และแล้วก็มาถึงตาเพื่อนคนท้ายๆ อย่างปุ้ย ในที่สุดก็ได้แขวนป้าย “แต่งแล้วจ้า” กะเค้าซักที วันอาทิตย์ได้ฤกษ์งานแต่งงานปุ้ยกะพี่ปอ อาทิตย์ที่ผ่านมาเลยโทร.ตามเพื่อนไปทั่ว...อย่างกับเป็นงานแต่งตัวเอง ความจริงคือกลัวว่าเดี๋ยวเพื่อนจะรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ ที่แต่งงานทั้งที แล้วเพื่อนมันหายหัวกบาลไปไหนหมด ก็เลยทำหน้าที่สื่อโทร.ไปตามให้
เราโทร.หาบักตู่ บอกว่าวันนี้อาทิตย์เจอกันนะมึง มันถาม "เจอกันทำม้ายยย" กูว่าแล้วว่ามึงต้องลืม เลยได้ทีขี้แพะไหล ใส่ไม่ยั้ง ไม่เคยจะสนใจเพื่อน เคยรู้บ้างมั้ยว่าเพื่อนจะมีชีวิตยังไง ก็ตัวเองแต่งงานแล้วนี่ ไม่ต้องสนใจหรอกว่าใครเค้าจะเป็นยังไง เวลาตัวเองแต่ง เพื่อนอุตส่าห์ดั้นด้นไปรวมตัวรวมหัวกัน ถึงตอนนี้ทำตัวเป็นเพื่อนอกตัญญู คิดเอาเองก็แล้วกันว่ามันใช้ได้ที่ไหน รู้สึกว่าแม่มันยืนอยู่แถวๆนั้น มันหันไปฟ้องแม่ด้วย ไอ้นี่นอกจากอกตัญญูต่อเพื่อนแล้วยังขี้ฟ้องอีกด้วย
โทร.หาหลิว ให้มันมานอนห้องเราคืนวันเสาร์ นัดเจอกันที่บ้านเอ้-ฝน แล้วค่อยไปชลบุรีพร้อมกันกับบักเอ้วันอาทิตย์ โทร.หาบักติ๊กบอกว่าเดี๋ยวพวกเราจะไปหาที่บ้านวันอาทิตย์ แล้วค่อยไปกินข้าวเที่ยงกัน โทร.หาตาล ตาลบอกว่าติดสอนพิเศษเด็ก กว่าจะออกมาจากปราจีนได้ ก็เที่ยงกว่านู่นแหล่ะ เราบอกมันว่ารีบๆเลย มีธุระทุกที ปากก็บอกว่าคิดถึงเพื่อน แต่การกระทำไม่ได้แสดงออกอย่างงั้น มุสาวาทาตลอดเลย เรากินข้าวนะโว้ย ไม่ได้กินหญ้า จะได้เชื่อแต่คำพูดหลอกลวง
ไม่โทร.หาบักฮัท เพราะมันเล่าให้ฟังเรื่องมหกรรมตามหาบักแห้วแล้วต้องช่วยส่ายหัว นัดกันดิบดี ว่าจะไปงานแต่งปุ้ยที่บ้านสกลฯ วันที่สอง เพราะอยู่โซนอีสาน ไปง่าย พอถึงวันจริง ฮัทตามหาแห้วไม่เจอซะอย่างงั้น แห้วน่าจะตั้งใจไม่เอามือถือออกไปจากบ้าน ผู้หญิงคนหนึ่งรับสาย อนุมานได้ว่าเป็นภรรเมีย (ใหม่) บอกว่ามันออกไปทำงาน...วันอาทิตย์เนี่ยนะ และนัดเพื่อนไว้แล้ว จะไม่ไป...ทำไมไม่โทร.บอก จะมาแสดงนิสัยจิ๊กลิ๊กจอกหลอก คดเคี้ยวเลี้ยวลดทำเฮียอะไรมิทราบ ปล่อยให้เพื่อนตามหาอยู่ได้ จนถึงวันที่ 7 มกราคม มันก็ยังไม่โทร.กลับไปคุยกับบักฮัทซักคำ...เฮ้อ...ง่ายที่สุด คือเพื่อนควรปล่อยวางมันซะ รึเปล่าวะ คนเราถ้าขนาดเพื่อนที่สนิทกัน ก็ยังต้องหนี ก็ไม่รู้แล้วว่าจะมีเพื่อนไปทำอะไร หรือว่าเพื่อนไม่มีความสำคัญอะไรในชีวิตมันเลยก็ไม่รู้
