ถึงเพื่อนๆทุกคน
นี่เป็นการส่งข่าวซึ่งนับวันมีแต่จะยาวมากขึ้นเพราะพอเริ่มได้เขียนทีไร ก็รู้สึกว่าไม่อยากจะตัดรายละเอียดที่จะทำให้ตัวเองจำเรื่องต่างๆได้น้อยลง มันเลยกลายเป็นการเขียนความจำของกู แต่เอามาแบ่งให้พวกมึงได้อ่านด้วย สำหรับใครที่อ่านภาษาไทยไม่คล่อง ก็ค่อยๆ อ่านไปนะ
ตื่นตั้งแต่ยังไม่ตีห้า เพราะนัดหลิวที่อนุสาวรีย์ชัยฯ 7 โมงเช้า เพื่อไปงานศพพ่อบักอ้วนที่นครสวรรค์ เอ้อระเหยไปมา ก็หกโมงกว่าแล้ว เสือกท้องเสียอีก ผลกรรมจากการกินบุฟเฟ่ต์เมื่อวานเข้าไปด้วย ด้วยความที่ชีวิตนี้นัดใครก็ไปก่อนเวลาตลอด กูก็เลยลุกลี้ลุกลน ดูรีบๆไปหมด รีบออกจากห้อง พอล็อคห้องปุ๊บ...ก็นึกได้ปั๊บ เหี้ยเอ๊ย...ลืมกุญแจ ทำไงดีวะ ช่างมันก่อนละกัน
เดินๆไปก็คิดไปว่าจะทำไงดี นึกได้ว่ามีกุญแจอีกดอกอยู่ที่ทำงาน ป้องกันความสะเพร่าของตัวเองนี่แหล่ะ ต้องให้น้องที่ทำงานเอามาฝากยามไว้ให้ เดือดร้อนชาวบ้านอีก พอขึ้นแท็กซี่ไปรถไฟฟ้า พี่แกก็พาไปทางที่รถติด โทษเค้าก็ไม่ได้ เพราะเค้าถามเราแล้ว เราเสือกปากเร็วพูดว่า “ค่ะ” โดยลืมไปว่า นี่มันวันทำงาน ถ้าไปอีกทางถึงจะเร็ว ในหัวก็กระวนกระวายบวมๆไป หลิวมันคงรอและด่ากูเปิงไปแล้ว
ถึงรถไฟฟ้าแบริ่งตอนเจ็ดโมงกว่า ไม่ได้เอากระเป๋าตังค์ไป บัตรรถไฟฟ้าอยู่ในนั้นอีก เออ...เอาเข้าไป ต้องไปแลกเหรียญ มาหยอดแลกบัตร พอเอาบัตรไปทาบที่หัวเสา เอ๊ะ...ทำไมที่กั้นมันไม่เปิดวะ ทาบใหม่อีกสองทีก็ไม่เปิด เออว่ะ...บัตรหยอดเหรียญมา มันต้องเสียบนี่หว่า พอคิดออก ก็เอามาเสียบ เสียบไป 2 ครั้ง มันก็ไม่เข้า จนคุณลุงแก่ๆคนหนึ่งเดินมาบอกว่า เสียบผิดด้านครับ...แม่ง...โคตรอายเลย อายจนลืมขอบคุณเค้า ตอนนี้สติแตกไปแล้ว เซ็งตัวเอง...
หลิวมันได้เจอหน้ากูตอนเกือบ 8 โมง ยืนอ่านซ้อกเก้อร์จนขาแข็ง โคตรสงสารมันเลยแม่ง...ขึ้นรถตู้ รถออกตอนแปดโมงนิดๆ นั่งโม้ไปไม่เท่าไหร่ ก็สิบโมงเข้าไปแล้ว ค้นพบเรื่องเดิมที่แสนสม่ำเสมอของเพื่อนหลิว คือมันยังคงเที่ยวปีละ 20 ครั้งเหมือนเดิม หลิวมาอ่านเข้า...อาจเถียงว่า...มากกว่านั้นเฟ่ย...
