หาดใหญ่ สงขลา 14 – 16 มกราคม 2555
อาทิตย์ที่ผ่านมา ไปงานบวชของ ‘หะหนุ่ม’ น้องที่แสนจะสนิท อายุห่างจากเรา 8 ปี เข้ามาเป็นน้อง เป็นลูกน้อง เป็นเพื่อนร่วมงาน 4 ปีแล้ว ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ถึงเดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นลูกน้อง แต่ก็ยังเป็นน้องเป็นเพื่อนที่ดีมากๆอยู่ แล้วน้องก็เริ่มมีความชัดเจนในชีวิตมากขึ้น คือหนุ่มจะบวช หลังจากบวชจะทำงานอีกเดือนสองเดือนก็จะลาออก แล้วไปเรียนภาษาคอร์สสั้นๆ ลองใช้ชีวิตที่อเมริกา เพื่อฝึกให้ตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่จริงๆซะที (และกลับมาเป็นเพื่อนเราเหมือนเดิม 555)...ถึงจะคิดได้ช้าหน่อยแต่ก็ถือว่าเป็นแผนที่ใช้ได้
หนุ่มจะบวชที่สงขลา อำเภอระโนด วันที่ 15 มกราคม บวชแค่ประมาณอาทิตย์เดียว ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะไป อยู่ๆไอ้ปุ้ย ก็มาทักตอนวันที่ 6 ว่า “ไปมั้ย” ...เรางงๆ เออว่ะ ควรไปมั้ยวะ คิดไปคิดมา (ประมาณ 2 นาที) “ไปก็ได้วะ” ไป-มาก็ไม่น่าจะยาก ก็เลยไปหาตั๋วเครื่องบิน Lowest Cost Airline ได้ตั๋ว Air Asia ขาไปหาดใหญ่ ในระยะกระชั้นชิด วันที่ 14 มกรา บ่าย 2 ครึ่ง มาในราคา 1,100 บาท เป็นราคาที่ไม่ Load สัมภาระ ไม่กินข้าว ไม่ซื้อประกันด้วย อันหลังถือว่าใจถึงมาก ตอนกดจอง ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าไปแล้วก็กลับ ไม่เห็นต้องซื้อ
ตอนแรกคิดว่าจะไปกับไอ้ปุ้ยและไอ้ต้น ก็จองตั๋วขาไป 3 ที่ เป็นการหย่อนขาก้าวไปข้างหนึ่งก่อน อีกข้างค่อยตามมาทีหลัง พอไปคุยกับน้องๆ
มันบอก “พี่อายุย่าง 35 ผมและไอ้ปุ้ยย่าง 25 เราเชื่อในทฤษฎีโชคร้ายของเบญจเพสหน่อยดีมั้ย ไม่มีประกันมันจะดีหรือพี่”
มีพี่อีกคนหนึ่งเดินเข้ามาสำทับว่า “อย่าลืมล่ะว่าตอนนี้พายุ น้ำท่วมกำลังเข้าสงขลาเลย” อ้าว...เวร...ช่วยเพิ่มความหวาดผวาได้อีกหนึ่งดอก...
เพื่อความสบายใจ “เอางี้ๆ เดี๋ยวกูซื้อขากลับ เอาประกันด้วย แล้วเราก็มาตกลงกันว่า ถ้าเป็นอะไรขึ้นมา ห้ามเป็นตอนขาไป ให้ลากสังขารมาตายตอนขากลับได้ เพราะว่าจะได้เหลืออะไรที่มีประโยชน์ไว้ให้คนข้างหลังบ้าง”
น้องๆทำหน้างง “เอางั้นเหรอพี่ ได้ก็ได้ว้า”
แล้วเราก็ได้ตั๋วเครื่องบินขากลับพร้อมประกันมาในราคา 1,200 บาท
มีคนมาถามทีหลังว่าทำไมไม่ชวนงู้น งี้ งั้น จริงๆยิ่งมากคน จะยิ่งมากความ ยั้วเยี้ยไปหมด เวลาในการรอคอยที่จะตัดสินใจก็อาจทำให้ตั๋วราคาสูงกว่านี้ได้ แล้วยังจะต้องลางานวันจันทร์แถมด้วยอีกวัน ข้อจำกัดมันเยอะ ก็เลยไม่ชวนใคร นอกจากคนที่นั่งข้างๆกัน ผ่านไป 1 วัน ชนาซึ่งเป็นเพื่อนหนุ่มตั้งแต่เด็ก อยากจะไปด้วย จองตั๋วเครื่องบินเที่ยวเดียวกันให้ ราคาพุ่งขึ้นอีก 800 บาท เป็นไงล่ะ นี่ล่ะน้า...เค้าถึงบอกว่า ‘เวลามีค่า’... เห็นได้ชัด...
หลัง จากจบเรื่องไป-กลับ ทีนี้ก็มาคิดเรื่องที่พัก จะหาที่นอนและอาบน้ำเฉยๆ เพราะฉะนั้นบรรยากาศของที่พักไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขอถูกและใกล้แหล่งอาหาร ง่ายต่อการเดินทาง มีอะไรให้เดินเล่นยามค่ำคืนเป็นพอ ให้เงื่อนไขไปกับหะหนุ่ม ไปหามาหน่อยซิ
หนุ่มบอก... “โรงแรมยงดีพี่ อยู่ติดตลาดกิมหยง เซ็นทรัล ลีการ์เด้น สะดวกทุกทาง ถูกด้วย”
“เออๆ ตามนั้นเลยนะ”
จะไปวันเสาร์ วันพฤหัสเอะใจ โทร.หาว่าที่พระ ถามว่า “ตกลงมึงโทร.จองให้กูแล้วใช่มั้ย...”
“อ้าว ผมนึกว่าพี่ถามเฉยๆ”
ดีจริงๆ ที่ถามมันก่อน ดีไม่ไปเซอร์ไพร้ส์กันในหาดใหญ่เลย ดีนะที่ยุคนี้มีอาจารย์ goo รู้ทุกเรื่อง ได้เบอร์โทร.จาก Google โทร.ไปจอง 1 ห้อง นอนวันเสาร์ – อาทิตย์ ราคาคืนละ 650 บาท คิดเอาเองว่านอนได้ 2 คน อีก 2 คนค่อยแอบๆเอา น่าจะได้วะ จบเรื่องที่พักไป
วันศุกร์ทีวีก็ยังออกข่าวว่า สงขลามีพายุ ฝนฟ้าคะนอนอย่างหนัก มาเพิ่มความหวาดกลัวในชีวิต...(ชีวิตอย่างเดียว ไม่มีทรัพย์สินให้เสียหายอะไร) เมื่อตั้งใจแล้ว เอาวะ ไปก็ไป เครื่องบินตั้งหลายร้อยล้าน มันยังกล้าเอามาบินเลย แสดงว่าปลอดภัย ตอนจัดของใส่เป้ เราก็เอาฝนตกฟ้าคะนองเป็นที่ตั้ง เอารองเท้าแตะไปด้วย เผื่อลุยน้ำ เอาเสื้อกันหนาวไปด้วย เผื่อฝนตกหนักอากาศเย็น เสื้อผ้าก็คูณสอง เผื่อเปียกแล้วต้องเปลี่ยน เอาร่มไปด้วยเผื่อกันฝน เอาผ้าเช็ดตัวไปด้วย เผื่อได้ใช้ เอาหนังสือไปด้วย เผื่อได้อ่าน จัดกระเป๋าออกมาเสร็จ เหมือนจะไปอยู่ซัก 1 อาทิตย์ ไม่เป็นไร ปลอบใจตัวเอง ไปถึงแล้วถ้าได้ใช้ทุกอย่าง มีเฮแน่...ปลอดภัยไว้ก่อน
วันเสาร์นัดน้องๆมาเจอกันที่ห้องเราก่อนไปสนามบิน พวกมันเอากระเป๋าเป้มา เหมือนเป้เด็ก ใส่ของคนละหน่อย ปุ้ยมีกระเป๋ากล้องเป็น Option เสริมนิดเดียว พวกมันเห็นเป้เราแล้วตกใจ
เราบอก “ไม่เป็นไร กูแบกได้ ก็เผื่อได้ใช้ พายุเลยนะมึง...ฝนตกธรรมดา...ยังเปียกกันเล้ย”
คิดแล้วก็ภาคภูมิใจในความฉลาดคาดการณ์ของตัวเอง
เรานั่งแท็กซี่ไปสนามบิน เก็บตังค์กองกลางคนละ 1500 บาท ด้วยความที่สองมือถือตังค์มั่วไปมา พอไปถึงสนามบิน ค่าแท็กซี่สองร้อยกว่าบาท ใจป้ำมาก ยื่นแบ็งค์ร้อยให้เค้า 1 ใบถ้วน แล้วบอกเค้าว่า
“ไม่ต้องทอนค่ะ”
เหนือกว่านั้นตรงที่ แท็กซี่งงๆ รับเงินไปแล้วบอกเราว่า “ขอบคุณครับ”
ทุกคนอึ้งกับการกระทำ นิ่งกันหมด เราเลยรู้ตัวว่าพลาดไปแล้ว รีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ เอาเงินอีกมือหนึ่งที่เตรียมไว้จริงๆให้เค้าแทน
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ใช้บริการ flight check in ทาง Internet มา เทคโนโยลีช่วยเราสารพัดอย่างจริงๆ แม้จะงงๆที่ต้องวิ่งตามมันอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า ส่วนข้อมูล flight เครื่องบิน ก็สามารถไปกดดูตรงตู้ Information ซึ่งเป็น Touch Screen ใช้ง่ายแสนง่าย อยากรู้อะไรก็เลือกๆ เอา เพราะอย่างงี้หรือเปล่าหว่า นายกฯ เลยบอกเด็กไทยว่า ‘ให้ใส่ใจเทคโนโลยี’ แล้วแท็ปเล็ทโรงเรียนนี่จะโกงกันมั้ยว้า เราใช้คอมพิวเตอร์ตอนโต สายตายังเสียเลย แล้วเด็กมันจะเหลือมั้ย อีกหน่อยจะมีแว่นตาโรงเรียนรึเปล่า...หยุดความคิดตัวเองไว้เท่านี้จะดีกว่า...
