้างอะไรบ้างน่ะสิ มาตามถ่ายหนัง AV กันอยู่ได้ แค่สภาพที่อ้วนตุ๊ต๊ะของตัวก็ลำบากพอแล้ว ยังจะมีมนุษย์ไปเพิ่มอุปสรรคอีก หมีก็หมีเถอะวะ หมดอารมณ์ หนีดีกว่ามั้ย เค้าเริ่มลุ้นเรื่องการผสมพันธุ์หมีตั้งแต่ปี 2549 หลายปีผ่านไป ก็ไม่ปรากฏวี่แววว่าสองหมีจะชิน ช่วงช่วงยังคงพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก ออกแนวใช้โอกาสเปลือง

จนกระทั่งประมาณเดือนกุมภาฯ ปี 2552 ก็เกิดปฏิบัติการ ทำแทนหมี ขึ้น คือทีมงานไปจับระดับฮอร์โมนหลินฮุ่ยจนรู้ว่ามันไข่ตกแน่ๆ กระสันได้ที่แล้ว ทีมงานก็เลยไปวางยาสลบช่วงช่วง แล้วแอบขโมยอสุจิมาใส่ท้องหลินฮุ่ย ผ่านไปอีก 97 วัน ปลายเดือนพฤษภาคม ประเทศไทยก็ได้เฮที่การผสมเทียมสำเร็จ หลินฮุ่ยคลอดลูกหมี ที่หน้าตาเหมือนหนูนาออกมา 1 ตัว หนัก 2 ขีดกว่า ได้นอนเตียงเด็กด้วย หมีมันจะรู้สึกดีมั้ยนะ เค้าเขียนว่าลูกหมีแพนด้าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ตัวเล็กที่สุดในโลก จริงเหรอวะ...

หลินปิงแปลว่า ป่าแห่งสายน้ำปิง ตอนนี้ป่าแห่งสายน้ำปิงนอนเล่นแกล้งตายอยู่บนคบไม้ที่มุมห้องตัวเดียว เพราะเค้าบอกว่า ธรรมชาติของหมีมันชอบอยู่ตามลำพัง มันก็เลยไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ ต้องอยู่ตามธรรมชาติ ธรรมชาติของ ป่าแห่งสายน้ำปิงก็คือห้องสี่เหลี่ยมพื้นประมาณ 200-300 ตารางเมตร มีกระดานไม้และบันไดหมีให้ปีนป่ายแก้เซ็ง มีอาหาร ใบไผ่ให้กินเป็นมื้อๆ คือกินอิ่มทุกมื้อแน่ๆ แต่มีความสุขมั้ยก็อีกเรื่องหนึ่งแหล่ะ เรายืนดูอยู่ตั้งนาน มันก็ยังนอนแกล้งตายไม่กระดุกกระดิก ไม่แม้แต่จะเกาแข้งขา ปัดแมลงวัน เห็นแล้วคิดถึงอาโปในกังฟูแพนด้า ดูอาโปแล้วมีความสุข อมลูกชิ้นไว้ในปากครั้งเดียวตั้ง 38 ลูก ตลกตั้งแต่ฉากแรก เฮ่ย...แต่นั่นมันการ์ตูน!

หลินปิงที่เห็นเป็นของจริง อ้อ...หมีแพนด้า ของจริงเป็นอย่างงี้นี่เอง เห็นของจริงแล้วไม่มีความสุข แต่ ป่าแห่งสายน้ำปิงก็คงชิน ที่อยู่อย่างงี้มาแต่ไหนแต่ไร มันจะเข้าใจได้ไงว่าโลกกว้างป่าใหญ่เป็นยังไง บ้านของมันก็คือห้องนี้ ป่าของมันก็คือป่าข้างฝาผนัง ที่เค้าวาดไว้หลอกหมี มีต้นกล้วย ต้นไผ่ ต้นไม้พืชพันธุ์หลากหลาย ภูเขาไกลลิบๆ มีน้ำตก มีทุกอย่าง...แต่ไม่มีชีวิต ขืนเดินเข้าไปมีหวังหงายหลังตึงหัวโนกลับมาเป็นแน่แท้ วันๆกูจะทำอะไรได้ กินแล้วนอนพักผ่อนกายาดีกว่า 

เออ...เห็นขี้ ป่าแห่งสายน้ำปิง ด้วยนะ ขี้มันเป็นสีเขียวอมเหลือง เป็นท่อนๆ ใหญ่กว่าท่อนแขนเราอีก

แล้วเราก็ไปแอบดูชีวิตหลินฮุ่ยและช่วงช่วงบ้าง เดือนนี้เดือนกุมภา ก็ได้เวลาหมีอยาก เค้าแยกหลินฮุ่ยกับช่วงช่วงไว้คนละกรง แต่สามารถเดินหากันได้ ด้วยการปีนบันไดหมีลงมา แล้วเดินข้ามร่องไปหากัน มันทำอะไรบางอย่างที่ทำให้ผู้คนตลก หลินฮุ่ยมันเดินหงุดหงิดงุ่นง่าน เดินไปแล้วก็เดินมา เดินมาแล้วก็เดินไป