โทร.ไปถามบักอ้วนว่า จะไปวัดได้ยังไง แม่มันเป็นคนรับสาย บอกว่า เมจิลืมมือถือไว้ (มันชื่อเล่นจริงๆว่า เมจิ) วันนี้เป็นวันที่เพื่อนเสียใจ ไม่ว่ามันจะทำอะไรไม่ถูกใจ กูจะยกให้มันไม่ผิด 1 วัน ถามแม่มันว่า อยู่ที่วัดไหน แม่มันบอกอยู่วัดนครสวรรค์ ไม่กล้าถามทาง เดี๋ยวค่อยเอาปากไปถามคนอื่นเอาข้างหน้า ซักพักบอมโทร.ผิดเข้ามา เฮ้อ...อนาถเพื่อนตัวเอง! มันเลยฝากแสดงความเสียใจด้วย แล้วบักอ้วนมันก็โทร.กลับมาบอกทางจนได้ ลงรถตรงที่มันบอก แล้วก็ถามทางกับคนแถวนั้นอีกครั้ง เพราะเชื่อว่าตัวเองจำที่มันพูดได้นะ แต่ไม่ค่อยเชื่อคำพูดมันเท่าไหร่
ขึ้นรถสองแถวไปกับหลิว (เหมือนสาย 8 ที่มข.) ทั้งรถมีแค่พวกกู 2 คน อีกสองคนนั่งอยู่ข้างหน้าคือ ลุงคนขับและเมียแก ขนาดบอกจุดหมายปลายทางก่อนแล้วนะ ไปไม่ถึง 3 กม.หลิวเจอป้าย วัดนครสวรรค์ หันมามองหน้ากู นุ้ย มันวัดนี้ไม่ใช่เหรอวะ เออ...นั่นดิ แล้วลุงทำไมไม่จอดวะ ผ่านไปเฉยเลย ไม่มีกริ่งให้กดด้วย ไม่มีเหรียญเคาะอีก หลิวก็เลยเอามือไปเคาะกระจกให้แกรู้ตัว ถ้าไม่จอดนะ เจออีหลิวทุบกระจกแน่ พอพวกกูลงมาจ่ายตังค์ 20 บาท แกหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วว่า เออ...มัวแต่คุยเพลิน ลืมไปเลย...(สำเนียงเหมือนบักอ้วนเด๊ะ...แต่เหน่อกว่า)...แหม...ลุงจะมานั่งรถจีบป้าก็ไม่บอกเนอะ...
เดินเข้าวัดไป ตามหาศาลา 2 ตามที่เพื่อนบอกไว้ แต่หาไม่เจอแฮะ ใครจะไปคิดว่า วัดนี้มีอยู่สองฝั่งถนน ฝั่งที่พวกกูเดินอยู่จะเป็นโบสถ์ พระพุทธรูปและกุฏิพระ ไปถามป้าคนหนึ่งถึงรู้ ป้าบอกว่า... “อ๋อ...ศาลา 2 อยู่ฝั่งนู้นพี่ เดินข้ามถนนไปนะพี่” มันเจ็บปวดก็ตรงที่...ป้าแกเรียกกูว่าพี่นี่แหล่ะ สงสัยสายตาแกไม่ค่อยดี แล้วพวกกูก็ข้ามถนนตามคำบอก