ตอนอยู่บนเครื่องบิน กัปตันบอกด้วยเสียงนุ่มทุ้ม ฟังเกือบไม่ได้ยินว่า เครื่องบิน Delay ไปครึ่งชั่วโมง อันเนื่องมาจากสภาพการจราจรของสนามบินสุวรรณภูมิ ตอนที่นั่งรออยู่ที่สนามบิน ต้องนั่งรอนานๆ ไอ้ปุ้ยเล่นบีบีเป็นนิสัยของเด็กยุคใหม่ ไอ้ต้นนั่งฟังเพลงจากมือถือ เรานั่งอ่านหนังสือ ชนานั่งเป็นหุ่นอยู่เฉยๆ ชนาเป็นมนุษย์ไม่พูด แต่ชวนไปไหน มันไปด้วยหมด ถาม 20 คำ ตอบ 1 คำ
เราอ่านนิยายอยู่ ถามมันว่า “อ่านหนังสือมั้ย กูมีชินจังนะ อ่านมั้ย”
มันบอกว่า “ไม่ครับ” ถามต่อว่าแล้วจะทำอะไรรอ มันบอกว่า “นั่งเฉยๆครับ”
เราสงสัยต่อ “มึงนั่งเฉยๆไม่ทำอะไรเลยนานๆก็ได้เหรอ”
มันบอก “ได้ครับ ก็นั่งไปเฉยๆ”
เหอะๆๆ...เชิญเถอะมึง กูไม่รบกวนแล้ว เดี๋ยวจะเสียเวลานั่งเฉยๆของมึง
ไหนๆ ก็นินทามันแล้ว ขอต่ออีกหน่อยละกันวะ นอกจากนิสัยไม่พูดแล้ว หนุ่มเล่าให้ฟังว่าตอนเด็ก ชนาไม่เล่นกีฬาอย่างอื่นนอกจากว่ายน้ำ เพื่อนเตะบอลกัน ชนาไปหัดขี่มอเตอร์ไซด์ถอยหลัง สรุปได้ว่ามันเป็นคนอินดี้ ไม่พูดนะ แต่มีแนวเป็นของตัวเอง ขี่มอไซด์เร็วมาก ประมาณ 140 ไอ้ต้นเคยนั่งด้วยทีหนึ่ง หลังจากนั้นมา ต้นไม่พยายามไปด้วยอีก
ครั้งหนึ่งเคยล้อมันว่า “มึงกินทุกอย่างยกเว้นเบรครถ”
ชนาไม่พูดแต่กินเยอะ ช่วงนั้น มันบ่นว่า เบรครถไม่ค่อยกิน นานๆจะได้ยินมันบ่นที
ถามมันว่า “เบรคไม่กิน...แล้วมึงขับเท่าไหร่”
มันบอกว่า “หนึ่งร้อย”
เลยเตือนน้องไปว่า “คนเราเกิดมา ตายครั้งเดียวนะมึง เก็บไว้ตายตอนแก่ดีกว่ามั้ย คิดว่าเกมโอเวอร์แล้วเล่นใหม่ได้รึไงวะ”
ไปถึงท่าอากาศยานหาดใหญ่ โดยปลอดภัยในตอนเย็น พร้อมท้องฟ้าทะมึนมืดตึ้บดำปิ๊ดปี๋ แต่ยืดอกด้วยความภาคภูมิใจที่สามารถโอ่ได้ว่า
“กูบอกแล้วไง ว่ามาถึงๆ ไม่ต้องซื้อประกันก็ได้”
น้องๆบอก “เหรออออ” ลากเสียงยาวๆ
คือก่อนขึ้นเครื่องก็มีหวาดผวาบ้างเล็กน้อย ได้แต่คิดเข้าข้างตัวเองว่า ไม่ว่าสววรค์หรือนรกก็คงไม่ต้องการตัวลูกช้างตอนนี้หรอกใช่มั้ยเจ้าคะ ลูกช้างมีประโยชน์นะคะ ขออยู่นานๆหน่อยละกันน้า...
แอบอ่านข้อมูลมา ได้ใจความว่า เราสามารถเข้าเมืองได้โดยรถตู้ แท็กซี่สนามบิน และสองแถว ซึ่งเราต้องการตัวเลือกสุดท้ายมากที่สุด เพราะประหยัด และคิดว่าสนุกดี ใน net บอกว่า ราคา 20 บาท เราเดินออกมาข้างหน้าอาคารผู้โดยสาร เจอสองแถวมาพอดี รีบวิ่งไปหา แล้วถามว่า ผ่านตลาดกิมหยงมั้ยคะ เค้าบอกว่าผ่าน แล้วผ่านโรงแรมยงดีมั้ย เค้าว่าไม่ แต่เดินแป๊บเดียว ก็เลยวิ่งขึ้นรถ มีแค่พวกเรา 4 คน รถโล่งดีจริงๆ
รถวิ่งไป 2-3 เมตร แล้วหยุดจอด มีคนวิ่งมา ตุ้บๆๆๆ ขึ้นมาเต็มรถเลยทีนี้ พี่ผู้หญิงหน้าแก่ที่นั่งข้างเรา แกมีกระเป๋าเดินทางสี่เหลี่ยมใบใหญ่มาด้วย วางให้เหลี่ยมกระเป๋ามาชนกูพอดีเลย โอยเจ็บ เลยบอกแกด้วยความนุ่มนวลแต่ทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ไปว่า “วางไว้ด้านหน้าตัวเองสิคะ จะได้จับถนัด” แกค่อยหันมายิ้มแล้วเปลี่ยนตามที่เราบอก แต่พี่แกกลัวตกรถอะไรนักหนาก็ไม่รู้ คนก็เต็มรถ แกจะเอามือข้างหนึ่งซึ่งแสนจะอวบ เอื้อมไปจับพนักพิงไว้ แล้วก็เบียดเราเต็มที่ เวลารถเบรค ต้นแขนเราก็โดนบดไปกับก้านเหล็กข้างกระบะ ต้องนั่งในสภาพปลากระป๋องทั้งๆที่ไม่จำเป็นเลย อีพี่นี่นั่งสบายโคตรแต่นั่งด้วยความกลัวอะไรอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จะบอกแกยังไง อาจแก่แล้ว ไม่ค่อยรู้เรื่อง ปล่อยเลยตามเลยก็ได้วะ
ถึงตลาดกิมหยง รถก็จอดให้ วิ่งไปจ่ายตังค์ ถามเค้าว่าต้องเดินไปทางไหน เค้าก็บอกทาง เราก็ยื่นแบ็งค์ร้อยไป แบมือน้อยๆ รอตังค์ทอน
เค้าบอกว่า “ขาดอีก 20 น้อง” พูดกลางสำเนียงใต้แบบช้าๆ คงกลัวเราไม่เข้าใจ ชัดถ้อยชัดคำมาก รีบหยิบอีก 20 ให้เค้า พร้อมยิ้มอายๆ...ว้า..แย่จัง...
โชคดีมาก ที่ถึงแม้ฟ้าจะครึ้มขนาดไหน แต่ฝนก็ไม่ตกให้ป็นที่รำคาญใจซักแอะ เราไป check in โรงแรม จากตอนแรกว่าจะแอบอีก 2 คน ละไว้ในฐานที่เข้าใจ แต่คิดอีกที ไม่ทำดีกว่า เอาหน้าไปให้เค้าดูแม่ง 4 คนเลยนี่แหล่ะ เค้าจะให้อยู่ ไม่ให้อยู่ก็ให้รู้ไปเลย หรือจะให้เพิ่มตังค์ก็ไม่ว่าอะไร มาทำลับๆล่อๆ มันลำบากใจ ไม่เคยชิน เราเองก็ไม่ชอบคนขี้โกงซะหน่อย เสือกอยากจะทำซะเอง พอบอกเค้าไป
เค้าบอกว่า “ได้ฮ่ะ...พัก 4 คนนะฮะ อย่าให้เกินนี้นะฮ้า” ป้าคนจีนแก่ๆ ใจดีมากๆเลย ไม่ต้องโกง ราคา 650 บาท พัก 4 คน 2 คืน แค่ 1,300 บาท ถูกที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยเจอมาเลย
ห้อง ก็เก่าตามอายุขัย เห็นว่า 20 กว่าปีแล้ว แอร์ก็บุโรทั่งแต่ก็ให้ความเย็นได้ มีเสียงออดแอดนิดหน่อย เหมือนเราไปฝืนสังขารมัน เตียง 2 เตียง เรานอนกับไอ้ปุ้ย ไอ้ต้นนอนกับชนาก็พอดี มีหมอน 4 ใบไม่ต้องแย่งกัน มีทีวีเก่าๆ แต่ก็เปิดดูได้ รีโมทต้องกดเบาๆ ห้ามใช้ความรุนแรง ห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำเก่าๆ แต่เรายืนอาบ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ใช่ปัญหา มีน้ำอุ่นที่ยังใช้งานได้ดี และน้ำแรงสะใจดีมาก อาบน้ำได้ นอนได้ ก็โอเคแล้ว
ไปเดินหาข้าวกิน ได้กินข้าวแกงปักษ์ใต้ที่ขายเป็นรถเข็น อร่อยดี กินจนแน่นท้อง คนใต้กินข้าวจะต้องมีน้ำพริกกะปิ และผักสดเคียงด้วยทุกครั้ง เข้าทางเลย ชอบกินผักมากอยู่แล้ว กับข้าวที่กินเข้าไป มีแกงส้มหัวปลากระพง หมูหวาน คั่วกลิ้งกบ ต้มจืดหน่อไม้ ปูผัดผงกะหรี่ กินกับผักสดจิ้มน้ำพริกมีถั่วฝักยาว ถั่วพลู ใบอะไรไม่รู้เปรี้ยวๆฝาดๆ ลืมถามเค้า แล้วก็มีลูกเขียวๆ ปอกเปลือกออกมาเป็นดอกสีขาวม่วงฟูๆ เรียกว่าลูกลำพู...ซึ่งก็เคยได้กินครั้งแรกในชีวิต ประหลาดและอร่อยดี
พอท้องกลมกลิ้งแล้วก็เดินย่อยไปเรื่อยๆ จำได้ว่าเคยมาแวะหาดใหญ่เมื่อหลายปีก่อน ได้กินชาชัก เป็นรถเข็นขายข้างๆ เซ็นทรัล ชักกันสุดมือยืด ประทับใจมาก 20 บาท ทำท่าชักไปก็น่าจะ 100 บาทแล้ว ชักแล้วชักอีก ชักไม่หยุด แม่นด้วยนะ ไม่มีหกให้เห็นเลย แค่ท่าชักก็อึ้งแล้ว มีโอกาสก็อยากกลับไปกินซ้ำ ก็เลยไปเดินหา พร้อมโม้ให้น้องฟัง เรื่องอดีตที่หวานชื่น แต่แล้ว...เดินหาจนรอบ ก็หาไม่เจอ...เออว่ะ...หลายปีมาแล้ว เค้าอาจเลิกขายแล้ว ไปซื้อปลาหมึกย่างดีกว่า ตัวใหญ่มากแถวบนตัวละร้อย แต่เราไม่ซื้อ เราเน้นปริมาณ เอาตัวเล็กมา 4 ตัวร้อย กินคนละตัวพอดีเลย ระหว่างรอเค้าบดก็เลยถามถึงพี่ชาชัก นึกว่าแกแขนหลุดไปแล้วเลยเลิกขาย เค้าบอกว่ายังอยู่นะ แต่วันนี้ไม่มาขายน่ะ...ฮ้า! ไม่อยากเชื่อ กูไม่ได้คิดจะมาบ่อยๆนะเว้ย
หลายอาทิตย์ก่อน ไปปากช่อง แนะนำน้องๆว่า “กูชอบร้านกาแฟร้านหนึ่งมากเลย อยู่ที่ปากช่อง กม.47 ติดถนนใหญ่ เราขับไป เจอแน่ ชื่อร้าน coffee love hill กินชาเขียวที่นี่ตอนอากาศหนาว อร่อยที่สุด และไม่ต้องตะเกียกตะกายไปถึงปาย ถึงจะเจอ Coffee in love ที่คนแน่นโคตร ที่วังน้ำเขียวมี a cup of love แต่กาแฟก็เหี้ยนะ ไม่อร่อยแล้ว คนก็เยอะด้วย เสียบรรยากาศ”
ด้วยความที่ชอบ coffee love hill ก็ โฆษณาสรรพคุณซะเต็มที่ พอไปถึง ปรากฏว่าร้านหายไปแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังงงอยู่ ว่าเปลี่ยนกิจการ ปิดปรับปรุงหรืออะไร
ด้วยความอยากแก้ตัวก็เลยบอกน้องๆว่า “เดี๋ยวนำทางไป Primo Posto ก็ได้ สวยนะ แต่คนเยอะต้องทำใจ” พอไปถึงปรากฏว่าเค้าปิดปรับปรุง เป็นไปได้ไงไม่อยากเชื่อเลย
ต่อไปนี้กูจะไม่แนะนำร้านกาแฟให้ใครอีกแล้ว ตั้งแต่ไฮโซยันรถเข็น คนฟังก็อดกินอยู่ดี
กลับมาที่ชาชัก เมื่อหาชาชักเจ้าเก่าไม่ได้ เอาที่อื่นก็ได้ ถามจนได้มา 1 รถเข็น เราเดินไปดู ว้า...ชักไม่มันเลย (สำหรับผู้ที่ทะลึ่งเป็นพิเศษ จะบอกว่า เค้าชักชานะ ไม่ได้ชักอย่างอื่น อย่าคิดมาก) กินชาเย็นไปคนละแก้ว ไม่เร้าใจซักนิด ของที่ดูดีมีสกุลเคียงคู่รถเข็นในหาดใหญ่อีกอย่างก็คือ ‘สัตว์ทอด’ ไก่ทอดหาดใหญ่ที่ดังนักดังหนา แต่ยัดเข้าท้องไปไม่ได้แล้ว
มีกุ้งและปูตัวใหญ่ๆด้วย ไอ้กุ้งนี่ตัวใหญ่มาก เท่าแขนเด็กอ้วนๆเลย ด้วยความที่สงสัยว่า ตัวใหญ่ขนาดนี้ทอดขายเหมือนทอดกุ้งฝอย มันจะราคากี่บาทกันวะ แต่น่าจะไม่แพงนะ เพราะก็อยู่บนรถเข็นข้างถนน ก็เดินเข้าไปถามราคา
เค้าบอกว่า “ตัวละ 300 บาท”
กูนี่สะดุ้งกว่ากุ้งในกระทะอีก เกิดมายังไม่เคยซื้อของกินอะไรจากรถเข็นราคา 300 บาทเลย ก็ไม่เคยต่อไปเถอะนะ อย่าไปลอง เค้าอาจจะขายไม่ออกมาหลายวันแล้วก็ได้...องุ่นเปรี้ยวนะ...
