วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

เรื่องของกุมาร (ตอนที่ 2)

ยังไม่พอ...มีอีกครั้งหนึ่งนานแล้ว อันนี้เป็นหมอดู ซึ่งเรียกว่าพ่อปู่ ดูโดยใช้กุมารทอง ส่วนว่าจริงมั้ยต้องใช้วิจารณญาณกันเอาเอง คือเราไปกินสุกี้กับน้องที่ทำงานอยู่ดีๆ แล้วมันเสือกพาไป ก็เลยเลยตามเลย พ่อปู่ดูดวงให้ที่บ้านน้องคนหนึ่งชื่อไอ้นุ้ย ด้วยการส่งกุมารทอง ขับรถเต่าไปดู เป็นเด็กเป็นเล็กขับรถยนต์ ดูค้านๆยังไงก็ไม่รู้ แถมหายตัวเอาก็ได้ จะขับรถทำไมให้เมื่อย หิ้งที่กุมารทองอยู่เป็นหิ้งไม้หลายๆ ชั้น มีพระ มีกระถางธูป มีเทียน มีตุ๊กตากุมาร มีรถประจำตำแหน่งกุมารหลายคัน ของเล่นก็มีด้วย มีกล้วย มีผลไม้ และที่ขาดไม่ได้ก็คือ น้ำแดง น้ำอัดลมสุดโปรดของกุมารทองทั่วประเทศ

อยู่ๆ แกก็หยิบรถเต่าคันเล็กจิ๋วของกุมารขึ้นมาจากหิ้ง พลิกดูที่ล้อ แล้วก็ทัก...  “บ้านเอ็งทางไม่ค่อยดีเลยนะเนี่ย ดูซิรถลูกข้าสกปรกหมดเลย” เอาล่ะวะ...ในใจกูนี่ตาโตเท่าไข่ห่านไปแล้ว กุมารทองขับรถเต่า ความรู้ใหม่...ไอ้ที่คิดว่าน่าเบื่อ โลกสดใสขึ้นมาในทันใด ไอ้นุ้ยบอกว่า จริงนะ บ้านมันทางเข้าบ้านไม่ค่อยดี เอ๊า...แม่นอีก แสดงว่าไปจริง ว่าแล้วพ่อปู่ก็เช็ดรถใหญ่เลย ประมาณว่าสกปรกมาก ดีนะที่ไอ้นุ้ยไม่ต้องออกค่าล้างรถให้

การดูดวงวันนั้น ทุกคนฟันธงว่าแม่น แต่ที่สำคัญก็ตัวเรานี่สิ...ก็อยากจะดูบ้าง เพราะรู้สึกว่าสนุกจริงอะไรจริง พ่อปู่เสียงดังใส่เราว่า “เอ็งอยากถามอะไรก็ถามมา” “เอ่อ...หนูไม่ค่อยสันทัดเรื่องดูดวงค่ะ หนูจะถามอะไรดีคะ” พ่อปู่ตบเข่าฉาด... ”ง่ายๆเลย ถามเรื่องลูกเป็นยังไง”  ฮ้า...ไปไม่เป็นเลยกู “คือหนูยังไม่มีลูกค่ะ จะบอกไงดีล่ะคะ สามีก็ยังไม่มีค่ะ แม้แต่แฟนก็ไม่มี” ดูพยายามไปมั้ยที่จะยืนยัน Status ของตัวเอง

พ่อปู่ตะคอกกลับมาเพื่อไม่ให้มึงได้เถียงออก “เป็นไปไม่ได้ ก็เห็นอยู่ ว่าอยู่กับลูก อยู่กับเด็ก ไม่มีจริงๆเรอะ” ฮ้า...อุทานซ้ำในใจอย่างดัง เด็กที่ไหนวะ กูอยู่หอ อยู่คนเดียวด้วย นับทุกวันก็มี 1 คนนะ 1 คนจริงๆ ปากตอบออกไป “ค่ะ ก็อยู่หอ คนเดียวเลย” แล้วความแม่นแกก็ยังไม่หมด “อ๋อ...ถ้างั้นที่พ่อปู่เห็นก็เป็นกุมารทองนะ เค้าอยู่กับเอ็งมาตลอด อยู่มาตั้งนานแล้ว”

ในใจเราร้องเสียง หลงไปแล้ว พ่อปู่บอกต่อว่า “เลี้ยงเค้าดีๆล่ะ เลี้ยงดี เค้าก็ให้โชคนะ” แล้วถ้ามันจริงจะทำไงว้า หน้าเราคงเอ๋อไปแล้ว “เลี้ยงเลยเหรอคะ เลี้ยงยังไงคะ” พ่อปู่บอกรำคาญๆในความรู้ชั้นหางอึ่งของเรา “ก็ถวายน้ำแดงสิ หรือแล็คตาซอยก็ได้ กุมารชอบ เค้าจะให้โชคนะ” พอได้ยินคำว่าโชค ทุกอย่างก็หมดความหมาย