เจอศาลา 2 แล้ว กูกับหลิวเข้าไปไหว้พ่อมัน พ่อมันอายุ 65 ปี 3 เดือน กี่วันไม่รู้ก่อนก็สิ้นใจ มีลูก 3 คน พี่สาวบักอ้วนชื่อมน บักอ้วน และน้องสาวมันชื่อแดง เพิ่งรู้ว่ามันมีพี่ มีน้องกับเค้าด้วย นึกมาตลอดว่ามันเป็นลูกคนเดียว เพราะดูว่าแม่ทั้งรักทั้งห่วงมาตลอด พ่อมันป่วยเป็นมะเร็งมา 5 ปี บักตู่แม่งเหี้ย...ไม่เคยห่วงพ่อเพื่อนเลย ก็ใช่ซี้...พ่อบักอ้วนไม่ใช่พ่อมันนี่ (อันนี้ ขอชำระแค้นส่วนตัวเล็กน้อย) อ้วนบอกว่าพ่ออ้วกเป็นเลือด แล้วก็ล้มในห้องน้ำโดยที่ไม่มีใครเห็นตอนเสีย น้องสาวและครอบครัวที่อยู่บ้านพ่อ เค้าไปเฝ้าลูกที่เป็นไข้อยู่โรงพยาบาล อ้วนกับครอบครัวอยู่บ้านแม่ อยู่คนละบ้านกัน
ตอนนี้ แม่มันที่เคยเที่ยวเคยล่อง ท่องตามห่วงมันไปทุกที่ ไม่ค่อยแข็งแรงแล้ว เป็นรูมาตอยด์ (ข้อเสื่อม) โรคเดียวกับแม่กูเลย ใครที่มีแม่เป็นอย่างนี้ ก็ตั้งใจดูแลด้วยนะ ไปไหนก็ต้องพยุง ค่อยลุ้นกันตัวโก่งว่าจะก้าวขึ้นบันไดเลื่อนได้มั้ย (อันนี้แม่กูเอง)... แต่แม่อ้วนเป็นเยอะกว่า อาจเพราะตัวใหญ่ เดินไม่ค่อยไหว นั่งนานก็ปวดกระดูก แล้วก็เป็นเบาหวานแถมด้วยอีกหนึ่ง Option ไม่อยากคิดเลยว่าวันหนึ่ง กูก็จะแก่เหมือนกัน...การกินแคลเซียมก็เป็นทางป้องกันที่ดีทางหนึ่ง (ซึ่งกูก็ยังไม่กิน)
พี่สาวมันใจดี พยายามยัดเยียดให้กินกระเพาะปลา บอกว่าไม่กิน ไม่กิน ก็มาตื๊ออีกหลายรอบ เลยกลัวจะเสียน้ำใจ กินก็ได้วะ เดี๋ยวจะมานำเสนออีก หลิวไม่อิ่ม ตักข้าวเติมใส่น้ำกระเพาะปลา กูสันนิษฐานว่า ตั้งแต่ตัดมดลูกออก กระเพาะมันน่าจะขยายออกไปชดเชยเนื้อที่ในส่วนนั้น ทำให้จุอาหารเข้าไปได้มากขึ้นอีกหน่อย
สิ่งที่เซอร์ไพร์สพวกกูที่สุดเห็นจะเป็น บักอ้วนมันให้หลิวถ่ายรูปงานให้ คือมีกล้องอยู่ 1 ตัว แต่ไม่มีคนถ่าย หลิวถามมันว่า แล้วถ้าพวกกูไม่มาล่ะ มันบอกก็คงจะวานคนแถวนี้แหล่ะ ซึ่งกูก็ไม่รู้ว่าใคร คงเหลือแต่สัปเหร่อแหล่ะมั้งที่พอจะว่าง พอมันสั่งอีหลิวเสร็จแล้ว มันก็เดินไปบวชที่ฝั่งตรงข้าม ปล่อยให้พวกกูหัวเราะแห้งๆใส่หน้ากันเอง ไม่เป็นไร...วันนี้เพื่อนทำอะไรก็ไม่ผิด อย่าไปว่ามัน...