หมูทอดหรือเนื้อวัวทอดก็มี อีกอย่างที่เห็นไปนอนแดดิ้นในกระทะทองแดงร้อนๆ ก็คือ นกทอด ตัวเล็กกว่าฝ่ามือเราอีก ไม่รู้นกอะไร ไม่กล้าถาม เดี๋ยวเค้าเอาก้ามกุ้งมาแทงเพราะหมั่นไส้ มันนอนขาชี้ดูทุกข์ทรมาน ไม่รู้ไปทำบาปทำกรรมอะไรมา แต่ก็ไม่ได้กินสัตว์ทอดอะไรซักอย่างหรอก เพราะอิ่มมาก เข้าเซเว่นฯ ไปซื้อแชมพูและสบู่ ไม่ชอบใช้สบู่โรงแรม มันฟอกแล้วรู้สึกสากๆ
ปุ้ยบอกอย่างในฐานะที่เป็นชาวสระบุรีผู้มั่งคั่งว่า “ที่บ้าน...ถ้าสบู่เหลือก้อนเท่าที่โรงแรมนี่ ก็เอาไปทิ้งแล้วแหล่ะ ไม่ใช้หรอก”
ไอ้ปุ้ยมีอุปนิสัยนอกจากต้องพกบีบีไปกดตลอดเวลาจนตาเหล่แล้ว ยังชอบจอง
“ปุ้ยจองที่นั่งข้างหน้าต่างเครื่องบินนะ”
“ปุ้ยจองตู้เสื้อผ้านะ”
“ปุ้ยจองไม้แขวนเสื้อนะ”
“ปุ้ยจองปลั๊กชาร์จแบตฯนะ”
ปุ้ยจองนู่น จองนี่ จองจนเราจำไม่ได้หลายอย่าง ได้แต่บอกมันไปว่า “ปุ้ย...มึงจะจองอะไร ก็รีบจองไปให้หมด กูจะได้ใช้ที่เหลือที่มึงไม่จอง อย่างงี้โอเคมั้ย”
ไอ้ปุ้ยหันมาหัวเราะแฮ่ะๆให้ อย่างไม่รู้สึกสำนึกอะไรทั้งสิ้น
แต่ความดีงามของมันอย่างหนึ่งก็คือ ทีวีบนห้อง ยี่ห้อเนชั่นแนลรุ่นพระเจ้าเหา ไม่มีช่อง 3 ที่เราจะดูละคร ‘สามหนุ่มเนื้อทอง’
ไอ้ปุ้ยบอกว่า “รุ่นนี้ ปุ้ยจูนเป็น”
แล้วมันก็นั่งจูนทีวีให้เราอย่างใช้ความพยายาม มุ่งมั่นและตั้งใจ เมื่อทำสำเร็จ เราก็ตบมือให้มันเป็นรางวัล แล้วนั่งเฝ้าละครน้ำน้ำเน่าตาหยดย้อย ห้ามใครรบกวนสมาธิ สิ่งมหัศจรรย์ก็คือ ชนามันนั่งดูทีวีหันหลัง! ท่ามกลางความไม่เข้าใจของเรา นั่งหันหลังเยื้องทีวี แล้วก็เอี้ยวหัวกลับมามองเอา งงมากว่ามึงจะทำเยี่ยงนั้นไปทำไม
ถามมันว่า “ทำไมมึงไม่นั่งหันหน้ามาดูดีๆ”
มันบอก “ผมดูได้ครับพี่” แบบว่าซื่อๆ จริงใจ ไม่ได้กวนตีนกูด้วย เฮ้อ...มีแต่คนแปลกๆ
เมื่อตอนเย็นพี่แม่ค้าขายข้าวบอกว่า ถ้าจะไประโนด ชั่วโมงกว่าก็ถึง จะมีคิวรถตู้ ให้นั่งตุ๊กตุ๊กไปที่คิวรถตู้ ตี 5 รถก็เริ่มวิ่งแล้ว
ก่อนนอนเราตกลงกับพวกมันว่า “ตื่นตี 4 นะ เดี๋ยวกูตื่นคนแรกเอง”
ไอ้ต้นต่อรอง “6 โมงไม่ได้เหรอพี่”
ไอ้ต้นโดนเราด่ายับก่อนนอน “หกโมงเหรอมึง แล้วยังไง มึงจะนั่งรถกี่โม้ง แล้วเมื่อไหร่จะไปถึงงานเค้า พอไปถึง เห็นเค้าเป็นพระไปแล้ว แล้วอะไรที่ทำให้มึงถ่อสังขารมาถึงนี่ มาดูหน้าพระขณะนุ่งผ้าเหลือง โดยไม่ผ่านพิธีกรรมอะไรเลยเนี่ยนะ...ฟายเอ๊ย กลับกรุงเทพไปเลยไป”
หายหงุดหงิดแล้วเราก็อาบน้ำนอน...
เช้าตื่นมาตีสี่ รีบขี้ รีบอาบน้ำ เพื่อปลุกน้องๆต่อ ไพร่พลเสร็จกิจทั้งหมดตีห้าครึ่ง เดินขบวนออกจากโรงแรม โบกตุ๊กตุ๊กไปคิวรถตู้ระโนด คนละ 20 บาท เอาเราไปปล่อยที่คิวรถตู้ ไม่มีรถตู้ มีแต่ถนนมืดๆ
เหมือนเค้ารู้ความคิดเรา เค้าบอกเราว่า “เดี๋ยวรถก็มา รอตรงนี้แหล่ะ”
ตรงนี้มีป้ายเล็กๆ ผูกกับรั้วเขียนว่า ‘คิวรถตู้ระโนด โทร. xxx’ เรารอสักพัก ก็ไม่มีรถตู้แมวที่ไหนผ่านมา ก็พยายามโทร.หาเบอร์นั้น แต่ก็ไม่ติด ซักพักมีป้าคนหนึ่งออกมาจากบ้านด้านข้าง หลังจากปิดประตูบ้านแล้ว แกก็ถามเราว่าจะไปไหน พอเราบอกไปว่า จะไประโนด แกพูดจาได้ทิ่มแทงจิตใจเรามาก
แกบอกว่า “รถเที่ยวแรก 7 โมงครึ่ง” ฮือฮือ...จริงๆเหรอวะเนี่ย
ชนาผู้เคยมาอยู่หาดใหญ่ (แต่ไม่เคยนั่งรถโดยสาร) บอกว่า “เคยเห็นนะว่ามีรถบัสไประโนด เราลองไปรอกันมั้ย เผื่อเร็วกว่า”
นั่นไง ชนามีประโยชน์ขึ้นมาแล้ว เราเรียกตุ๊กตุ๊กอีกครั้งหนึ่ง บอกความต้องการของตัวเองไป แล้วก็ขึ้นรถ พบว่าไกลจากจุดเกิดเหตุประมาณ 200 - 300 เมตร ตุ๊กๆก็จอด บอกว่าตรงนี้แหล่ะ จ่ายไปอีกคนละ 20 ยืน
รออีกนาน โทร.บอกว่าที่พระใหม่ว่า “เนี่ย พวกกูกำลังหารถอยู่ ตั้งใจเต็มที่เลยนะ แต่ไปไม่ได้”
แล้วก็โม้เหตุการที่ผ่านมาให้ฟังไป
ซักพักใหญ่ ไอ้ต้นวิ่งหน้าตาตื่นมาจากตรงที่มันแยกไปยืนดูดมะเร็ง (ชื่อจริงของบุหรี่) นึกว่ารถมาแล้ว
แต่มันดันวิ่งมาบอกว่า “คนหัวขาดครับ คนหัวขาด”
เรามองตามมือมันชี้ เห็นคนนั่งอยู่บนถนน ใต้เสาไฟฟ้า มีแสงไฟสาดร่าง นั่งแปะตูดบนพื้นถนน หันหลังให้พวกเรา นั่งหลับ เวลาสัปหงกลงไป จะเหมือนไม่มีหัว...คนหัวขาด...ไอ้ต้น มุขนี้ของมึง กูถือว่าผ่านฉลุยเลย ลดความน่าเบื่อของการรอคอยลงได้นิดหน่อย
แล้วก็มีตุ๊กตุ๊กคันหนึ่งใจถึง ขับรถมาเทียบที่พวกเรายืนอยู่ ถามว่าเรารออะไร พอเราบอกไป
เค้าบอกว่า “ที่คิวรถตู้ก็มีรถนี่ เมื่อกี้ก็เห็นอยู่ พวกรถตู้เค้าก็นอนที่คิวนั่นแหล่ะ ไปมั้ย เดี๋ยวพาไป คนละ 20 เอง”
ด้วยความที่เรารีบ กลัวรถตู้เค้าจะออกไปก่อน เพราะ 6 โมงนิดๆแล้ว เราก็เลยยอมไปด้วย
เราแอบนินทาป้าผู้หวังดีคนก่อนหน้าว่า “แม่ง หมั่นไส้คิวรถตู้รึเปล่าวะ แล้วมาอำเรา บาปมั้ยนั่น”
และแล้ว...พี่ตุ๊กตุ๊กก็พาเราขับเลี้ยวเข้าตลาด เลี้ยวขวา เลี้ยวซ้าย แล้วก็เลี้ยวซ้ายอีกที มาจอดที่คิวรถตู้เดิมเด๊ะ เราอึ้งๆ แล้วสงสัยว่าทำไมตัวเองไม่เดินมา แต่ฟ้าเหมือนจะรู้ว่าเราคิดอะไรอยู่อีกแล้ว
พี่ตุ๊กตุ๊กบอกเราว่า “รอที่นี่แหล่ะ เดี๋ยวรถก็มา มาแน่ๆ ไม่ต้องห่วง”
เราก็ยืนรอต่อไปด้วยความหวัง พร้อมกับพยายามวิเคราะห์ว่า ระหว่างพี่ร้านขายข้าว, ตุ๊กตุ๊กคันแรก, ตุ๊กตุ๊กคันที่สอง, ป้าที่หวังดี (?) ที่บอกเราว่ารถคันแรก 7 โมงครึ่ง และตุ๊กตุ๊กคันที่สาม ใครกันแน่ที่หลอกกู ระหว่างนั้นเรายังพยายามโทร.หาเบอร์ที่คิวแปะไว้ข้างรั้ว ในที่สุดก็โทร.ติด ถามเค้าว่า รถตู้ไประโนดคันแรกตอนไหน
เค้าบอกว่า “7 โมงครึ่ง” เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางกระหม่อมบางๆของพวกเรา 4 คน เปรี้ยง!