บักฮัทไม่ได้ไป ก็เลยฝากใส่ซอง โทร.หาบักอ้วน ก็มาจากนครสวรรค์ไม่ได้ เพราะว่าเมียไปอบรมพอดี เลยไม่มีคนดูแลแม่ ก็มาเจอกันไม่ได้ อันนี้ก็เข้าใจ มันบอกว่าจะฝากใส่ซอง เราบอกไม่ต้องหรอก คือกลัวว่าเดี๋ยวหลายคนแล้วจะลืม ขี้เกียจรับปาก ไม่ได้โทร.หาไฝ เพราะไฝคุยกับหลิวอยู่แล้ว เหลือใครอีก เหลือกอรี่ แต่ขี้เกียจโทร.แล้ว กอรี่อยู่ใกล้ตู่ ถ้าพวกมันไม่คุยกันก็ช่างหัวมันแล้วกันวะ
วันเสาร์นัดกับหลิวที่บ้านเอ้-ฝน นัดกันไปเล่นกับพัตเตอร์ก่อน นี่ถ้าพวกมันไม่มีลูก บ้านมันคงไม่ค่อยมีอะไรจูงใจให้ไปหาเท่าไหร่ พอมีลูก พ่อแม่มันก็กลายเป็นหมาหัวเน่าไป เพราะลูกมันตลกมาก เล่นด้วยแล้วสนุก เพลิดเพลิน และเหงื่อโทรมเลย ถ้าบรรยายถึงไอ้เด็กคนนั้นในนี้ มันก็จะยาวเฟื้อย เลยแยกเรื่องของมันไปไว้ที่อื่นเพื่อความเหมาะสม เป็นเด็กที่มีของ ควรต้องจดเอาไว้จำ ดูซิ...ว่ามันจะทำอะไรให้เราได้ประหลาดใจอีกบ้าง ในการก้าวข้ามแต่ละช่วงอายุ ณ ขณะนี้อายุขวบกว่า พลังพัตเตอร์บีมยังรุนแรงถึงขั้นนี้ ถ้ามันสามขวบ คงกลายมาเป็นเพื่อนที่ดีแน่ๆ
กลับมาถึงห้องตอนเกือบสามทุ่มพร้อมหลิวอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยไหปลาร้ามาก แต่ต้องนั่งถ่างตาดูสามหนุ่มเนื้อทอง ละครน้ำเน่าที่เราแสนจะโปรดปรานก่อน ถึงจะสละร่างไปนอนจำศีลได้ มุขประทับจิตก่อนนอนคืนนี้จากรายการไก่คุ้ยตุ่ยเขี่ยคือ จันอะไรที่ใครๆก็ชอบ เฉลยว่า...จันไม่เคยห่างไกล (ใจไม่เคยห่างกัน) ฮี้วให้มันดังๆ สักเฮือกหนึ่งก่อนนอนเลยดีกว่า