มันเดินกลับมาด้วยลุคใหม่ นุ่งห่มเหลือง จีวรปลิวมาเลย เดินมาบ่นกับหลิวว่าเดินยาก ไข่เสียดสีไปมา ไม่ถนัดเพราะไม่ได้ใส่กางเกงใน รู้สึกว่าตัวเองเข้าใจวลีที่ว่า ‘ปราการด่านสุดท้ายของท่านชาย’ มากขึ้นอีกนิดหน่อย หลิวกับกูมองหน้ากันหาเหตุผล ว่าทำไมพวกกูต้องมานั่งฟังเรื่องไข่ที่พวกกูไม่มีด้วย แล้วมันก็ไปนั่งฉันกระเพาะปลากับเกดเมียรัก ก่อนจะไปปฏิบัติภารกิจ
ในงานนี้ไม่มีใครรู้จักพวกกู 2 คน หลิววิ่งไปวิ่งมาถ่ายรูป เหมือนเป็นช่างภาพที่ครอบครัวจ้างมา ส่วนกูก็เป็นเพื่อนช่างภาพ เพื่อนพวกเราบวชหน้าไฟ ก็ต้องแยกไปปฏิบัติภารกิจสงฆ์ เกิดมากูก็เพิ่งเคยพูดกู-มึงกับพระเป็นครั้งแรกนี่แหล่ะ ไม่รู้ว่าทางพระท่านจะนับเป็นวจีทุจริตมั้ย ดูบาปๆยังไงไม่รู้ ตอนพระสวดมีตอนหนึ่งขำมาก ไม่ได้ขำบทสวดนะ แต่ขำที่คนนำสวดเค้าบอกว่า “นิมนต์สามเณรพนมมือด้วยครับ” ซึ่งสามเณรอ้วนนั่งเอามือแนบลำตัวอยู่ทำเฉยอยู่ ได้ยินกันทั้งศาลา
พระท่านเทศน์ว่า คนเรามาวัดในหลายๆโอกาส แต่การมาวัดที่พระท่านเห็นว่าเป็นประโยชน์และดีที่สุดคือการมาร่วมงานศพ เพราะทำให้เราเห็นสัจธรรม เห็นความจริงที่ว่า คนเราเกิดมายังไงก็ต้องตาย เราทุกคนต่างต้องการแสวงหา บ้างแสวงหาเงิน คิดว่าเงินให้ได้ทุกอย่าง บางทีมีเงินแล้วก็ยังแสวงหาอำนาจ บางคนก็ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา โดยลืมไปว่าสุดท้ายตอนตายก็เอาไปไม่ได้สักอย่าง ต่อให้รวยเป็นเศรษฐีขนาดไหน แม้แต่ร่างกายเนื้อหนังยังเอาไปไม่ได้เลย พอทุกคนเห็นความจริงแล้ว จะได้รู้จักปลง ไม่ยึดติด ทำตัวให้ดี และมีประโยชน์ พอตายจะได้มีคนนึกถึง
พ่ออ้วนจบจากแม่โจ้ ตอนขึ้นปะรำพิธีแล้ว ก็จะมีศิษย์เก่าแม่โจ้มายืนเป็นครึ่งวงกลมใหญ่ๆ เพื่อร้องเพลงแม่โจ้โศกๆให้ นั่งอยู่รู้สึกขนลุกเลย เหมือนเค้ามาส่งกันครั้งสุดท้าย ฟังแล้วเศร้าน้ำตาจะไหล ทั้งๆที่ไม่รู้หรอกว่าเค้าร้องอะไร คิดๆดู...ถ้าวันหนึ่งมีเพื่อนเราคนใดคนหนึ่งจากไป มันจะเป็นไงนะ ถ้าพวกเราบอกว่า ว้า...ไม่ว่างว่ะ กูงานยุ่ง ไปไม่ได้หรอก นึกแล้วก็หนาวว่ะ ที่ต้องขึ้นสวรรค์ หรือลงนรกไปอย่างเงียบๆโดยลำพัง
