วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

บันทึกเพราะนึกได้ 27-12-54

                ใกล้ปีใหม่เต็มทีแล้ว เดือนนี้ของทุกปี มักจะเป็นเดือนที่สั้นที่สุดในความรู้สึก เพราะเป็นเดือนวุ่นวาย มีอะไรให้ทำตลอดไม่ว่างเว้น...(ที่ไม่ใช่งาน) ต้องพบปะเพื่อนฝูง ทั้งพวกเก่าแก่ใกล้ขาด เหมือนไปต่ออายุ และเพื่อนๆน้องพี่ที่พบเห็นกันเป็นประจำในปัจจุบัน ต้องกินเลี้ยง ต้องซื้อของขวัญ ที่จะสรรหาส่งเดชก็ไม่ดีอีก ต้องเขียนส.ค.ส.ซึ่งคงมีคนทำอยู่ไม่เท่าไหร่แล้ว แต่เรายังงมงายในเสน่ห์ของตัวหนังสือ ที่อ่านออกบ้าง ต้องแกะเอาบ้าง ให้คนได้รับมันอึ้งพูดไม่ออกด้วยที่ว่า เราเขียนไปอวยพรหรือเขียนไปแช่งมันกันแน่


                ต้องซื้อหนังสือที่มีคูปองลดราคาในมือก่อนที่จะหมดอายุ อันนี้สำคัญมาก เพราะการอ่านเป็นการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งสติปัญญา ตอนนี้มันได้งอกออกมาเป็นต้นกล้าที่ยังไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่ เราต้องเติมให้มันกล้าเข้าไปอีก ไหนจะยังต้องซื้อ DVD มาเติมเชื้อเพลิง อย่าให้ตัวเองได้มีโอกาสเจอความเหงา ไอ้ที่พูดมาทั้งหมดนี่ก็ไม่มีเรื่องจำเป็นเลย แต่ก็เลี่ยงไม่ได้สักอย่างเดียว เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว


                วันนี้ตอนบ่ายๆจะต้องขึ้นรถจากปากน้ำไปซีคอน (ลงทุนลางานเพื่อไปสะสางความยุ่งเหยิงให้ตัวเอง) เห็น ‘รถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชน’ สาย 145 วิ่งมา เรายืนอยู่เลยป้ายรถเมล์ไม่ถึง 10 เมตร นึกได้ว่าอากาศไม่ร้อน อยากนั่งบ้าง ก็ยกมือโบก แล้วมันก็วิ่งผ่านหน้าเราไปหน้าตาเฉย มีใครไม่รู้บอกว่า ‘รถเมล์ฟรี วิ่งหนีประชาชน’ ขอได้รับการ confirm และฟันธงจากเราเพิ่มอีก 1 คน มีอย่างที่ไหน ทำกันต่อหน้าต่อตา ไอ้ทีเวลาจะจอดล่ะก็ เสือกจอดเลยป้าย กูล่ะงง...พยายามทำใจว่า กูยืนเลยป้าย (มานิดหน่อย) จริงๆ...กูผิดเองก็ได้ว้า...


                ช่วงเทศกาลปีใหม่ ห้างคนเยอะมาก ตอนขากลับต้องขึ้นรถเมล์ไปร้านอาหารเพื่อกินเลี้ยงแดกล้างผลาญปีเก่า ผู้คนเบียดเสียดแย่งกันขึ้นรถปอ.อย่างไม่สนใจคนรอบข้าง ไม่ได้เจอสภาพแบบนี้มาระยะใหญ่แล้ว เพราะรถบริษัทผ่านที่อยู่ตลอด โลตัสก็อยู่ข้างๆกัน เลยแทบไม่กระดิกตัวไปไหน พอไปไกลหน่อย ก็ใช้บริการแท็กซี่ เสี่ยงดวงเอาว่าจะเจอแท็กซี่มีสีมั้ย พอมาเจอคนแย่งกันก็เลยเหมือนไม่ค่อยชิน จากรถที่ว่างอยู่ ตุ้บๆๆๆ วิ่งขึ้นมาก็เต็มรถแล้ว