วันอาทิตย์ตื่นมาตั้งแต่ 7 โมงเช้า ด้วยความที่ไม่ได้โม้กับหลิวอย่างเต็มรูปแบบมานานแรมปี ก็เลยนั่งคุยกันเรื่องสัพเพเหระ แต่ส่วนใหญ่จะหนักไปทางเรื่องเที่ยว ที่หลิวมันไปปีละกว่า 20 รอบนี่แหล่ะ หาร 5 ก็จะตกเท่ากับจำนวนของเรา บอกมันไปว่า ปีนี้ขอแหย่ขาเข้าไปแหยมด้วยหน่อย เพื่อให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยครึกครื้นขึ้น แต่นักท่องเที่ยวอย่างเรา ททท.อาจไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจไทยคึกคัก อยู่ๆก็นึกอยากแบ็คแพ็ค อยากดูโลกอีกมุมหนึ่งบ้าง อยากเที่ยวเยอะๆ ใช้ตังค์น้อยๆ อยากกลับมาแล้วรู้สึกรักตัวเองมากขึ้น ยิ้มมากขึ้น อิ่มมากขึ้น ปล่อยวางมากขึ้น ความต้องการเยอะเหลือเกิน สรุปว่าจะสนอง need ของตัวเองนั่นแหล่ะ
นั่งอวดรูปไปเที่ยวให้มันดู ว่าถึงกูจะไม่ลุยเท่ามึง แต่ทุกอย่างจ่ายไม่แพงหรอกนะ เพราะหาข้อมูลเยอะ อ่านเยอะ เลือกเป็น guideline ไว้ก่อน จองได้ก็จองเลย ไม่อยากเสียเวลาเที่ยว แต่เราจะสิ้นเปลืองเรื่องเดียวเอง คือเรื่องกิน ต้องได้กินอย่างเปรมปรีดิ์ ห้ามขาดตกบกพร่อง ซึ่งตอนนี้ ความต้องการนั้นเราไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว แค่ที่มันมาสิงอยู่ในพุงนี่ก็ไล่ไม่ไป ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว
นั่งโม้ๆกันไปมาเกือบสิบเอ็ดโมง น้ำฝนโทร.มาถามว่าจะกินข้าวที่บ้านมันมั้ย จะได้หุงเผื่อ คงหิ้วท้องไปไม่ไหวหรอก หิวตาจะลายอยู่แล้ว มัวแต่โม้ นวยนาดไปอาบน้ำแล้วก็ไปกินข้าวที่โลตัสกันดีกว่า ถุย...ชีวิต เสือกไปบอกบักติ๊กว่าจะไปกินข้าวเที่ยงที่ชลบุรีกับพวกมัน ป่านฉะนี้ยังไม่เยื้องกรายออกไปพ้นห้องเลย ออกจากห้องเกือบเที่ยง เอาตุ๊กตาวูดูที่จะให้ปุ้ยในงานแต่งงานไปด้วย ต้องเอาไปห่อของขวัญที่โลตัส
ที่โต๊ะห่อของขวัญ สงสัยเค้าจะเป็นคนที่มาเช่าที่โลตัส เพื่อรับห่อของขวัญแหล่ะ ยืนหน้ายักษ์อยู่ เราไปเลือกกระดาษห่อ กล่อง และโบว์ทุกอย่างไม่ได้ดูโดดเด่นเด้งอะไรเลย และราคา 105 บาท ทำตลกแดกขอลดราคา อีพี่นั่นมันตอบมาทันควันว่า “ไม่ลด” กระชากน้ำเสียง ไม่ยิ้มไม่หัวเราะด้วย เราเลยหันไปหาหลิวแล้วบอกว่า “นอกจากไม่ลดแล้ว ยังไม่ตลกด้วย..เนอะมึงเนอะ...” เพื่อปุ้ยวะ แม่ง...ดุอย่างกะหมา ไม่ลดไม่ว่า พูดกับกูดีๆก็ได้ จะมาจิกหัวกูทำไม กูไม่ใช่เด็กนะ จะได้มาจิกกูตายบนปากโอ่ง...ฮึ่ย คิดแล้วแค้น...