พอเสร็จจากงานพระราชทานเพลิงศพ อย่าถามว่าทำไมถึงได้รับพระราชทานเพลิงศพ เพราะกูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่บอกได้ว่าตระกูลนี้เค้ารับราชการกันทั้งหมด และที่เห็นก็คือพ่อมันมีเครื่องราชฯด้วย พอเสร็จจากงาน สามเณรอ้วนหัวโล้นก็ค่อยมีเวลาหายใจหายคอคุยกับเพื่อนเมื่อแขกกลับ มันให้เมียไปส่งแม่และไปรับลูกเพื่อมากินข้าวกับพวกกู แล้วบอกพวกกูสองคนว่า “ไปสึกเป็นเพื่อนหน่อย” สมกับที่เป็นเพื่อนกันจริงๆแหล่ะ ก็เลยพามันเดินสะบัดจีวรข้ามถนนไปวัดฝั่งตรงข้าม
ไปถึงกุฏิพระที่มันมาบวช ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลย เหลือแต่หมาอยู่บนกุฏิ เค้าขังไว้ หมาเห่ากระจาย เห่าจนเมื่อย ที่กูรู้เพราะว่ามันหยุดเห่าไปเอง หยุดเห่าแล้วก็นอนมองเฉยๆ กูกับหลิวก็เพียรพยายามไปตามหาพระ ตอนแรกไปเจอคนล้างรถ บอกเค้าว่า “พาพระมาสึกค่ะ แต่ไม่มีพระอยู่ที่กุฏิ ทำไงดีคะ” เค้าบอกว่า “ไม่มีพระอยู่เลยเหรอ อย่างงั้นก็ต้องรอ” เว้นไปแป๊บหนึ่ง เค้าบอกว่า “อ้าว นั่นไง พระมาแล้ว” กูดีใจกลับหลังหันไปดู เจอสามเณรอ้วนเดินพุงยุ้ยมา “แห่ะๆ อ๋อ...ก็จะพาพระนี้แหล่ะค่ะมาสึก”
ไปตามถามหลวงพี่ที่อื่นอีก 2 รูป ก็ไม่ได้ความ เลยมานั่งยองๆ โม้ปลงอนิจจังกับหลิวกับอ้วนใต้ต้นไม้ใหญ่ ที่มีเม็ดม่วงๆ แดงๆคล้ายลูกหว้า แต่อันเล็กกว่าเยอะ ร่วงเต็มไปหมด แตกเต็มใต้รองเท้าเพียบ อยู่หน้ากุฏิ ผ่านไป 1 เมื่อย แล้วพวกกูจะได้กลับเมื่อไหร่ว้า...บักอ้วนคะยั้นคะยอ....ยังไงก็ต้องกินข้าวกันก่อน...เออๆ ก็ได้วะ อะไรอร่อย...แล้วพวกมึงอยากกินอะไรล่ะ...อ้าว บ้านมึง กูจะรู้ได้ไงว่าอะไรอร่อย...กินปลาได้มั้ย...เออ...ได้ๆ อร่อยจริงๆนะ...เออๆ...รับรอง...มึง ตอนน้ำท่วม ท่วมถึงไหนวะ...นั่นไง คราบน้ำ...กูเดินเอาตัวไปทาบดูข้างฝาผนัง ขาดอีก 2-3 เซนฯ จะมิดหัวกูพอดี...ถ้ากูอยู่นครสวรรค์ตอนน้ำท่วม แล้วหนีไม่ทัน กูเก๊าะตาย เพราะว่ายน้ำไม่เป็น...อ้วนๆ นั่นไงพระ เดินมาแล้วๆ เย่ๆ ได้สึกแล้ว...