อารมณ์เสียดายเสือกถามออกไปอีกว่า “ถวายให้กุมารตอนกลางคืน ตอนเช้ามันเหลือ (มันต้องเหลืออยู่แล้ว) หนูเอามากินได้มั้ยคะ” พ่อปู่เสียงดังส่ายหน้าอย่างระอาว่า “ของลูก ของน้อง เราจะแย่งกินเรอะ”...เออ เปล่าค่ะ คิดว่าเค้าอิ่มแล้วก็เสียดายอ่ะ คืนนั้นก่อนกลับ พ่อปู่ล้วงกระถางธูปที่มีขี้เถ้าเต็มไปหมด คุ้ยขมิ้นขึ้นมาให้เราแง่งหนึ่ง บอกว่า เอาไป...ของดี...เราก็เอาของดีใส่กระเป๋าเสื้อกลับมา

พอได้ กลับห้องตอนสามทุ่ม ทีนี้แหล่ะมีบางอย่างตามกลับมาด้วย...มันคือ “ความกลัว” ...กลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง หรือตอนนี้อาจจะเป็น 1 คนและเพิ่มมาอีก 1 กุมาร กุมารก็คือผี แค่ตายตอนเป็นเด็ก อยู่มานานปี ตอนไม่รู้ก็ไม่เคยกลัวเลย พอรู้เข้า ไม่ต้องสนหรอกว่าจริงมั้ย ความกลัวมันล้อมเราไว้โดยละม่อมแล้ว ทำไงดีวะ ถ้ามีจริง...เราจะได้เห็นมั้ย ได้โปรดอย่าเลยวะ ว่าแล้วก็ออกไปหาอะไรมาถวายดีกว่า

เดินไป ปากซอย เข้าแฟมิลี่มาร์ท ซื้อมันทั้งน้ำแดงและแล็คตาซอยเลย เอาหลอดมาด้วย กลับมาถึงห้อง ซ้ายหันขวาหัน ห้องมันไม่มีหิ้งพระนี่หว่า (ที่ผ่านมาก็ไม่ได้นับถือพระ-เจ้ามากนัก เชื่อในระบบบุญ-บาปมากกว่า คิดว่าพระท่านไม่น่าจะเข้าข้างคนเลว) แล้วทีนี้...จะวางไว้ที่ไหนดีว้า หัวนอน...ก็เดี๋ยวมือจะไปฟาดโดน บนพื้นก็ดูไม่ดี ก็ไม่ได้อีก ตกลงว่าคืนนั้น เปิดฝาน้ำแดง เสียบหลอด ทั้งน้ำแดงและแล็คตาซอย วางถวายบนไมโครเวฟ สูงที่สุดที่ห้องเรามีอยู่ ก่อนนอนก็ไหว้ไมโครเวฟด้วย เพื่อความเป็นสิริมงคล

การกระทำนี้ของเรา ทำได้ประมาณ 3 วัน ความกลัวก็จากไป ความสงบสุขกลับคืนมาอีกครั้ง ส่วนของดี...ขมิ้นที่พ่อปู่ให้มา ก็ไม่กล้าทิ้ง เอาไปเก็บใส่ลิ้นชักไว้ ผ่านไปหลายเดือน มองที่ลิ้นชัก อะไรเขียวๆ แล่บออกมาวะ ด้วยความขี้เกียจลุกไปดู ก็นึกๆ ว่าเรามีอะไรลักษณะนี้บ้าง แต่คิดไม่ออกซักที พอเดินไปเปิด ถึงกับขำกลิ้ง...ขมิ้นมันงอกออกมา ขึ้นต้นสีเขียวนั่นเอง...ดินน้ำอากาศ ไม่ได้เหมาะกับการเติบโตเล้ย ก็ยังอุตส่าห์กระเสือกกระสนงอกออกมาจนได้ ของดีจริงๆด้วยแฮะ เลยว่าจะเอากลับไปลงดินที่สุรินทร์ สุดท้ายก็ตายไป เพราะเราเอากลับสุรินทร์แล้ว แต่ลืมปลูกซะนี่

อีกครั้งหนึ่ง เราขึ้นแท็กซี่จากหน้าหอพักที่ถ.ศรีนครินทร์ พอบอกว่าไปรถไฟฟ้าอ่อนนุช ขึ้นรถปุ๊บ ปิดประตูปั๊บ แล้วพี่แท็กซี่ก็ทำหน้าที่สารถีอัธยาศัยดีทันที จะขึ้นรถไฟฟ้าไปไหนครับ เราก็เล่าปกติ อ๋อ..ไปหาเพื่อนในเมืองค่ะ แล้วเค้าก็เริ่มพูดถึงตัวเอง ด้วยการบอกว่า วันนี้โชคดีมาก ตอนเช้ามีคนเรียกไปสนามบินสุวรรณภูมิ แล้วก็มาเจอเรา โชคดี...เพราะมีลูกมาด้วย