วางโทรศัพท์ หัวเราะให้กับความเกรียนของตัวเอง ในหัวเห็นภาพ ป้าผู้หวังดีวิ่งผ่านเข้าเส้นชัย ชูมือชนะเลิศ มีริบบิ้นโปรยใส่ตัวแก รับเหรียญเชิดชูเกียรติไป ที่เหลือแม่งหลอกกูหมดเลย
หันไปกระซิบบอกทุกคนว่า “ตอนนี้ สิ่งที่กูไม่อยากเจอมากที่สุดก็คือป้าคนนั้น หวังว่าแกคงไม่ลืมอะไรแล้วกลับมาเอาหรอกนะ กูอายเค้าว่ะ แถมยังไปนินทาเค้าอีก เค้าน่ะไม่บาปหรอก กูนี่แหล่ะ รับไปเต็มๆ”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ไอ้ปุ้ยบอก “พี่ๆดูนั่น”
กลับหลังหันไป ฮ้า...ป้าคนเดิมเข็นรถกิ๊โกะ กิ๊โกะ เดินกลับมาเปิดประตูบ้าน กูรีบหันหนีเลย ตอนนี้แหล่ะที่หิริโอตัปปะเริ่มทำงาน ป้าคงด่าพวกเราในใจ ‘กูบอกแล้ว พวกมึงก็ไม่เชื่อ สมน้ำหน้า’
เราพยายามปลอบใจตัวเองว่า เอาวะ...ก็อะไรๆที่เราไม่รู้ทาง มันก็ต้องเสียค่าโง่เป็นธรรมดา แต่คิดแล้วก็เจ็บใจ ประหยัดมันทุกอย่าง เพื่อเอาตังค์มาจ่ายโหมดค่าโง่หมด เราคิดเหตุผลขึ้นมาได้อีกว่า ตุ๊กตุ๊กคันสุดท้าย เค้ากลัวว่าถ้าพาเรามาตรงๆ มันจะดูหยามสติปัญญาเราเกินไป เลยพาเราเลี้ยวเป็นมุมสี่เหลี่ยมคางหมู เราตัดสินใจไปเดินในตลาดกับไอ้ปุ้ยและชนาเพื่อหาอะไรกิน ไอ้ต้นขอยืนโง่อยู่กับที่ พวกเราเลยบอกว่า “งั้นเดี๋ยวซื้อมาเผื่อก็ได้”
เราเดินไปตามทางที่พี่ตุ๊กตุ๊กคันสุดท้ายพามา เราเดินไปเดินมา สำรวจตรอกซอกซอย เดินจนไกลกว่าที่เค้าพาเรามาหลายเท่านัก เดินไปจนเจอจุดต่างๆ วงเวียนที่เค้าพาเราผ่าน
เราคุยกันว่า “นั่นไงๆ วงเวียนตะกี๊นี้ แม่ง...กูกินข้าวแล้วยังโดนหลอกอีก เซ็งว่ะ เมืองท่องเที่ยวทุกเมืองมันต้องเป็นอย่างงี้เหรอวะ”
ก็เข้าใจนะว่าทำมาหากิน แต่มันมีพื้นฐานที่ไม่ซื่อมากเกินไป เสียตังค์เราไม่ว่า แต่มันทำให้เราดูโง่ซ้ำแล้วซ้ำอีก โง่ซ้ำซ้อน ถ้าเค้าบอกเราซัก 2 ประโยค ทุกอย่างกระจ่างเลย แต่เค้าเลือกที่จะเอาตังค์เรา 80 บาท แลกประโยคจากเรา 1 ประโยค “ไอ้คนไม่มีน้ำใจ”
เล่าให้น้องๆฟังว่า สมัยอยู่สุรินทร์ตอนม.ต้น อาจารย์ให้แสดงละครสั้นหน้าห้อง มีเพื่อนแสดงเป็นเด็กสุรินทร์บ้านนอก (ตัวตนจริง) เข้ามาในเมืองบางกอก ลงรถบัสที่หมอชิตเก่า (สถานี BTS หมอชิตปัจจุบัน) ต้องการไปตลาดเจเจ เป็นเด็กบ้านนอกอยากเปิดหูเปิดตา อยากทันสมัย บอกให้แท็กซี่พาไป เจอแท็กซี่ใจดี อาสาพาไปส่ง เอาแค่ 200 เด็กบ้านนอกตกลงอย่างเร็ว พี่แกพาขับวนไปมา พอมาถึงแล้วลงจากรถ พบว่ามันอยู่ตรงข้ามกันกับจุดเกิดเหตุที่จากมาเพียงแค่ข้ามถนน บ้านนอกขนาด...คนกรุงก็ใจร้ายขนาด เป็นการแสดงโดยใช้ภาษาสุรินทร์พูดตกร่องเสียงเขมร ตลกมาก...จำได้จนถึงทุกวันนี้ (ทุกวันนี้เพื่อนที่แสดงคนนั้น เป็นสัตวแพทย์ใจดี ตอนน้ำท่วม ออกไปช่วยหมาตลอด จนมีทีวีไปทำข่าว และนิตยสารมาสัมภาษณ์ น่าชื่นชมมันจริงๆ)
พวกเราไปกินก๋วยเตี๋ยว แล้วเข้าเซเว่นฯ ซื้อฟุตลองไปฝากไอ้ต้น ก่อนบรรยายความโง่โดยรวมของพวกเราให้มันฟังอย่างละเอียด จะได้ซึมซับร่วมกัน ความจริงระหว่างเดินเล่นในตลาด เราก็ไปเจอรถตู้ที่จอดในตลาด เลยลองถามว่าถ้าจะเหมา จะราคาเท่าไหร่ เค้าบอกว่า 3,000 บาท รีบมูนวอล์คถอยหนีในทันใด เพราะถ้านั่งรถตู้ตามเวลาคันแรก เราจะเสียตังค์คนละ 90 บาท ตอนที่เดินกลับมาหาไอ้ต้น เป็นเวลา 7 โมง 20 แล้ว
มีคำถามว่า “กูตื่นตีสี่ทำไม”
ตอนนี้ตัดภาพกลับไปตอนที่ด่าไอ้ต้นว่า ‘ไอ้ฟาย’ เมื่อคืนนี้ มันเป็นภาพที่สามารถทิ่มแทงให้เราเจ็บปวดได้ ถ้าเราเพียงแต่...เพียงแต่...(เฮ้อ...ถอนหายใจดีกว่า) ทุกอย่างคงจะดีกว่านี้
รถตู้เจ็ดโมงครึ่ง หมายความว่า มา 7 โมงครึ่ง ออกตอน 8 โมง แล้วไม่พอ เค้ายังไปจอดแวะตามจุดต่างๆ อย่างชิวๆ เหมือนจะมีน้ำใจ อันนี้ก็พอเข้าใจได้ ตามประสาคนไม่รีบร้อนอะไร แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือ ทำไมมึงต้องให้กูนั่งอัด 5 คนด้วย จะเป็นปลากระป๋องอยู่แล้ว เรานั่งแถวแรก อัดไป 5 คน แถวสอง 4 คน แถวสาม 4 คน แถวสี่ 4 คน ข้างหน้าอีก 2 คน รวมคนขับอีก 1 คน รวมทั้งหมด 20 คน นี่มันรถตู้หรือว่ารถสิบล้อขนหมูวะ
เรานั่งริมหน้าต่าง ได้นั่งมองวิว ในขณะฟ้าครึ้มฝนตกมันก็สวยดีหรอกนะ แต่ว่าพอกูหันขวาไป ขอบเหลี่ยมแว่นกูก็ชนหน้าต่างเลยนี่ มันหมายความว่าไงฟะ ความหมายคือ กูไม่มีพื้นที่ให้ไหล่ได้ยืดตรงๆด้วยซ้ำไป นั่งห่อไหล่ไปตลอด หลับบ้างตื่นบ้าง ผ่านอำเภอสิงหนคร สทิงพระ แล้วก็ถึงระโนด ลุงคนขับชอบบีบแตร เจออะไรกีดขวาง แกบีบหมด ฝนตกเยอะ...
บอกไอ้ต้นว่า “กูเอาร่มมาว่ะ”
ต้นถามว่า “อยู่ไหน”
เราบอกมันด้วยความภูมิใจ “เอาไว้ที่โรงแรมว่ะ เพราะว่าเอามาเผื่อเฉยๆ”
พอ ไปถึงจุดที่บอกแกไว้คือ วัดหัวเค็ด อำเภอระโนด ฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ ฟ้านั้นครึ้มอยู่แล้ว ไม่มีศาลา ไม่มีร่ม ถือชินจังมาอ่านด้วย กลัวหนังสือเปียก เอาชินจังเสียบไว้ในเสื้อ แล้วก็ข้ามถนน มีลูกศรชี้แสดงว่าวัดอยู่ในถนนนี่แหล่ะ มองไปเห็นเมรุ นั่นไงๆ วิ่งเข้าไปตามถนนดิน ตอนเกือบสิบโมง ความตั้งใจเดิมคือเราจะมาประมาณ 7 โมง เห็นพิธีตั้งแต่โกนหัวเป็นต้นไป ตอนนี้ความตั้งใจอันสมบูรณ์แบบได้ล่มสลาย มองเข้าไปในโบสถ์ มีพระอุปปัชฌาย์ และพระรูปอื่นๆ นั่งล้อมพระใหม่ ภาพที่ด่าไอ้ต้นเมื่อคืนพุ่งมาเสียบอกอีกครั้ง เจ็บแปล๊บ...ช่างเถอะ ขอไปฉี่แป๊บหนึ่งก่อน ไม่ไหวแล้ว...
ห้องน้ำวัดต่างจังหวัด ด้วยความที่ลืมคิด เพราะปวดฉี่มาก อากาศเย็นยิ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นเข้าไปอีก ห้องน้ำมีเป็นสิบ ทางซ้ายของผู้ชาย ทางขวาของผู้หญิง เราเป็นผู้หญิงก็วิ่งไปทางขวา ถามว่าห้องน้ำมากมาย ทำไมต้องล็อคกุญแจ คนปวดฉี่มาถึงห้องน้ำแล้วเค้าไม่ได้ฉี่เพราะมีอุปสรรค ถามว่าคนสร้างอุปสรรคบาปมั้ย มีห้องหนึ่งเปิดไว้เป็นทางสว่าง ปวดฉี่มาก และอารามดีใจเหมือนเห็นสวรรค์ รีบวิ่งเข้าไป
“ขอโทษนะน้องๆ แต่กูขอก่อนเถอะ กูปวดมากแล้ว”
แต่แล้ว...เมื่อเปิดประตูเข้าไป ก็ผงะหงาย...แค่ชั่ววินาทีที่มองเข้าไปในโถส้วม แทบจะหงายหลังตึง กรอภาพกลับวิ่งออกมาแทบไม่ทัน มันมีขี้! ที่มีคนไปสาดไว้ คนเราสามารถขี้สาดกระจายโถ เหมือนสาดสีใส่ผืนผ้าใบได้ยังไง ตอนนี้ปวดฉี่และจะอ้วกด้วย...โกรธคนล็อคกุญแจมากกว่าเดิมอีก อย่าให้กูรู้นะว่ามึงเป็นใคร...