สามเณรอ้วนชะโงกไปดู แล้วมันก็หัวเราะ “ใช่ที่ไหนเล่า นั่นมันคนที่บวชพร้อมกู!” รอต่อไปซักพัก พระก็มา อ้วนก็ได้สึก ได้ใส่กางเกงในสมใจแล้ว ห่างไปไม่กี่ชั่วโมงยังทนไม่ค่อยได้เลย กูกับหลิวเดินไปกำจัดสวะใต้รองเท้า ม่วงเต็มตีนไปหมด วิธีการก็คือ มีมอไซด์คันหนึ่งจอดอยู่ หลิวเอารองเท้าผ้าใบถูกับจานดิสค์ กูก็ถูครูดไปครูดมากับยางล้อหน้า ถ้ามองมาจากไกลๆ อาจเหมือนพวกกูซ้อมยำตีนถีบมอไซด์คันนี้อยู่ โคตรใจเลยว่ะ...ยำมอไซด์...
แล้วพวกเราก็เดินกลับไปที่วัดอีกฟากหนึ่งเพื่อไปขึ้นรถมัน แล้วก็ขับไปรับแม่มัน เมียมัน และลูกมันไปเลี้ยงข้าวพวกกู ลูกบักอ้วนนั่งเล่นของเล่นอยู่ จะมีตะกร้าแบบตะกร้าใส่เสื้อผ้าอยู่ 1 ใบ มีของเล่นตัวเล็กๆอยู่ข้างในเต็มไปหมด วิธีการเล่นก็คือรื้อของทุกอย่างออกมา นี่แหล่ะ...สั้นๆ...ง่ายๆ จำกันได้มั้ยว่าลูกมันชื่อคิม พอคิมเห็นพ่อตัวเองแล้วก็งง จำไม่ได้เนื่องจากหัวโล้น ไม่มีคิ้ว ไม่ไว้ใจ ไม่แน่ใจว่าใช่มั้ย ทำหน้างง โชว์ฟันด้วย เห็นฟันนึกว่าลูกหลานไอ้ตาล เห็นแล้วก็ขำ ครั้งนี้ลูกมันเห็นกูแล้วไม่ร้องไห้ ไม่หนี ยอมให้เล่นด้วย กูหยิบดาบมาแทง ก็หัวเราะพอเป็นกระสัย คงไม่ค่อยเข้าใจว่าไอ้ผู้ใหญ่ติงต๊องนี่มันเป็นใคร หยิบอะไรมาก็เล่นด้วยกันได้หมด ลูกมันก็น่ารักดี แต่พูดได้ไม่เยอะ พูดเป็นคำๆ พอพูดเยอะ ก็ฟังไม่ออก ขนาดพ่อแม่มันยังฟังไม่ออกเลย
ก็ออกไปกินข้าวกัน ทีมเหย้าได้แก่ แม่บักอ้วน บักอ้วน เกด คิม ทีมเยือนคือกูกับหลิวสองคน ตอนนั่งรถไป คิมมันนึกได้ว่าไม่รู้จักพวกกูนี่หว่า เลยเริ่มโวยวายตามประสาเด็ก กอดอกแล้วพูดว่า “ไม่เอา” ไปเรื่อยๆ อยู่ๆก็งอแงจะหายาย (แม่ของเกด) อาร์ตแต่เด็ก อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ลมพัดลมเพ พอเกดส่งนมขวดให้นอนดูด ก็เริ่มเล่นกับกูได้ใหม่ รีเซ็ทตัวเองเร็วโคตร แต่เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทำได้ก็แค่เข้าใจ เหตุผลไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
มันพาไปกินปลาที่ร้าน ‘ลุงผ่อน’ ปลาสดอร่อยมาก หลิวและกูก็เลยซัดไม่ยั้ง ไม่ยั้งของกูเท่ากับยั้งมากๆของหลิวนะ กินต้มยำปลากด 2 ถ้วย ปลาเนื้ออ่อนทอดน้ำปลา ปลาอะไรซักอย่างผัดฉ่า ทอดมันปลาอะไรซักอย่าง ปลากดลวกจิ้ม กบทอดกระเทียม สะใจ...อร่อยจริงๆด้วย เล่าเรื่องประวัติการท้าทายเรื่องกินของบักอ้วน VS หลิว ตอนมหาลัยให้แม่ฟัง แม่มันหัวเราะสนุกสนาน อาจลืมไปว่าเจ็บขา พอบักอ้วนมันกระแนะกระแหนหลิวมากๆ แม่มันก็ด่ามันอีกที มีผู้ใหญ่อยู่ เราก็ดูเป็นคนถูกเสมอไปเลย ฮ่ะๆๆ...กินไปทั้งหมดทั้งปวง อย่างเยอะ ล้มทับมันได้ 600 กว่าบาทเอง แม่มันบอกว่าอย่าหายไปเลยนะ กลับมาให้เค้าเลี้ยงอีก กูกลับไปแน่...ว่าจะพาเพื่อนๆไปด้วย...แต่ไม่รู้ว่าพวกมึงจะว่างกันเมื่อไหร่น่ะสิ...