                เรายืนจับเสาที่ใกล้ประตูหน้า ด้วยความที่ถือของเยอะ ถุงมันก็เผลอไปโดนผู้ชายที่นั่งอยู่เข้า เค้าก็เอาขาขยับหนี แล้วทำหน้าเหมือนรำคาญ เราก็ขยับถุงเราออกมาถือให้ห่างๆเค้า แล้วเค้าก็ทำเป็นหลับต่อไป รถเมล์มันก็เคลื่อนตัวไปได้ทีละไม่มากตามสภาพการจราจรบนท้องถนน ที่ไม่รู้จะติดไปไหนนักหนา ด้วยความที่มาคนเดียว กิจกรรมระหว่างการรอคอยจึงกลายเป็นฟังชาวบ้านคุยกัน จะบอกว่าไม่ตั้งใจ ก็ไม่ค่อยจะถูกนัก เอาเป็นว่าตั้งใจฟังเค้า แต่เราไม่เสือกละกัน สัญชาตญาณการฟังแล้วเหยียบก็มีอยู่สูงเหลือเกิน แต่ขอเหยียบไปทุกๆที่ที่เดินผ่านละกัน หวังว่าจะไม่ถูกเหยียบคืนนะ


                น้องม.ปลายที่ยืนอยู่ใกล้เรา เม้าชมรุ่นพี่คนหนึ่ง ใจความสำคัญว่า “ชั้นว่าพี่เค้าคงเป็นคนประหยัดเนอะ ขนาดมือถือยังใช้แค่ iPhone 3 เอง” เหอะๆ...ฟังแล้วเศร้า ไม่อยากจะหยิบซัมซุงโกโรโกโสของเราออกมาโทร.เลย อายเด็กมัน มันเห็นเข้าคงหาว่าเราขี้เหนียวเป็นแน่แท้ น้องเค้าอยู่ม.ปลาย ไอโฟน 3 น้องเค้าใช้คำว่า “แค่” แถมชมว่าประหยัดด้วย โลกวัตถุนิยมนี่มันกลืนกินจิตวิญญาณผู้คนได้จริงๆด้วย ถ้าน้องเรียนจบ น้องต้องมีเงินเดือนเท่าไหร่ ถึงจะวิ่งตามเทคโนโลยีทัน ยิ่งเป็นสาวก apple ด้วยแล้วล่ะก็ เหอๆๆ...ถ้าเงินเยอะแล้วเหลือมาซื้อเนี่ยเค้าเรียก ‘พอเพียง’ แต่ประเภทเงินไม่พอแต่ดิ้นรนให้ได้มานี่เค้าเรียก ‘เกินตัว’ นะ หรือคิดอีกทีหนึ่ง ความคิดเรามันจะเป็นแค่ช่องว่างระหว่างวัยที่ทำให้ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจเด็ก เราม่ายรู้ว่าวัยรุ่นต้องการอะรายยยย...