เรายังไม่เก็ท คิดว่าพาลูกไปส่งที่ไหนก่อนแล้ว เลยถามว่า “แล้วลูกอยู่ที่ไหนคะ” ... “นี่ไง นั่งอยู่ข้างหน้าครับ” ฮ้า..รถทั้งคัน มีกูกับมึงนั่งอยู่สองคน ยังไงเนี่ยๆ มองเบาะหน้า ไม่มีใครนี่หว่า จะว่าเด็กมันเตี้ยก็ไม่ใช่ มองไปมองมา อ๋อ...พวงมาลัยดอกไม้เต็มรถ คงจะถวายใครเป็นแน่  ก็เลยถามไปแบบเอ๋อๆ... “ลูกเป็น..เอ่อ...อะไรคะ” แล้วทีนี้ เค้าก็ยิงมาหมดแม็ค เล่นเอาเราได้แต่นั่งยิ้มใบ้แดกไป ดีนะที่เป็นกลางวัน

พี่ เค้าเล่าว่า ลูกเป็นกุมารทอง ดีมากเลยนะ ตั้งแต่เลี้ยงเค้า จะโชคดีตลอด หาตังค์ได้เกิน 2000 ทุกวัน พอผู้โดยสารลง ก็มีคนใหม่เรียกต่อเนื่อง ตกลงว่าที่กูโบกรถแท็กซี่นี่เพราะกุมารทองดลใจเหรอวะ ว่าแล้ว...ทำไมไม่นั่งรถเมล์ ด้วยความเป็นคนขี้สงสัยและอยากรู้อะไรไม่เข้าเรื่อง ก็เลยถามไปว่า “เอ่อ...แล้วอย่างงี้ได้คุยกันมั้ยคะ” ใช้วจีทุจริตคิดจะไปถากถางเค้า ปรากฎเค้าบอกว่า  “คุยครับ คุยทุกวันเลย” เอาวะ...ไหนๆก็ไหนๆแล้ว “โทษนะคะ แล้วคุยยังไง” เค้าว่า “ก็โทร.คุยกัน” โทร.คุยกันด้วย โอ้โห...ยุคเทคโนโลยีจริงๆ ถ้าบอกว่า chat ล่ะก็ คงจะฮากว่านี้อีก เค้าเล่าว่าโทร.คุยกันผ่านร่างทรงที่นครนายก อ้อ...อย่างนี้นี่เอง ที่เค้าคุยๆไป...สิ่งที่เรารับรู้ได้อย่างหนึ่งก็คือ เค้าเป็นคนขยัน

เรา คิดว่า ที่พี่เค้าได้เงินเยอะนี่มันน่าจะมาจากความขยันของตัวเค้าเองนะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คงจะส่วนหนึ่ง ที่ทำให้เค้าคิดดี แล้วก็ทำให้ดี คนขยันมันก็ลำบากกว่าคนขี้เกียจอยู่แล้ว แต่ผลตอบแทนมันก็จะตามมา จะช้าหรือเร็วแค่นั้นเอง สำคัญคือต้องไม่ท้อแท้ไปซะก่อน คนขยันที่บรรลัยในตอนจบเพราะความซวยมันน่าจะมีน้อยมาก ในกรณีพี่แท็กซี่...เค้าจะคิดว่ามันเป็นเพราะมีใครบางคนที่เค้ามองหาแต่มอง ไม่เห็น (รึว่าจะว่ามองเห็น) มาช่วย มันก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้าร่างทรงไม่เก็บค่าผ่านทางมากจนเกินไปนัก หรือตราบเท่าที่แกจะทำแต่สิ่งดีๆ จนมันติดเป็นนิสัยไปเอง

ส่วน เรา...ผู้ไม่ได้มองหา ก็ไม่อยากมองเห็นนะ ไม่มาอยู่ข้างๆกันก็ไม่ว่า รู้สึกขอบคุณด้วยซ้ำ กุศโลบายไม่ต้อง...จะพยายามทำตัวให้มีนิสัยดีขึ้นด้วยตนเอง วันนั้น...พี่เค้าลงจากรถตอนแวะเติมแก๊สครั้งหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าลูกกุมารแกลงไปด้วยรึเปล่า ทิ้งให้เรานั่งอมยิ้มแห้งๆ อยู่บนรถคนเดียว (รึเปล่าก็ไม่รู้)....

It’s me...
รักเด็กนะ...แต่ขอเฉพาะที่มีชีวิตก็พอแล้ว...
18 ธันวาคม 2554

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น