โชคดีที่มีผู้ชายมาด้วย วิ่งไปที่ห้องน้ำชายแทน ห้องน้ำมากมาย เปิดให้แค่ 1 ห้องเหมือนกัน ชนากำลังเข้าอยู่ เราเต้นฟุตเวิร์ครอด้านหน้า ชนาออกมา ขอกูเข้าล่ะนะ พอปิดประตูปุ๊บ มองเห็นขัน ถังน้ำ น้ำและส้วม เป็นเงาตะคุ่มๆ ไม่มีไฟ จะเปิดประตูห้องน้ำเอาแสงสว่าง หน้าก็ไม่ด้านพอ เอาวะ...ต้องใช้เซ้นส์ช่วยด้วย พอฉี่เสร็จจะราดน้ำ ก็สังเกตเห็นว่า ถังน้ำและขันมันอันเกือบเท่ากัน ใครมันคิดวะ ราดน้ำแล้วก็ยังเกาหัวเดินออกมา สงสัยอยู่ดีว่าใครมันคิด และมันเป็นคนเดียวกับไอ้คนล็อคกุญแจประตูมั้ย
ฝนก็ยังตกอยู่ เดินไปที่โบสถ์ เพื่อเข้าไปนั่งชื่นชมพระใหม่ใกล้ๆ และฟังสวด เข้าไปนั่งข้างหน้าสุด (เพราะไม่มีที่เหลือแล้ว) พระนั่งหันหลังให้เรา มีพระใหม่อีกรูปหนึ่งบวชด้วย มีพระอุปัชฌาย์นั่งตรงกลาง ล้อมด้วยพระอื่นๆที่มาสวดให้ ไม่รู้เรียกว่ายังไง เรามองพระใหม่ ความตลกกำเริบ อากาศเย็นเลยอารมณ์ดี มาตลกอะไรตอนนี้ก็ไม่รู้ ไร้กาลเทศะที่สุด เห็นหลวงพี่ด้านหลัง ด้วยน้ำหนัก 105 กิโลกรัมของหลวงพี่ทำให้ร่างใหญ่มาก หัวโล้นแล้ว สะพายบาตรไว้ด้านหลัง แต่บาตรดูเล็กมากเมื่อเทียบกับตัว เลยสะพายเหมือนเป็นกระดองเต่า คือมีด้านฝาบาตรแนบสนิทติดกับหลัง นึกถึงคูริริน Dragon ball Z ขึ้นมาซะอย่างงั้น แล้วก็แอบขำหลวงพี่คูริรินอยู่คนเดียว
พยายามสงบสติอารมณ์ ฟังพระสวด แล้วมองไปที่ญาติๆ หันไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ใส่ชุดผ้าไหมสีส้มอ่อน หน้าตาเหมือนหลวงพี่เปี๊ยบ คิดว่าเป็นโยมแม่
หันไปบอกปุ้ย “มองไป รู้เลยเนาะว่าคนไหนแม่”
ปุ้ยก็เออออ “ใช่ๆ”
ปุ้ยถ่ายรูปพิธี สาดกล้องใส่โยมแม่หลวงพี่แหลกเลย แล้วทีนี้พระก็หันมาด้านข้าง เพื่อให้โยมพ่อ -โยมแม่ใส่บาตร และประเคนของถวาย พ่อก็ขยับ ส่วนแม่ที่นั่งติดพ่ออยู่ ใส่เสื้อลูกไม้สีขาวซะอย่างงั้น หน้าตาไม่เหมือนหลวงพี่ก็จริง แต่เหมือนพี่สาวที่เราเคยเห็นอย่างกับเคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ถามว่า แล้วคนเสื้อส้มเป็นใคร ทำไมเหมือนกว่า...
ปุ้ยบอกว่าไม่กล้ายืนถ่ายรูป เราก็เลยเอากล้องมายืนถ่ายให้ ถ่ายไปเยอะๆ ยังไงก็ต้องมีสวยบ้างแหล่ะ ตอนฟังสวดและยืนถ่ายรูป น้ำตามันไหลแฮะ ขนาดเราไม่ได้เป็นญาติสนิทอะไร เรายังดีใจเลย รู้สึกปลื้ม รู้สึกอิ่ม รู้สึกดีที่มาเห็น เวลาอยู่ในวัด อยู่ในพิธีสวด มันสงบ เย็นมาก เหมือนได้อยู่ในที่ที่ดี เหมือนสิ่งเหล่านี้ช่วยโอบอุ้มจิตใจ เหมือนว่าถ้าเราอยู่ด้วยนานๆ มันจะหล่อหลอมเราให้คิดดี ปฏิบัติดีได้ คิดไปเองรึเปล่าไม่รู้ แต่รู้สึกดี พิธีไม่ใหญ่เลย ง่ายๆ คนไม่เยอะ ฝนตก พระสวด ดูสงบ ดูร่มเย็น
ความสงบโดนทำลายด้วยเสียงไอ้ปุ้ย “พี่นุ้ย ซองที่เค้าฝากมา เราก็ใส่ตอนที่เสร็จพิธีก็ได้เนาะ”
เราทำหน้าอึ้ง ไอ้ปุ้ยคิดว่าเราหูตึงตามปกติ มันก็พูดใหม่ซ้ำอีก 2 รอบ
เราบอกมันว่า “นั่นไม่ใช่ปัญหาว่ะปุ้ย ปัญหาคือข่าวร้ายที่ว่ากูลืมซองไว้ในเป้ที่โรงแรม”
ทีนี้ ความอึ้งก็ครอบงำเราทั้งคู่ กูจะบาปมั้ยวะ คนที่บริษัทฝากซองตามมา เพราะให้ไม่ทัน มีประมาณ 6-7 ซอง ทำไงดีวะ เราได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อนความสะเพร่าของตัวเอง ปกติจะไม่รับฝากอะไรใครเลย เพราะมันมักจะเป็นแบบนี้แหล่ะ ครั้งนี้คิดว่ามาหลายคน เดี๋ยวจะมีคนเตือน จะโทษคนอื่นก็ไม่ได้ เวรกรรมจริงๆ
พอ เสร็จพิธี มาจูนกับไอ้ปุ้ยใหม่อีกที บอกว่าแม่ของพระนี่ใส่เสื้อขาวนะ
ไอ้ปุ้ยเถียงว่า “ใส่เสื้อส้ม ดูหน้าสิ เหมือนกันเด๊ะ”
เราก็บอกว่า “ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ะ ว่าทำไมเหมือน แต่ที่บอกได้ว่าคนนี้เป็นแม่ เพราะว่าหน้าเหมือนพี่สาวพระมากๆ และนั่งคู่พ่อ เพราะฉะนั้นก็ร้อยเปอร์เซ็นต์”
แต่วันนี้พี่พระไม่ได้มา เพราะติดสอบที่กรุงเทพพอดี เลยไม่มีหลักฐานของความเหมือนมายืนยัน
ปุ้ยบอก “อ้าว ทำไงดี ถ่ายรูปแต่คนเสื้อส้ม” เราบอกว่า ไม่เป็นไร ไหวตัวทัน ถ่ายตอนใส่บาตรไปเยอะแล้ว
เรา เดินเข้าไปไหว้พ่อแม่ของพระ แล้วทักว่า แม่หน้าตาเหมือนโบตั๋นมากเลยค่ะ แม่บอกว่าเป็นพิมพ์นิยม แม่เรียกโบตั๋นว่า พี่ตั๋น เพราะคิดว่าเราเป็นเพื่อนพระ ฮ่าๆๆ ไม่รู้ว่าจะดีใจดีมั้ย โบตั๋นอายุน้อยกว่าเรา 6 ปี ส่วนพระอายุน้อยกว่าเรา 8 ปีทีเดียว แอบหัวเราะเข้าข้างตัวเองอีกดีกว่า...ฮ่าๆๆ
เราถามแม่พระว่า “คนชุดส้มคนนั้นใครคะ หน้าเหมือนหลวงพี่หนุ่มมากกว่าแม่อีกค่ะ”
แม่เริ่มร่ายความสัมพันธ์ว่า “อาสะใภ้ค่ะ ชื่ออาอ้อย เป็นแฟนของอานิยม (?) คอยดูแลเรื่องบวชให้ทุกอย่างเลย เพราะพ่อแม่ไม่ว่าง”
แม่พระยิ้มแย้ม แลดูเรียบร้อย สมกับที่เป็นคุณครูผู้ใหญ่ แม่พระย้ายจากปัตตานีขึ้นมาอยู่ที่อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลาแล้ว และพ่อก็จะตามมาในเร็ววัน หลังทักทายพ่อ-แม่ตามมารยาทแล้ว เราก็ไปนั่งโซ้ยอาหารใต้ที่เค้าทำไว้เลี้ยงแขกกันต่อ
เมื่อหลวงพี่ฉันเพลเสร็จ ก็ได้ถ่ายรูปแบบยืนห่างๆด้วยกันเล็กน้อย
เราบอกหลวงพี่ว่า “ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยดี แต่ก็ต้องถาม คนที่บริษัทให้ถามว่าหลวงพี่ชอบเลขอะไร”
หลวงพี่อมยิ้ม เหมือนพระใหม่โดนลองของ แล้วบอกว่า “ทะเบียนรถพ่อผมแล้วกัน”
ก็เลยวิ่งไปถ่ายรูปเอาไว้ยืนยัน พวกเราเอาเงินที่คนเค้าห่อริบบิ้นเป็นดอกกุหลาบสวยงามที่เค้าฝากมาถวายให้หลวงพี่ ให้หลวงพี่เอาไปถวายวัดต่อไป เงินถุงนี้จริงๆ สำหรับโปรยทาน แต่เรามาไม่ทัน และฝนตกด้วย ก่อนหน้านี้ที่บริษัทก็ได้ฝากมากับหลวงพี่แล้ว 1 ลัง ถุงที่ตามมานี้ไม่พลาดที่จะเอามาด้วย (เหมือนซอง) เพราะคนถือมาคือไอ้ต้น อยากจะร้องไห้ตรงที่ ทำไมไม่เอาซองอื่นๆใส่รวมกับถุงใบนี้ แล้วฝากไอ้ต้นไว้ที่เดียว เฮ้อ...เบื่อตัวเอง
สารภาพกับหลวงพี่ไปว่ามีเงินซองอีกนะ แต่ลืมเอามา เหมือนหลวงพี่จะชิน แต่โต้ตอบอะไรเราไม่ได้ต้องสำรวม เราบอกไปว่า ขอถวายหลังบวชนะ แล้วหลวงพี่ค่อยเอามาถวายวัด อย่างนี้จะได้มั้ย หลวงพี่ก็ไม่ว่าอะไร บอกหลวงพี่ไปว่า ต้องสวดมนต์เยอะๆนะ ฝึกสงบจิตใจ คิดให้ดี แล้วทุกอย่างก็จะดีหมดแหล่ะ การบวชเราก็ได้ทบทวนตัวเองด้วย ตั้งใจให้มากๆนะ เวลาน้อยก็ไม่เป็นไร หลวงพี่บอกว่า หลังจากนี้ก็จะไปจำวัดที่ปัตตานีชื่อวัดศรีมหาโพธิ์ หลวงพี่ถามว่า แล้วจะไปไหนต่อ เราบอกว่าเดี๋ยวพ่อชนาจะพาไปเที่ยว
ชนาผู้ไม่พูดบอกก่อนกินข้าวว่า “เดี๋ยวพ่อมารับไปบ้าน แล้วก็ไปเที่ยว”
บ้านชนาอยู่ที่อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ห่างจากระโนด 30 กิโลเมตร ตอนกินข้าว มีผู้ชายมีอายุหน่อย มีหนวดหนาๆ มานั่งกินกับพวกเรา
เราถามชนาว่า “แล้วพ่อจะมาตอนไหน”
ชนามันชี้ชายมีหนวดที่นั่งติดกันว่า “นี่ไงพ่อ”
ไอ้ชนา กูเชื่อมึงแล้ว เชื่อมึงเลย นอกจากมึงไม่คุยกับเพื่อนๆแล้ว ยังไม่คุยกับพ่อด้วย พ่อมึงนั่งตั้งนาน ไม่แนะนำซักคำว่านี่พ่อผมนะคร้าบท่านผู้ชม แล้วกูจะรู้ได้ยังไง ว่าใครเป็นใคร
มันบอกอีก “อ้าว...นึกว่ารู้กันแล้ว” พูดเรียบๆ ซื่อๆ ด่ามันไม่ลงจริงๆ
เลยได้แต่สบถลอยๆไป “กูจะรู้ได้ยังไง หน้าแม่งก็ไม่เหมือนกัน แล้วมึงก็ไม่คุยกับเค้าด้วย มึงมุขรึเปล่าเนี่ย...”