พอขากลับคิมมันเริ่มมหกรรมจัดเต็ม เล่นหลอกผีกับกู เอามือดึงหางตาสองข้างของตัวเองลง กูก็เอามือบี้จมูกหมูให้ดู เด็กหัวเราะใหญ่เลย พยายามทำตามด้วยการเอานิ้วปิดจมูกตัวเอง แต่ปิดแม่งห้านิ้วเลย แล้วก็หัวเราะใหญ่ สงสัยจะหัวเราะที่ตัวเองหายใจไม่ออกซะมากกว่า เล่นกับเด็ก กูดูฉลาดล้ำไปเลย แล้วลูกมันก็เปลี่ยนไปนั่งตรงกลางข้างหน้า (ที่ที่เอาไว้ใส่ของนั่นแหล่ะ) แล้วก็ร้องเพลง พ่อแม่คอยนำให้อย่างละหน่อย งึมงำเพลงชาติได้ เพลงช้างก็พอฟังได้ แต่มาเป็นคำๆ ไม่เป็นประโยค ชัดๆเลยก็คำว่าหางยาว ลากเสียงคำว่า ‘ยาว’ ได้ยาวมาก พูดชื่อหมาได้ หมาชื่อไวท์ ไวท์หิว...หิวข้าว...ซื้อข้าวให้ไว้ท์ ท่องไปเรื่อยๆ
ส่งแม่มันกลับบ้านก่อน พวกกูก็สวัสดีร่ำลา แม่ย้ำว่า ให้มากันอีกนะ อย่ามากันตอนแม่เสียล่ะ กูก็รับปากไปแล้วด้วย ที่เหลือก็มาส่งกูกับหลิวที่คิวรถตู้ แต่รถ 1 ทุ่มออกไปแล้ว ต้องรอรถ 2 ทุ่ม มันเลยพาไปกินของหวาน ซึ่งความจริงกูอิ่มจะแย่อยู่แล้ว ก็ไปกินกัน กูกับหลิวซัดไอติมไป บักอ้วนบอกต้องกินรวมมิตรถึงจะอร่อย แต่กูไม่ไหวแล้ว พอดีกว่า คิมมันเห็นพวกกูกินไอติม อยากจะกินบ้าง พอไปสั่งมา ดันเอามาเล่น เอานิ้วแตะไอติม แล้วก็วาดศิลปะม้วนไปม้วนมาบนโต๊ะ คงสนุกเพราะเย็นดี กินเสร็จมันก็กลับมาส่งที่รถ สำหรับครั้งนี้...พวกเราแยกย้ายกันเท่านี้ก่อน กูกลับถึงห้องตอน 6 ทุ่มกว่า ง่วงและเหนื่อย...
