ว่ากันว่า กบมันจะได้คายพระจันทร์ออกมาให้เราไง...แน๊...กุศโลบายคนโบราณ จินตนาการไม่เบาเลย เราก็สนุก ช่วยกันเคาะหม้อไปด้วยอย่างเมามัน สร้างความสามัคคีในหมู่คณะได้ด้วยนะ มาถึงตอนนี้ก็เลยงงๆว่าทำไม ไอ้เด็กพวกนี้ (ซึ่งเด็กกว่าเรา 7-8 ปี และมีบ้านอยู่คนละภาคพื้นในประเทศเดียวกับเรา) มันถึงไม่รู้จักกบกินเดือน ไปพูดแถวบ้านกูนี่ โดนโห่เอาได้ง่ายๆเลยนะ เชยว่ะ...
โดนคนโบราณบานบุรีเป่าหูมานมนาน ก็ไม่เคยสงสัยเลยว่าทำไมมันเรียกว่ากบกินเดือน เพราะว่ามันน้านนานกว่าจะมีซักกะทีหนึ่ง ก็เลยไม่ได้ขุดค้นหาข้อมูลอย่างจริงจัง ซึ่งที่จริงเมือคืนก็คิดว่า จะไม่ได้เห็นซะแล้ว เพราะกรุงเทพมหานครเมืองฟ้าอมรเนี่ย เวลามีเหตุการณ์ดีๆ ที่ธรรมชาติรังสรรค์ทีไร ก็น่าน้อยเนื้อต่ำใจนักที่ไม่ค่อยจะได้เห็นกับเค้าหรอก ฟ้าปิดบ้าง เมฆบังบ้างอะไรบ้าง ตามแต่จะมีข้ออ้างมาเอื้ออำนวย แต่เมื่อคืนสี่ทุ่มกว่าแล้ว แหงนหน้ามองฟ้า โห...ชัดแจ่มแหร่มไปเลย...สวยจัง ทั้งๆที่ก็อธิบายไม่ได้ว่าไอ้ที่ว่าสวยน่ะ มันสวยยังไง บอกได้แต่ว่าสวย เลยทำให้นึกถึงบ้านขึ้นมา เพราะถ้าอยู่บ้านคงเคาะกาละมังกันสนุกไปแล้ว
พอมีเรื่องกบกินเดือนติดอยู่ในใจ สมัยนี้มันง่ายดายแค่ปลายนิ้วจริงๆ แค่กระดกเคาะนิ้วลงบนแป้นคอมฯ คำตอบก็พรั่งพรูออกมาให้เลือกดูแทบไม่ทัน พอได้อ่านแล้วก็เอามาเล่าต่อดีกว่า ที่มาของกบกินเดือนนี่ มันเป็นนิทานโบราณโบร่ำ ที่มีความตามท้องเรื่องอยู่ว่า มีครอบครัวหนึ่งมีพ่อ แม่ และลูกสาวสองคน สมมติว่าชื่อ อีเหลืองกับอีแดงแล้วกัน (น่านไง...ว่าจะไม่แล้วเชี้ยว) พ่อแม่ก็ต้องสอนลูกสาวทั้งสองให้เก่งงานบ้านงานเรือน รวมทั้งการทำอาหาร เพื่อใช้วิชาปรนนิบัติพัดวีสามีนั่นเอง
วันหนึ่งก็ได้ให้อีเหลืองกับอีแดงเข้าครัวทำอาหาร พอเสร็จแล้วพี่แดง น้องเหลือง ก็ช่วยกันชิม (แบ่งความเป็นพี่-น้องตามปริมาณ เยอะกว่าก็เป็นพี่ไปละกันวะ ไม่ได้เกิดจากความลำเอียงแต่อย่างใดเลย) อีพี่น้องสองสีนี่ ชิมแล้วปรากฎว่า อาหารไม่อร่อย ไม่ถูกปาก จึงเกิดการวิวาท ง่ายๆแค่นี้แหล่ะ ทะเลาะรุนแรงถึงขั้นว่า อีพี่แดงเอาทัพพีตบหน้าน้องสาว ส่วนอีน้องเหลืองหายอมแพ้ไม่ ซัดสากกะเบือแสกหน้าพี่ตอบโต้ในทันใด ด้วยอาวุธทัพพีและสากกะเบือ ซึ่งดูไม่ค่อยจะสมน้ำสมเนื้อนี่แหล่ะ ก็ทำให้อีสองสีพี่น้องตายคาก้นครัวทั้งคู่
หลังจากตายตกตามกันไปแล้ว ก็ได้ไปคุกเข่าหน้ายมบาล ยมบาลเห็นประวัติตอนพิพากษา แล้วถึงกับทนดูไม่ได้ ที่มันทั้งคู่อยู่บ้านเดียวกันซะเปล่า เสือกมาตีกันตาย รู้ไปถึงไหน อายไปถึงนั่น มันควรมั้ยเนี่ย ยมบาลเปาบุ้นจิ้นนั่งกินไข่เต่าจึงตัดสินว่า ให้อีตัวพี่ไปเกิดเป็นเดือน (หรือดวงจันทร์) และให้อีน้องไปเกิดเป็นกบ แต่ด้วยความอาฆาตแค้น ก็ยังมีโอกาสโคจรมาเจอกันเป็นพักๆจนได้ ดูซิดู๊...อีเหลืองได้ที ก็จะไล่งับคาบอีแดง (ส่วนนี้บังเอิญนะ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ)...คือกบกินเดือน นั่นเอง
ชาวบ้านสงสารเดือน ก็เลยตีเกราะเคาะกะลา ให้กบตกใจ จะได้คายเดือนออกมาซะ โถๆ ตายไปแล้วยังไม่วายตามเข่นฆ่าให้อาสัญซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นพี่เป็นน้องกันแท้ๆ ก็ไม่ได้จะรู้รักสามัคคีกันเล้ย สร้างความเดือดร้อนได้ทั้งกับตนเองและผู้อื่น แต่ความจริงคนแต่งนิทานนี้มาหลอก ก็ดูจะแปลกๆอยู่นะ คิดแล้ว...กบกับดวงจันทร์ มันจะโคจรมาหากันได้ยังไงหว่า แต่อย่างว่า นิทานก็คือนิทานเนาะ ฟังเอาสนุกก็เห็นจะบรรลุเป้าหมายที่เค้าวางไว้แล้วแหล่ะ
แต่เหนือกว่านั้น...นิทานก็ยังสอนได้อีกว่า ให้รู้จักเห็นอกเห็นใจกันและรักกันไว้เถิด
ปล.สำหรับผู้ได้อ่านนิทานอิงพื้นบ้านนี้ ก็ขอให้เหยียบไว้ตรงนี้เถิด มิเช่นนั้นคนเขียนอาจโดนเหยียบเอาได้ง่ายๆ ทั้งจากสองสีพี่น้องเลย คิดว่าไม่ว่าใครเป็นคนเหยียบ อาวุธก็น่าจะเป็นตีนเหมือนกันฉะนั้นแล...อมิตตาพุทธ!
It’s me
Story Teller... (คนขี้เล่า)...
11 ธันวาคม 2554

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น