                เหยื่อรายต่อไปเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แกชื่อพี่อุ๋ย เป็นใครก็ไม่รู้ รู้แต่แกแต่งตัวเปรี้ยวปรี๊ดเข็ดฟัน กระโปรงสั้นรัดติ้วไปหมด ขาวๆ แต่เราไม่ได้ดูหน้า อยู่ๆแกก็รับโทรศัพท์ แล้วดันพูดดังๆตอนรอจะลงรถ “ฮัลโหล สวัสดีค่ะ พี่อุ๋ยนะคะ ที่คุณน้องติดต่อเข้ามาเรื่องฉีดหน้าอกน่ะค่ะ” ฮึ่ย...โจ๋งครึ่มมาก แล้วเจ้ากรรม อีฝ่ายนั้นเสือกไม่ได้ยินที่แกพูดอีก แกเลยพูดซ้ำรอบสองดังกว่าเดิม “พี่คือพี่อุ๋ยนะคะ ที่คุณน้องติดต่อไว้เรื่องฉีดหน้าอกน่ะค่ะ คุณน้องทิ้งเบอร์แฟนไว้ พี่โทร.ไป แฟนคุณน้องเลยให้เบอร์นี้มา” ตกลงว่าอีแฟนอยากมีแฟนนมโต “ตอนนี้พี่อุ๋ยมีรูปลูกค้าที่เพิ่งมาฉีดไปค่ะ เลยว่าจะส่งให้ดู เดี๋ยวนะคะ เดี๋ยวๆ” แล้วพี่อุ๋ยก็ก้าวลงจากรถไป ทิ้งเรื่องราวไว้ให้ต่อมสงสัยของเราทำงานต่อ...อีคนที่มาฉีดก่อนหน้ามันรู้ ตัวมั้ยวะ และมันยินดีเผยแพร่รูปนมตัวเองให้ใครก็ไม่รู้ที่ไม่รู้จักดูเหรอ...ใจกว้าง อะไรจะปานนั้น ถ้าเป็นไปได้...ก็อยากขอดูด้วยคนหนึ่งได้มั้ยอะ..


                โลกใบเดิม แต่ดูประหลาดมากขึ้นทุกวัน ผู้คนพยายามจะไขว่คว้าหาสิ่งที่ต้องการ ซึ่งไม่รู้ว่ามันคือความสุขรึเปล่า หรือมันนำพามาซึ่งความสุขรึเปล่า เราแอบมองน้องไอโฟนอย่างเจียมตัวเล็กน้อย พบว่าน้องเค้าก็มีอุปกรณ์พื้นฐานของเด็กกรุงเทพฯ ซึ่งนอกจากชุดนักเรียนที่รัฐบาลโกหกว่าแจกฟรีแล้ว เค้าก็ใช้กระเป๋านักเรียนหนังของจาค็อบใบละประมาณสามพันบาทด้วย นี่คือตัวแทนของเด็กนักเรียนในเมืองกลุ่มหนึ่งซึ่งอาจเป็นส่วนใหญ่ของสังคม นี้ ดูจากสไตล์การพูดจาแล้ว น้องน่าจะยังไม่มีงานทำอะไร ดีอยู่อย่างนะ ที่เด็กกรุงเทพฯมันฮิตรองเท้านักเรียนนันยาง ไม่ใช่ด๊อกเตอร์มาร์ติน อันนี้ขอชมเชย...ทำให้ของถูกเป็นกระแสจะดีต่อสุขภาพจิตของเด็กและผู้ปกครอง ส่วนใหญ่มากกว่า


                เคยคุยเรื่องแนวความคิดกับเพื่อนที่เป็นเด็กกรุงเทพที่หาเงินเก่งๆ มันบอกว่า เรามีชีวิตเชิงทฤษฎี ไม่ตามกระแส...(อันนี้อาจเพราะไม่มีตังค์) แต่ถ้าคิดว่าดี กูก็ตาม ไม่ชอบคนโกง...เล็กๆน้อยๆก็ไม่ชอบ เราบอกว่าเพราะมันทำให้พอเราทำเรื่องใหญ่ขึ้น เราอาจชินและไม่รู้ว่ามันคือสิ่งผิด มันบอกว่า ใครๆแม่งก็ทำกัน จะน้อยหรือมากแค่นั้นเอง เราบอกมันไปว่า เวลาเราเห็นคนทำไม่ดี จำเป็นมั้ยที่เราต้องทำตาม แล้วมาอ้างว่าทีคนนู้นคนนี้ยังทำเลย เราเป็นคนนะ เราเลือกได้ แต่บางทีพอเราเลือกผิด เราก็เลือกต่อว่าจะบิดเบือนมันซะเลย เวร...มึงซื้อของ แม่ค้าทอนตังค์เกิน มึงอมยิ้มดีใจและรับไว้ ไม่บอกเค้า อนาคตมึงก็มีโอกาสสูงที่จะอยากได้อะไรของคนอื่นโดยที่ไม่คิดว่ามันเป็น เรื่องผิด ทุกอย่างเริ่มจากเล็กๆเสมอ จะเติบใหญ่เป็นมหาโจรได้ มึงก็ต้องเริ่มจากเป็นโจรลูกกระจ๊อกนั่นแหล่ะก่อน มหาโจรบางคนใส่สูทผูกไท้ด้วยซ้ำ หัดแหกตาดูซะบ้าง...งานนี้ร่ายยาวววว....