PS. ปุย-ติ๊กที่ฝากทำบุญมา จัดการให้เรียบร้อยแล้วนะ น้ำฝนโทร.มาตอนเย็น ไม่รู้จะไปยื่นให้เค้ายังไง เค้ากำลังจะพาไปกินข้าว มันจะดูแปลกๆ ก็เลยต้องขอปฏิเสธนะ ซึ่งในชีวิตจริง...การปฏิเสธเงินไม่ใช่เรื่องดี...
26-12-11
ไปปากช่องมาเมื่อวันเสาร์-อาทิตย์ ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอคนภาคเรา อยู่รุ่นเดียวกับเราคนหนึ่ง แง้...ทำไมกูจำชื่อมันไม่ได้วะ มันอยู่แก๊งค์เดียวกับพวกไอ้โอ๋แหล่ะ พอนึกไม่ออกก็เลยเดินหลบแม่งเลย ไม่รู้จะทำไงดี แล้วทีนี้ เสือกมาเจอแบบจังหน้า หนีไม่ทัน ตอนวันกลับ ก็พยายามคุยกลบเกลื่อน แล้วเรียกมันว่า “เธอ” จะขอเบอร์โทร. เบอร์ “เธอ” ก็ไม่กล้า เดี๋ยวชะงักตอนเม็ม เค้าบอกว่า น้องรหัสกูเป็นอาจารย์อยู่ภาคเรานะ รู้รึเปล่า อ้าว...ซวยหนัก น้องรหัสกู ใครวะ เค้าบอกต่อว่า พาเด็กไปดูงานที่บริษัทเค้าด้วย ไม่มั่นใจเลย ไม่กล้าคุยเยอะ กลัวโดนจับได้
วกมาเรื่องที่กูรู้หน่อยดีกว่า ปุ้ยจะแต่งงานนะ เค้าถามว่าที่ไหน ก็ตอบที่ชลบุรีน่ะ พูดแล้วก็นึกได้ว่า แล้วยังไง กูจะบอกต่อยังไง จะบอกว่ากูจำมันไม่ได้ก็ไม่ได้ ดูทำร้ายจิตใจคนอื่น กูก็เลยงงตัวเอง แล้วเค้าก็บอกทางออกมาว่า ให้เอ้ส่ง mail มาชวนด้วยนะ ฮ่าๆๆ นี่ไง...ทางออกของกู...เออๆ ได้เลยๆ...แล้วก็ตัดบท...บ๊าย บาย ไว้เจอกันใหม่นะ เอ้...มึงก็ส่ง mail ชวนเพื่อนๆในภาคไปละกันนะ
โทร.ไปหาบักตู่ บอกว่ากูเจอเพื่อนเรา ใครก็ไม่รู้ ตู่บอกแล้วกูจะรู้มั้ยว่ามึงเจอใครมา พอบอกมันว่า หน้าคล้ายๆโอ๋ เมื่อก่อนมันตัวเล็กๆ และอยู่แก็งค์เดียวกัน บักตู่บอกว่า มันชื่อบอย กูก็คิดว่าน่าจะใช่ ชื่อนี้แหล่ะ คิดว่าใช่นะ บักตู่บอกว่าติดหนี้มันด้วย..ฮ้า...เท่าไหร่วะ บักตู่บอกว่า 20 บาท ยืมตังค์มันไปกินข้าวโรงชาย ให้ทวงให้ด้วย บอกบักตู่ว่า ออกมาจากที่พักแล้วว่ะ ถึงอยู่กูก็ไม่ทวงให้เสื่อมเสียวงศ์ตระกูลกูหรอก...ถุย... ตู่ถามว่า แล้วไปงานศพพ่อบักอ้วนสนุกมั้ย...เลวจริงๆ ดูมันพูดดิ๊...
เลยบอกมันไปว่า... “อ๋อ ไปงานพ่อมึงสนุกกว่าว่ะ”
หกหน้าทั้งหมดสอนให้รู้ว่า ชีวิตกู ไม่ได้มีสาระอะไรเล้ย...แต่ก็มีความสุขดีนะ...จากกูเอง...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น