พ่อ ชนาเป็นผอ.โรงเรียนประถมที่หัวไทร แม่เป็นครูโรงเรียนมัธยม พ่อแม่คุยเก่งและใจดี ส่วนชนาน่ะเหรอ ไอ้ใจดีนี่ของแน่ แต่เรื่องคุย อย่าไปถึงขั้นเก่งเลย แค่มันอ้าปากพูดออกมา ก็ถือว่าสำเร็จแล้ว ปุ้ยเคยบอกว่า เคยล้อเพื่อนที่เงียบมากแบบนี้ว่า แม่ให้มาแค่วันละ 100 คำ ต้องใช้อย่างประหยัด หมดแล้วจะพูดอีกไม่ได้ ต้องกลับบ้านไปขอมาใหม่ คอนเซ็ปท์นี้เหมาะกับมึงมากๆ...ไอ้ชนา!
พ่อ ชนาพาไปเที่ยวทะเลน้อย เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่พัทลุง บรรยากาศชนบท ใหญ่และดูสวยงาม สบายตา ทะเลสาบกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา มีชาวประมงหาปลาบนเรือเล็กๆ มีคนมาตกปลาที่ริมสะพาน อากาศไม่ร้อน ไม่มีแดด ฟ้าครึ้ม ไอ้ต้นเสนอให้ถ่ายรูปกระโดดเด็กไชโย ออกมาน่ารักมาก ไม่สมกับหน้าตาเลยซักนิด
ชนาบอกว่า “ขอยืนเฉยๆนะ ไม่กระโดด ถ่ายได้เลย”
พ่อพาไปตรงที่เค้าดูบัวชมพูกันด้วย อันนี้เป็นไฮไลท์ของทะเลน้อย แต่ตอนนี้น้ำท่วม ก็เลยไม่มีบัวให้ดู ซักดอกก็ไม่มี เราพยายามเล่นมุข ‘บัวชมพู ตอด’ ที่ฟังมาจากรายการไก่คุ้ยตุ่ยเขี่ย ไอ้ปุ้ยแสยะยิ้มและส่ายหน้า
สองข้างทางไปทะเลน้อย มีควายนอนแช่น้ำให้เห็นเป็นระยะๆ ควายที่นี่ไม่อยู่ตามปลัก แต่อยู่ในทะเลสาบกันเลย เป็นควายทะเล มีควายเผือกด้วย
บอกไอ้ต้นว่า “ควายมันไกล เห็นแต่หัวและเขาโผล่ออกมาจากน้ำ พอหันมาเห็นมึง เหมือนเลยว่ะ เห็นเต็มตัวเลยด้วย”
ที่นี่เค้าปลูกข้าวกัน มีต้นตาลตามคันนา สวยเย็นๆ สบายตามาก
พ่อ ชนาพาไปบ้านที่หัวไทร เกรงใจที่บ้านเค้ามาก แม่เอามะม่วงน้ำปลาหวานมาให้กิน เข้าทางเราอีกแล้ว ก่อนหน้านั้น แม่หั่นมะม่วงแล้วโดนมีดบาดด้วย ต้องสนองคุณแม่ชนาด้วยการกินให้เกลี้ยง พ่อซื้อข้าวหลามมาให้กินด้วย เกรงใจอีกแล้ว เพราะพ่อคิดว่าที่กรุงเทพและอีสานไม่มีให้กิน ไม่รู้จะเป็นการทำร้ายจิตใจมั้ย...เราบอกไปว่า มีเหมือนกัน แต่ที่ดังๆจะเป็นหนองมน ซึ่งเป็นกะทิหนาๆข้นๆ เราไม่ชอบกิน ชอบแบบนี้มากกว่า ที่อีสานก็มีแห้งๆแบบนี้แหล่ะ แต่ที่พ่อซื้อให้นี่อร่อยดี มีกลิ่นไหม้หอมๆ เพราะเพิ่งเผาใหม่ๆ พ่อแม่ใจชื้นขึ้นมา ยิ้มโล่งอก คงเพราะว่าในที่สุดก็มี ‘ดีกว่า’ จนได้
กินส้ม กินแอปเปิ้ล หลายอย่างมาก และก็มานั่งโม้ที่ลานหน้าบ้าน ปุ้ยชวนถ่ายรูป 4 แชะ 5 แชะ ก็คุยกันสนุกสนานไป ปุ้ยเล่าเรื่องชนาโดนมอมเหล้าเมาตอนงานเลี้ยงปีใหม่บริษัท พอเมาแล้วก็นั่งคารวะโต๊ะ แม่ฟังแล้วหัวเราะที่ได้ยินความมีมารยาทอันเกินเหตุของลูกชาย ปุ้ยโชว์รูปที่ยังไม่ลบออกจากกล้องเป็นหลักฐาน แม่ก็ชอบใจบอกว่า “เวลาอยู่บ้าน พ่อชวนกินเหล้ากินเบียร์ โอ๊ตไม่กินหรอก” (ชนามีชื่อเล่นจริงๆว่า โอ๊ต) บ้านชนามีปลาบู่ 1 ตัว เลี้ยงไว้ในท่อซีเมนต์ ปลาบู่มันไม่เคลื่อนที่ไปไหน อยู่นิ่งๆ นี่เป็นปลาบู่เป็นๆตัวแรกที่ได้เห็นตั้งแต่เกิดมา เคยเห็นแต่ในละคร ‘ปลาบู่ทอง’ ว่าแล้วก็ร้องเพลงให้ฟังกันซะเลย บ้านมันมีชมพู่มะเหมี่ยวด้วย เห็นแต่ต้นและดอก ไม่มีลูก สวยดี อยากให้ที่อีสานมีบ้าง
แม่บอกว่าตอนเด็กๆ ชนามันคุยเก่งนะ...กูล่ะนึกภาพไม่ออกจริงๆ แม่เอารูปตอนเด็กของลูกๆมาให้ดูด้วย เด็กชายชนาตัวน้อยชนายิ้มบานแฉ่งฟันหลอ น่ารักนะ...(ไม่เหมือนตอนนี้.) พ่อบอกว่าส่งชนาเข้าไปเรียนในเมืองตั้งแต่ ป.4 ตอนเด็กขยันมาก ต้องสอนหนังสือกันจนถึง 6 ทุ่ม ไม่งั้นมันไม่ยอมนอน โห...ชนา กูฟังแล้วนึกว่าเป็นประวัติด๊อกเตอร์ ใครจะคิดว่าโตมา...ไอ้เด็กด๊อกตอร์คนนั้นมันจะกลายร่างเป็นมึงวะ Amazing ดี เหมือนกัน พ่อ-แม่เรามักจะจำประวัติของเราได้ติดตาเสมอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ เล่าได้เหมือนเพิ่งผ่านมาหยกๆ ฟังแล้วก็รู้สึกดี
เรานั่งนินทากุ้งทอดที่หาดใหญ่ให้พ่อฟัง พ่อได้ฟังดังนั้นก็ลุกพรวดขึ้นมา แล้วบอกว่า “พ่อลืมไปเลย” พร้อมบอกแม่ว่า เดี๋ยวไปซื้อกุ้งมาทำให้ลูกกินก่อน ว่าแล้วก็คว้ามอเตอร์ไซด์ขับไปตลาดใกล้บ้าน ความจริงที่พูดไป ไม่ได้มีเจตนานี้เลย รู้สึกเกรงใจมาก เมื่อพ่อเสนอมา เราก็ทำท่าปฏิเสธไปเต็มเสียงว่า “มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ”
แม่ให้ไปช่วยทำน้ำจิ้มในครัว ไม่ถึง 15 นาทีพ่อก็กลับมาพร้อมกุ้งสด หอยแครง และปลาย่างในมือ ตอนนั้นบ่าย 3 แล้ว และมีวี่แววว่ารถเที่ยวสุดท้ายเข้าหาดใหญ่จะเป็นรอบ 5 โมงเย็น
พ่อบอกว่า “ไม่ต้องรีบร้อน อย่างมากก็นอนที่นี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปส่ง”
คือพ่อจะเข้าหาดใหญ่อยู่แล้ว แต่เราไม่ได้อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น เพราะเรามาแต่ตัวพร้อมเสื้อผ้าที่ติดตัวมาแค่นั้น แถมมันก็เหนียวๆ เพราะโดนฝนเมื่อเช้าด้วย ไม่พร้อมค้างคืนสุดๆ เลยรีบล้างกุ้ง ล้างหอย...(ว้า ดูไม่ค่อยสุภาพเลย ทั้งๆที่เอาไปทำให้มันสะอาดแท้ๆ) แล้วแม่ก็นึ่งให้อย่างรีบด่วน
แล้วพวกเรา 4 คน ก็แปลงสภาพเป็นอีแร้งลงด้วยความเร็วสูง จากที่กินผลไม้และข้าวหลามก็ว่าพอดีแล้วนะ นี่มีกุ้ง หอยแครง และปลาย่างตัวใหญ่อีก 1 ตัว ซัดกันจนพุงกาง พ่อสอนวิธีแกะกุ้งที่ถูกต้องด้วย ไม่เสียเวลาในการแกะมาก คนท้องถิ่นมักจะมีอะไรดีๆมานำเสนอเสมอ พ่อเอาขามันออกให้หมด ตัวมันก็จะร่อน แกะเปลือกที่หลังมันอันหนึ่ง แล้วก็ดึงที่หาง เปลือกก็หลุดปึ๊ดออกมาเลย แค่เนี้ย...ง่ายจริงๆ ใช้ชีวิตผ่านมาหลายสิบปี ทำไมเรื่องแค่นี้ ไม่เคยคิดเองได้วะ
แล้วแม่ก็เดินมาบอกว่าหุงข้าวยังไม่สุกเลย นึกในใจ...โหยังไม่หมดเมนูเหรอวะเนี่ย เมื่ออิ่มจากอาหารทะเลแล้ว แม่ถือหม้อข้าวออกมา อยากจะเอาหัวเขกเสาบอกระเบียงว่าอิ่มแล้วดังๆ แต่เรื่องจริงก็คือ แม่ยกแกงไตปลาข้นๆตามออกมา ยกผักสดชามใหญ่ออกมา ยกแกงจืดร้อนๆออกมา อยากจะบ้าตาย...
ทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว “ชนา! ตัก ข้าวมาจานหนึ่ง”
ได้ข้าวแล้วก็เอาแกงไตปลาราดข้าวสวยร้อนๆ กินไป...ไอออกปากไป ทั้งเผ็ดทั้งร้อน แล้วเคี้ยวผักสด อย่างถั่วฝักยาว และผักกระเฉดเย็นๆตาม พอเผ็ดก็ซดน้ำแกงจืดร้อนๆตาม แค่นี้ก็สุขมากแล้ว ชีวิตจะดิ้นรนหาอะไรนักหนา...
ซัดกันจนคำว่าพุงกางอาจจะยังน้อยไป แล้วก็เหลืออีก 5 นาที 5 โมงเย็น พ่อบอกว่า...จานที่กินเสร็จ ก็ทิ้งไว้อย่างงี้แหล่ะ เดี๋ยวแม่จัดการเอง แล้วให้ทุกคนรีบล้างมือ พ่อจะไปส่งขึ้นรถเมล์ (คนที่นี่เค้าเรียกรถบัสว่ารถเมล์) ไปถึงที่รอรถ แดดร้อนมาก...แดดตอนเย็น แดดผีตากผ้าอ้อม โคตรเกลียดเลย...คิดอยู่ในใจ เหมือนไอ้ต้นมันรู้ มันบอกว่า ผมชอบแดดแบบนี้มากเลย ไอ้ต้นเป็นมนุษย์ตรงกันข้าม ไม่เคยมีความเห็นตรงกันซักอย่าง...เวร...
ไหว้พ่อเสร็จแล้วพ่อก็ไปธุระต่อ ซักพักยังย้อนกลับมายืนส่งจนพวกเราขึ้นรถตอนห้าโมงเกือบครึ่ง สิ่งที่รู้สึกดีอีกอย่าง คือ เรามักจะพบว่าคนที่เรารู้จัก มักไปรู้จักกับคนที่เรารู้จักอีกคน อีกคน แล้วก็อีกคน ในกรณีนี้ แม่ชนารู้ว่าแม่ไอ้หมี ทำงานเป็นผู้จัดการธนาคารกรุงเทพ อยู่ที่หัวไทรนั่นเอง ซึ่งอีหมีเคยเป็นน้องที่ทำงานที่สนิทกัน ออกไปนานหลายปีแล้ว ตอนนี้ก็มาทำธุรกิจยางพาราอยู่ภาคใต้ อาทิตย์ก่อนยังได้เม้าท์กันผ่านทาง fb เรื่องมุขธนูปักเข่าอยู่เลย น้องไอ้หมีเป็นเพื่อนของหลวงพี่หนุ่มและชนา เชื่อมโยงถึงกันไปหมด อีกหนึ่งอย่างที่น่าแปลกใจก็คือ ชนามันแพ้กุ้ง ลมพิษขึ้นตามหน้าและแขน แค่เห็นก็น่าขนลุกแล้ว เป็นเด็กใต้แต่เสือกแพ้กุ้ง แต่ก็สมควรอยู่หรอก...แม่งเล่นกินทั้งเปลือก อารมณ์ขี้เกียจจะแกะ
นั่งรถบัสหวานเย็นกลับเข้ามาหาดใหญ่คนละ 65 บาท เนื่องจากไม่ใช่สถานีต้นทาง พวกเราเลยไม่ได้นั่งติดกัน เราอยากเย็นเป็นพิเศษ เลยไปนั่งตรงข้างหน้าสุด ตรงบันไดทางขึ้น มีที่เดียว มองวิวก็ชัด ลมก็เย็น นั่งกระหยิ่มได้ไม่ถึงสิบนาที เด็กเก็บตังค์เดินมาบอกให้ไปนั่งข้างใน เราถามว่านั่งตรงนี้ไม่ได้เหรอ เค้าก็ยืนยันว่าให้ไปนั่งข้างใน เราเลยถามไปว่า ทำไมถึงนั่งตรงนี้ไม่ได้คะ เค้าบอกแบบรำคาญ ผมจะนั่งช่วยนายหัวดูรถ...เออ มึงบอกกูตั้งแต่แรกกูก็เข้าใจ มีเหตุมีผลก็ลุกง่ายๆตั้งแต่แรกแล้ว ก็เลยไปนั่งที่ถัดไปที่ไม่มีเก้าอี้ข้างหน้าบัง ลมก็ยังเย็นสบายอยู่ ฝนตกเป็นระยะ ทำให้การนั่งรถธรรมดาไม่ร้อนมาก แต่เหนียวตัวดีชิบเป๋ง พอฝนตก ลมเย็นๆ เริ่มหนาว นึกถึงสิ่งที่เอามาเผื่ออย่างเสื้อกันหนาว มันนอนแอ้งแม้งอยู่หาดใหญ่ไม่ถือมา จะแบกข้ามครึ่งประเทศมาทำไมก็ไม่รู้
ถึงหาดใหญ่ก็ลงรถที่สามแยกคอหงส์ แล้วต่อรถสองแถวมาลงตลาดกิมหยงคนละ 10 บาท เดินต่ออีกหน่อยก็ถึงโรงแรม ชนาแวะซื้อล๊อตเตอรี่ 2 ใบ เลข 848 ทะเบียนรถที่หลวงพี่หนุ่มบอกมา
เราเลยบอกมันว่า “มึงไม่ต้องจ่าย ใช้เงินกองกลางได้เลย ถ้าถูก...ก็รวยด้วยกันดีมั้ย ถ้าไม่ถูก...มึงจะได้ไม่ต้องเสียเงินคนเดียวไง” มันอยากรวยคนเดียวมั้ย เราไม่รู้ แต่เราเป็นพี่ เราบังคับแม่งเลย
เดินกลับมาถึงห้องตอนสามทุ่มในสภาพสะโหลสะเหล และต้องดูสามหนุ่มเนื้อทองตอนจบด้วย โอย...ไม่ไหวแล้ว อาบน้ำอุ่นแรงๆ ให้หายเมื่อยแล้วนอนดีกว่า จำได้ว่าก่อนหลับกำรีโมทไว้ในมือ นอนห่มผ้า ปากก็พูดกับไอ้ต้นที่นั่งกินเบียร์อยู่ ไอ้ปุ้ยก็อยู่ในโลกบีบีจินตนาการไม่รู้จบของมันไป เราพูดอยู่ดีๆ แล้วถ่านมันก็หมดเอาดื้อๆ ไม่รู้หลับไปตอนไหน
ตื่นมาขี้ตอน 6 โมงเช้า น่าดีใจมากที่เมื่อวานท้องไม่ทรยศ กินเข้าไปหลายขนานและปริมาณขนาดนั้น ปกติมันไม่น่ารอด คงเป็นเพราะอาหารสะอาดและกินตอนร้อนๆด้วย ตื่นมาขี้ตามหน้าที่ มีขี้ให้ขี้เยอะมาก แล้วด้วยความปวดเมื่อยก็ไปล้มตัวลงนอนอ่านชินจัง แล้วก็หลับไปอีกรอบหนึ่ง ตื่นมาอาบน้ำจริงๆก็แปดโมงกว่าแล้ว ดูทีวี นั่งคุยกันไป กว่าจะอกจากห้องก็เกือบ 11 โมง ลงไป Check out และฝากกระเป๋า
ป้าใจดีคนเดิมถามว่า “ได้ฮ่ะ จะมารับกี่โมงฮ้า”
บอกไปว่า “บ่ายๆค่ะ”
ป้าถามต่อ “บ่ายกี่โมงฮ้า บ่ายสอง บ่ายสามฮ้า”
บอกไปว่า “ประมาณนั้นแหล่ะค่ะ” ถ้าได้คุยกับแกนานๆ มีหวังติดคำว่า ‘ฮ้า’ จากแกแหงๆ ฟังแล้วตลกดี น่าล้อเลียน
ณ จุดนั้นหิวมาก เดินตามถนนไปเรื่อยๆ อยากกินติ่มซำ หรือไม่ก็ไก่ทอดหาดใหญ่ เดินไปมั่วๆก็หาไม่เจอซักที มีร้านหนึ่งเป็นร้านบะกุดเต๋น่าจะเปิดใหม่ ไม่มีคน ติ่มซำที่มีคือซาลาเปาอย่างเดียว แต่หลวมตัวเข้าไปนั่งแล้ว ตอนแรกเซ็งๆ ที่เจอบะกุ๊ดเต๋หม้อไฟฟ้า ไม่ได้กินอย่างที่ตั้งใจไว้ หงุดหงิดเล็กน้อย เอาเป็นว่ากินแค่นิดหน่อยแล้วค่อยไปหาอะไรกินต่อละกันวะ
บะกุดเต๋ร้านนี้มันเหมือนเอ็มเคสุกี้ อยากกินอะไรก็สั่งๆไป มีกระดูกอ่อน หัวใจหมู ไส้หมู เนื้อหมู แนวๆนี้ อยู่ในหม้อไฟฟ้าแบบเร่งไฟได้พร้อมกับน้ำสีดำ เหมือนตุ๋นยาจีน แล้วก็ใส่ผักชุดใหญ่ลงไป มีผักกาดขาว ผักสลัด ผักกาดแก้ว เห็ดเข็มทอง เห็ดหิมะ (น่าจะใช่แหล่ะ) เห็ดแชมปิญอง กินกับข้าวหอมเจียว เออว่ะ...อร่อยมาก จากที่ตั้งใจว่ากินนิดเดียว ก็เปลี่ยนเป็นกินเอาอิ่มกันไปเลย นั่งก็นาน กินก็เยอะ แถมมี Promotion Check-in หรือเข้าไปกด Like ใน Facebook ก็ได้เครื่องดื่มฟรี 1 แก้วด้วย พอได้กินของอร่อยก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาในทันใด หัวเราะเริงร่าได้ ที่ร้านเอาฟองเต้าหู้ทอดมาให้ชิมฟรีด้วย เค้าบอกว่ามาจากมาเลเซียนะ จะไม่เหมือนของที่นี่ เราเห็นมันเป็นกรอบๆฟูๆ จับได้ก็เอาเข้าปาก กัดกร๊วบๆ มันจะออกจืดๆหน่อย สงสัยต้องจิ้มจิ๊กโฉ่ล่ะมั้ง เด็กในร้านเดินมาบอกว่า เอาไว้ต้มกินในหม้อครับ กูว่าแล้ว...
กินไปเยอะแยะ หมดไป 600 บาท ซึ่งถือว่าแพงที่สุดในทริปนี้ ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลยว่าจะสามารถทำได้ ตอนที่บอกน้องๆก่อนมาว่า เราจะกินอาหารถูกๆทุกมื้อเลยนะ มีแต่คนทำหน้าแสยะยิ้มใส่ ตราหน้าว่าคนอย่างพี่เนี่ยนะ ฝันไปเถอะ พอเห็นอาหารอยู่ตรงหน้า ก็ลืมคำพูดตัวเองหมดแล้ว แต่เชอะ...เป็นไงล่ะ ถูกทุกมื้อ ยิ่งมื้อที่ไปกินบ้านชนา ไม่ต้องเสียตังค์เลย สุโค่ย...