                เราไม่ชอบคนทิ้งขยะไม่เป็นที่ เราชอบอ้างเรื่องการทิ้งขยะคนละชิ้น หกสิบล้านคนก็หกสิบล้านชิ้นต่อวัน ซึ่งความจริง ไอ้คนที่ทิ้งนี่มันไม่ทิ้งแค่ชิ้นเดียวหรอก ดูตามทางไปต่างจังหวัดสิ เกลื่อน...เปิดรถแล้วก็โยนแม่งเลย เวลาเห็นจะจะ อยากตามไปบอก หน้าบ้านเราที่สุรินทร์ก็อยู่ติดถนนใหญ่ โดนบ่อย บางทีปาขวดลงมา มาถึงพื้นก็แตกกระจายหมด พ่อเราต้องออกไปใส่บาตรตรงนั้น เค้าจะรู้มั้ยว่าเรื่องเล็กๆของเค้ามันทำให้คนอื่นเดือดร้อน ถ้าเราเห็นคนรอบตัวเราทิ้งนี่แม่ง...มีสวดกันยาว เราจะพูดจนกว่าสำนึกมันจะผุดนั่นแหล่ะ...


                เราไม่ชอบคนไร้จิตสำนึก ทำอะไรแล้วไม่รับผิดชอบ ไม่สนใจคนรอบข้าง เช่น ในโรงหนังคุยกัน หรือถอดรองเท้าตีนเหม็น ถ้ารู้ว่าเป็นใครนะ...เราจะบอกทันที บอกดีๆนะ ไม่ใช่ไปด่าเค้า เพราะถ้าเริ่มจากการด่า อาจหมั่นไส้ ความก้าวร้าวไม่ควรเป็นทางออกแรกในการแก้ปัญหา เราทุกคนควรช่วยกันรักษากฎ ระเบียบ ไม่ใช่ว่ากูแหกได้...เส้นกูใหญ่ แต่เส้นกูใหญ่กว่า...กูแหกได้เยอะกว่า เอาเข้าไป...ตกลงว่าตั้งกฎเอาไว้ใช้กับคนจนและคนไม่มีเส้นเท่านั้น


                เราชอบที่จะเห็นความเอื้อเฟื้อที่เราแบ่งให้คนที่เราไม่รู้จักคนละเล็กคนละ น้อย ช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส ให้เค้าได้เรียนหนังสือหรืออ่านหนังสือบ้าง จะได้มีความคิด เติบโตเป็นคนดีมีคุณภาพต่อไป ทั้งหมดนี่แหล่ะที่คนอื่นเค้าดูแคลน เค้าบอกว่ามันเป็นโลกทฤษฎี โลกทฤษฎีของเรามันยากตรงไหนวะ พูดออกมาดันอย่างกับขายฝัน คนฟังส่ายหน้ากันไปเลย ยืนๆคิดเพ้อเจ้อไปเรื่อย...ขณะที่ยังพิทักษ์โลกในตอนนี้ไม่ได้ อุลตร้านุ้ยก็ควรลงจากรถเมล์ก่อนดีมั้ย ว่าแล้วก็กดออด เดินลงจากรถดีกว่า...