ที่อยู่ของหลินฮุ่ยและช่วงช่วงมีพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของลูกชาย แต่ว่าเพิ่มอ็อปชั่นโดยมีการเล่นระดับ พื้นที่ใช้สอยส่วนใหญ่อยู่ระดับกลาง มีตอไม้ บันไดหมีให้ปีนเล่น แล้วส่วนบนเหมือนจะเป็นโซนให้นอน มีการก่อซีเมนต์ลักษณะคล้ายถ้ำปลอมๆให้หมีและมีแอร์จ่ออยู่ด้วย ชั้นล่างเป็นเหมือนร่องใหญ่ๆ แต่ที่ไม่มีน้ำ มันจะสามารถเดินหากันได้โดยผ่านช่องนี้แหล่ะ แต่ละชั้นเชื่อมกันด้วยบันได

ช่วงช่วงนอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็น อยู่หน้าถ้ำชั้นบนของตัวเอง มีการจัดท่าทางเล็กน้อย คือนอนหันหน้าหาคนดู พอเมื่อยก็พลิกแค่หัว แต่ก็ไม่ยอมลืมตาดูอะไรเลย หลินฮุ่ย...ก็อย่างที่บอกว่าเดินไปเดินมางุ่นง่านมาก เดินจากชั้นบนลงไปชั้นกลาง เดินบนท่อนไม้ ปีนบันไดลงมาชั้นล่างแคบๆ การปีนบันไดหมี (หน้าตาเหมือนบันไดลิง) มันจะทำไม่เหมือนเรานะ ถ้าเราปีนลง เราจะหันหลังแล้วเอาขาหลัง...(ขาของเรานั่นแหล่ะ) ค่อยๆถัดลงมา มือก็ค่อยๆจับบันไดไล่ลงตามขามา...คิดว่าทุกคนน่าจะทำเหมือนกัน ส่วนหมี มันจะเอาขาหน้าไต่ลงมาดื้อๆเลย เห็นตอนแรกก็ลุ้น กลัวว่ามันจะตีลังกาล้มกลิ้ง เออ...ไม่แฮะ มันก็เดินลอยชายเชิดหน้าลงมาได้อย่างสบายๆ

มันเดินไปหาช่วงช่วง แต่ก็ไปไม่ถึงตัว วนๆอยู่ในบ้านเค้า แล้วก็เดินกลับมา วนไปวนมาตลอด แล้วมันก็เดินไปที่ท่อนไม้บ้านตัวเอง หันตูดใส่คนดู เอาตูดถูท่อนไม้ ถูใหญ่เลย ก็เลยเรียกเสียงหัวเราะสนุกสนาน พอไปอ่านเรื่องหมีๆที่ฝาผนัง ก็พบว่า การเอาตูดถูต้นไม้ตอไม้นี้ เป็นการแสดงออกถึงการเป็นสัดของมัน มันจะเอาตูดถูอะไรสักอย่าง เพื่อให้กลิ่นตูดของตัวเอง ลอยตามลมไปยั่วสวาทหมีตัวผู้ เมื่อตัวผู้ได้กลิ่นตูดอันหอมหวลชวนดมแล้ว จะได้มา xxx กันตามประสาชู้สาวหมี (แค่พิมพ์ก็อยากจะอ้วกแล้ว ดีนะ...ที่ธรรมชาติสงวนกลิ่นตูดไว้ให้เฉพาะจมูกหมี เราไม่ต้องได้กลิ่นด้วยก็ได้) 

วันนั้นถ้าช่วงช่วงอารมณ์ดี อาจได้ดูหมีป่ามป๊ามกัน แต่พอดีว่ามันหลับ ก็เลยเห็นแต่อาการเป็นสัดของหลินฮุ่ยเท่านั้น ไม่อยากคิดเลยว่าอะไรมันจะช่างประจวบเหมาะ ครั้งหนึ่งเคยไปเขาเขียวไนท์ซาฟารีกับเพื่อนๆ ยังได้เห็นเสือแก้ผ้า xxx กันต่อหน้าต่อตา ให้ตายเถอะ...ไม่ได้อยากเห็นเลยซักกะนิด ให้ไปสาบานไขว้นิ้วที่ไหนก็ได้เอ้า

          ก่อนออกมาก็ซื้อโปสการ์ดหมีส่งหาเพื่อน...ของเรา มองหมีแล้วก็กลับมาย้อนมองตัวเรา ว่าเราใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขมั้ย มีโอกาสได้ใช้มั้ย เรามีโอกาสเปิดตาก้าวขาออกไปดูโลกกว้างใหญ่บ้างรึเปล่า ถึงเราไม่น่ารักอ้วนตุ๊ต๊ะเท่าหมี แต่มันก็ดีกว่ามั้ยที่ไม่ต้องมีคนมาแอบดูชีวิตแบบ True man show ของเรา และอย่างน้อยเราก็มีโอกาสที่จะเรียนรู้ และใช้คำว่าอิสระให้เกิดประโยชน์ นอกจากว่าเราจะยินยอมพร้อมใจที่จะขังตัวเองเอาไว้เช่นฉะนี้แล...







It’s me...
คนที่คิดว่าตัวเองมีทางเลือกมากกว่าหมีนะ...
23 กุมภาพันธ์ 2555

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น