ออกมาจากร้าน คิดว่าจะไปฆ่าเวลาที่ไหนดีน้อ ก็มีตุ๊กตุ๊กตามมาหลอกไม่รู้จักจบจนได้ ถามน้าตุ๊กตุ๊กว่าที่นี่เค้าไปเที่ยวไหนกันบ้าง แกบอกว่า ไปไหว้พระนอนมั้ย นักท่องเที่ยวไปไหว้กันเยอะ เหมารถไปกลับ 200 บาทเป็นค่าโง่ ใกล้มากอีกแล้ว (ถ้านั่งสองแถวจะคนละ 10 บาท) ไม่เป็นไร ถือว่ากระจายรายได้ ครั้งนี้ไม่ได้ศึกษาสถานที่มาก่อนเลย ไปถึงวัดหาดใหญ่ จำนวนนักท่องเที่ยวเท่ากับศูนย์คนพอดี มีแต่คนขายดอกไม้ธูปเทียน (20 บาท) กระเบื้องบริจาค (100 บาท) แล้วก็อะไรนี่แหล่ะ จำไม่ได้ แต่ราคาเดียวกันคือ บริจาค 1000 บาท ให้ตายเถอะ...เราชอบมาวัดนะ แต่ไม่ชอบระบบพุทธพาณิชย์ ศรัทธาดำดิ่งลงทุกทีเลย เหมือนจะบอกว่า คนจนมาวัดอย่างนี้ไม่ได้ เมื่อโลกหมุนไป ศรัทธาก็สามารถซื้อขายได้ บาปมั้ยไม่รู้ที่คิดอย่างงี้ แค่คิดตามที่เห็น มันห้ามไม่ได้จริงๆ รู้สึกว่าของบางอย่างไม่ควรเป็นสิ่งซื้อขาย
พวกเรา 4 คน ทำสังฆทาน 1 ชุด เพราะพระที่อยู่หลังพระนอนท่านเอ่ยปากถาม ก็เลยคิดว่าการปฏิเสธกุศลเป็นเรื่องไม่สมควรเท่าไหร่ สังฆทาน 100 บาท ใส่ซองถวายหลวงพ่ออีก 100 บาท อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เดินออกมาถ่ายรูปนิดหน่อย และคิดว่าเราไม่ไปวัดแล้วดีกว่า เลยไปถามน้าตุ๊กตุ๊กว่า ถ้าให้ไปส่งที่สวนสาธารณะหาดใหญ่จะคิดตังค์เท่าไหร่ เค้าบอกว่าถ้าส่งอย่างเดียวก็คิด 300 บาท เลยบอกแกไปว่า “งั้นช่วยไปส่งพวกหนูที่ตลาดกิมหยงนะคะ” คือเอาพวกกูกลับไปส่งที่เดิมก็พอละ จากนั้นถามรถสองแถวที่ตลาดกิมหยง ที่เขียนข้างๆว่าหน้าสวน ว่าผ่านหน้าสวนสาธาระมั้ย เค้าบอกว่า “ผ่าน” รีบวิ่งขึ้นในทันใด ขับออกนอกเมืองไป 10 กิโลได้ เลี้ยวเข้าไปจอดในสวนเลย ราคาคนละ 10 บาท ทั้งหมด 40 บาท
ในสวนสาธารณะมีหุ่นโคมไฟรูปสัตว์ตัวใหญ่ๆเยอะมาก เราไปถ่ายรูป ชนาบอกว่าพ่อมา และจะพาพวกเราไปส่งที่สนามบินเองเย็นนี้ โห...พ่อชนาตามมาใจดีต่อถึงหาดใหญ่เลย พ่อหิวข้าวในขณะที่พวกเรายังอิ่มมาก เราเลยไล่ชนาไปกินข้าวกับพ่อ ส่วนเรา ไอ้ปุ้ย ไอ้ต้น ไปเดินถ่ายรูปกับหุ่นโคมไฟ ในวันฟ้าใส แดดร้อนจ้า เหงื่อแตกซ่ก ตัวเหนียวไปหมด ปุ้ยบอกอยากถ่ายรูปกับ ออพติมัส ไพรม์ หุ่นทรานสฟอร์เมอร์ที่แสนโด่งดัง มายืนโชว์หุ่นแมนๆ อยู่ไกลอีกซีกโลกหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แถมกลางคืนยังเรืองแสงกลายเป็นโคมไฟได้อีกด้วย เท่สาดดดด...
ไอ้ปุ้ยตื๊อเหมือนเด็กสิบขวบ อยากถ่ายรูปด้วยให้ได้ แต่ด้วยความที่อยู่ไกล เลยไปเช่าจักรยาน 2 ตอน นั่งได้ 3 คนพอดี รีบปั่นไปเพราะชนาโทร.มาบอกว่าพ่อกินข้าวเสร็จแล้ว จ่ายค่าจักรยานไป 40 บาท เค้าให้ใช้ได้ 1 ชม. ปุ้ยปั่นตอนหน้า ต้นปั่นตอนสอง ส่วนเรานั่งซ้อนท้ายเฉยๆ รู้สึกได้ถึงความร้อนรนของหนอนจักรยานเรา ปั่นหน้าตั้งไปที่ที่พี่ออพติมัสสถิตย์อยู่ จากนั้นก็ถ่ายรูปคนละ 2 แชะ เราทำท่าเลียนแบบหุ่นเลย หุ่นก็ดูเท่ดีนะ แต่เรา...เหมือนแย้หารูไม่เจอเลยว่ะ มีเด็ก 8 – 9 ขวบมารอต่อคิวกับผู้ปกครอง เด็กมองเรางงๆ เลยหันไปยิ้มบอกเด็กว่า ทำท่าให้เหมือนกันเลยนะ จะเท่มาก...
แล้วก็รีบปั่นจักรยานกลับกันหน้าตั้งเอามาคืน คนให้เช่าซึ่งขายถั่วต้มอยู่ทำหน้างงๆ จากไปไม่ถึง 10 นาที พวกมึงเอามาคืนแล้วเหรอ พ่อชนาพาเราไปเที่ยวบนเขา ที่อยู่ในสวนฯนี่แหล่ะ ไปไหว้พระพรหม และเจ้าแม่กวนอิม ไม่เสียตังค์ และไม่เสียศรัทธา อยากบริจาค บริจาคเอง ไม่บังคับกัน พระพรหมทรงช้าง ช้างรอบๆเยอะมาก อยู่บนเขาสูงๆเลย มีบริการกระเช้าไฟฟ้า (Cable Car) ด้วย คนไทย 100 บาท ต่างชาติ 200 ก็ไม่แพง แต่ไม่ได้นั่งเพราะนั่งรถพ่อชนาขึ้นมา สวยดีนะ แอบเหมือนต่างประเทศหน่อยๆ ถ้าได้ดูตอนเช้าตรู่ในขณะที่มีหมอก หรืออากาศหนาวๆคงสวยมาก
ไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่ยังสร้างไม่เสร็จแต่ก็เกือบๆแล้ว ประดิษฐ์จากหินหยกขาว 8 ท่อน สูง 9.90 เมตร ขาวจั๊วะ ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าใส สวยมาก ด้านใต้องค์เจ้าแม่ มีห้องที่ปูด้วยหินอ่อน มีรูปปั้นเทพแปดเซียนประดิษฐานอยู่ทิศละองค์ ที่ฐานของรูปปั้นเซียนแต่ละองค์จะมีหินอ่อนสลักอธิบายชื่อ ความเชี่ยวชาญ สิ่งที่ชอบ และคุณสมบัติว่าเป็นเทพเกี่ยวกับอะไร มีเซียนหนึ่งเป็นเทพแห่งความซื่อสัตย์ ตุ๊กตุ๊กที่นี่ควรนับถือเซียนองค์นี้แหล่ะ จะได้ไม่หลอกนักท่องเที่ยว ตรงกลางห้อง (ที่บริเวณเดียวกันกับองค์เจ้าแม่ด้านบน) ก็จะมีเจ้าแม่กวนอิมรูปหล่อองค์เล็กๆสีทอง วางรอบฐานเป็นวงกลม เรียงเป็นชั้นๆ ขึ้นไปถึงเพดาน เราก็ไม่รู้จักประวัติอะไรท่านมาก เคยเห็นแต่ในหนังจีนอย่างพระถังซำจั๋ง รู้แต่ว่าท่านเป็นเทพที่ดี
ปุ้ยเช่าพระหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดที่นี่ เป็นชุดพระผงปี 2553 ราคา 199 บาทเอง และเป็นรูปหล่อโลหะองค์เล็กๆ อีก องค์ละ 50 บาท เราไม่เห็นตอนมันเช่า มาดูกันก็ในรถแล้ว เรามัวแต่ไปชื่นชมเซียน ก็เลยอดเช่าพระไปฝากพ่อตัวเองเลย คิดไม่ออกว่าในอนาคตจะฝากใครมาเช่าได้ ต้องขึ้นไปบนเขาด้วย น่าเสียดายจริงๆ สำหรับการเช่าพระ
ไอ้ต้นปล่อยมุขอัปลักษณ์ว่า “มึงเช่า แล้วเมื่อไหร่จะเอามาคืน”...อยากจะไว้อาลัยให้มุขมันจริงๆ
มีหอดูดาวเล็กๆบนเขาด้วยนะ ถ้าอากาศหนาวคงจะสวยจริงๆแหล่ะ แต่ภาคใต้ดันไม่มีหน้าหนาว ก็เลยไม่รู้เหมือนกันว่าตอนกลางคืนจะเป็นยังไง แต่ก็น่าจะสวย พ่อชนาพาเรากลับลงมาตอนบ่ายสองกว่าเพื่อจะไปเอากระเป๋า แล้วไปสนามบินกัน บอกพ่อว่าอยากไปถึงสนามบินประมาณบ่ายสามครึ่ง เครื่องบิน flight 16:45 เวลาที่กะไว้ก็น่าจะกำลังดี ไปเอากระเป๋าเป้ที่โรงแรม ขอบคุณคุณป้าใจดีที่เราฝากกระเป๋าไว้
แล้วพ่อก็พาขับรถจากมา ไปหลงทางด้วยกันอีกหน่อย เพราะทางที่ไปเหมือนมันจะอ้อมๆเมือง อาจจะเป็นเพราะพ่ออยากอยู่กับลูกชายผู้ไม่พูดนานมากขึ้น ขับและถามทางไปจนเจอป้ายชี้ไปสนามบินเข้าจนได้ วิ่งตามป้ายไปอีก 10 กิโล ก็ถึงสนามบิน และฝนก็เทลงมาอย่างหนัก ไม่น่าเชื่อว่าเราเหยียบอาคารผู้โดยสารตอนบ่ายสามครึ่งพอดีเป๊ะ ไหว้ขอบคุณสำนึกในความมีน้ำใจอย่างต่อเนื่องของพ่อชนาครั้งนี้มากๆ พ่อบอกว่าให้เรามาเที่ยวกันใหม่ ชอบจริงๆ ไอ้ประโยคแบบนี้เนี่ย ไม่ว่าเค้าจะพูดจริงหรือพูดเล่น แต่เราได้ทดเก็บเอาไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว
ขึ้นเครื่องบิน Airbus A320 ของ Air Asia flight FD3144 กลับถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ ถึงห้องตอนสองทุ่มนิดหน่อย โคตรเหนื่อย ถ้าไม่รวมค่าเครื่องบิน พวกเราเสียตังค์ไปสนนราคารวมคนละ 1,500 บาท กินอิ่มนอนหลับ และควรต้องบันทึกเก็บไว้จดจำ...
ปล.
1. 70% ของที่อยู่ในเป้ ไม่ได้ใช้งาน...ถามว่า กูแบกไปทำมะเขืออะไร...
2. หวยออก 54 เฮ้อ...ไม่มีรางวัลสำหรับคนโลภจริงๆ
It’s me
คนเขียนความทรงจำ...
18 มกราคม 2555