                ต้องข้ามถนนที่เทพารักษ์ ข้างละ 3 เลน บางทีก็สี่ เพราะมีคนเพิ่มเอาเอง หลักการข้ามถนนใหญ่ตรงที่ไม่ใช่ไฟแดงง่ายๆ ก็คือ วิ่งไปรวมกลุ่มกับคนที่ยืนรอ ครั้งนี้กว่า 20 คน เยอะชิบเป๋ง ประเทศเราความถูกต้องบางทีก็มาทีหลัง ประชาธิปไตยแปลชุ่ยๆ ว่า คนหมู่มาก...มากๆเข้าไว้ ใช้มหาชนกดดัน เรามีสิทธิ์ถูกสูงมาก มักจะได้ผล ในกรณีของการข้ามถนน รถจะหยุดให้เอง เพราะอาจกลัวชนคนเข้า ถ้าติดคุกแล้วต้องคูณด้วยจำนวนคน ตายกี่รอบถึงจะพอชดใช้


                วันนี้ข้ามถนนด้วยการทำเหมือนเดิม คือไปยืนอยู่ด้านที่ถ้ารถชน เราจะโดนเป็นคนสุดท้าย...ความดีที่พูดมาทั้งหมดถูกหักล้างด้วยประโยคนี้เลย ใช่มั้ย...แต่พอถึงเกาะกลางถนนแล้วต้องข้ามต่ออีกครึ่งหนึ่ง ถ้ารถชน เราจะโดนเป็นคนแรกนะ...เอาความดีของเรากลับมาซะเถอะ...ฮ่าๆๆ...


                ไปเป็นแขกรับเชิญของงานเลี้ยงเพื่อนๆ ต่างแผนกในห้องคาราโอเกะ ที่ได้รับการขอโทษขอโพยว่ามีการจองซ้อนกับคนอื่น จึงถูกอัปเปหิไปอยู่ห้องคาราโอเกะรวม ก่อนมา...พี่ที่เป็นตัวตั้งตัวตี แกโฆษณาว่า ไม่ต้องกลัว ห้องรวมก็จริง แต่ถ้าเรายึดไมค์ได้ โต๊ะอื่นก็ไม่มีสิทธิ์ เค้าต้องฟังเราร้อง พอมาถึง เหมือนเจอคาถานะจังงัง อย่างที่ปากพี่แกว่าเลย แต่กลับกันนิดหน่อยตรงที่เจอโต๊ะอื่นยึดไมค์ เราไม่มีสิทธิ์ ต้องฟังเค้าร้องอย่างเดียว แต่ไม่รู้แกไปขุดหาเพลงมาจากไหน เป็นคาราโอเกะพันปี ร้องมาสิบ รู้จักไปหนึ่งเพลง เสียงแต่ละคนดีมาก โบราณเกินเอื้อนเอ่ย เหมือนมีผ่องศรี วรนุช ชรินทร์ นันทนาคร มาร้องให้ฟัง retro กันสุดๆ น้องๆบอกว่า ผมไม่เคยกินเหล้าเคล้าความเครียดขนาดนี้มาก่อน...ส่วนเราเครียดได้โดยไม่ ต้องกินเหล้า...


                นั่งอยู่เกือบสองชั่วโมง ภายใต้การขับกล่อมของบรรยากาศโบราณกาล เพลงใหม่ที่สุดที่ได้รับการขับร้องคือ เพลงแพ้ใจ และ เพลงใจนักเลง แต่ร้องในเวอร์ชั่นโบราณ จนเราสงสัยว่าจริงๆแล้ว ใหม่ เจริญปุระ และ อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ นำกลับมาร้องใหม่รึเปล่า ประทับใจจนต้องจดเอาไว้จำกันไปเลย สามทุ่มก็ขอตัวกลับไปสะสางความยุ่งเหยิงส่วนตัวดีกว่า ก่อนที่จะไปงานเลี้ยงบริษัทในวันพรุ่งนี้ ก่อนหยุดปีใหม่ 6 วัน


                แล้วชีวิตในปีเก่าก็กำลังจะผ่านเลยไปด้วยประการฉะนี้แล


It’s me…
ปีใหม่เท่าไหร่...แต่ก็เป็นคนเก่าเสมอ...
27 ธันวาคม 2554

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น