พากันไปกินก๋วยเตี๋ยวเจียงลูกชิ้นปลา บอกได้คำเดียวว่า “ไม่อร่อย” สั่งปอเปี๊ยะสดมากินเพิ่มความไม่อร่อยเข้าไปอีก 1 จาน แล้วก็ย้ายสังขารไปบ้านเอ้-ฝนในเวลาเที่ยงกว่าแล้ว เอ้อุ้มพัตเตอร์มาเปิดประตูรับ มองหน้าเราตาแป๋ว น้ำตายังกลบลูกกะตาอยู่เลย แล้วมันก็ยิ้มยิงฟันให้ พร้อมกับยื่นช้อนนมในมือให้เราด้วย เป็นเด็กสร้างภาพและใจดีจริงๆ (แต่กูจะเอาช้อนนมไปทำอะไรวะ) ถามว่าร้องไห้ทำไม เอ้บอกว่างอแงไม่ยอมกินข้าว สนใจที่ไหน ไปถึงก็ล้างมือแล้วขึ้นไปชั้นลอย โซโล่เล่นวิ่งไล่จับกับมันต่อ สนุกสนานบันเทิงกันจนบ่ายสองไม่ยอมหลับยอมนอน...
กว่าจะยุรยาตรไปถึงบ้านติ๊ก-ปุยที่ชลบุรีก็บ่ายสามแล้ว (ฝนกับพัตเตอร์ไม่ได้ไปด้วย เพราะพัตเตอร์ไม่สบาย เป็นร้อนใน เลยต้องอยู่บ้าน แต่พวกกูไป มันก็ไม่เหมือนเด็กไม่สบายหรอก) พอไปถึง ติ๊กจะต้องพาปุยออกไปทำผมสวยงาม ในขณะที่เรากับหลิว เล่นกับพัตเตอร์มา เสื้อผ้ายับยู่ยี่ แต่น่าสงสารมันตรงที่ มันหิ้วท้องรอเรา เพราะเราบอกว่าจะมากินข้าวกับมัน...เอาซะกูรู้สึกผิดเลยแม่ง... บอกมันไปว่า “ไปไหนก็ไปเถอะ เดี๋ยวกูสามคนเฝ้าบ้านให้เอง” มันก็เอาส้ม และพุทธามาวางไว้ให้กิน ดูชิงร้อยชิงล้าน sunshine day ไปด้วย ตลกขำกลิ้งกันไป มีตั๊ก บริบูรณ์เป็นแขกรับเชิญ หม่ำบอกว่า เล่นด้วยแล้วปวดประสาท ตั๊กมันชอบขำตัวเองก่อนปล่อยมุข มีมุขหนึ่งมันบอกว่า อย่ามาทำหน้าแอ๊บนะ ถามว่าแอ๊บอะไร ตะโกนใส่หน้ากลับว่า แอ๊ป-แอฟริกาไง อันนี้บักเอ้รีบจำไปเล่นเลย
หลังจากกินพุทธาและส้มหมด เราก็เริ่มหิวจริงๆแล้ว ก็ไปคุ้ยๆหา ว่าบ้านพวกมันมีอะไรให้เรากินบ้าง บ้านใหญ่โตช่างแห้งแล้งเหลือเกิน มีแต่เนื้อแห้งที่แช่ช่องฟรีซอยู่ แข็งเป๊ก...แต่ดีกว่าไม่มีอะไรเลยวะ เอามาเข้าไมโครเวฟกินประทังชีวิตไปก่อนก็ได้ หลิวเจอขนมถุง 1 ถุงบนโต๊ะ ก็เอามากินด้วย ย้ายตูดไปนั่งกินและดู true Hi-Def. ข้างบน เราสามคน ไม่มีบ้านใครมี Hi-def เราเลยสรุปกันว่า “กูว่ามันชัดเกินไปว่ะ”
ติ๊ก-ปุยกลับมาพร้อมปอเปี๊ยะทอดและผลไม้ ก็กินตามเข้าไปอีก ทีนี้เริ่มอิ่ม เริ่มง่วง นอนเกลือกกลิ้งไปมา เสื้อผ้าเละเต็มรูปแบบ ตู่โทร.มาเรื่อยๆ บอกว่าอยู่ฉะเชิงเทรา ให้เอ้บอกทาง ตาลโทร.มาบอกว่าไปหาแม่ก่อน แล้วค่อยเจอกันในงานเลย นอนเกลือกกลิ้งจนปวดขี้ จนไปขี้ จนขี้เสร็จ ปุยก็ยังแต่งตัวไม่เสร็จ หกโมงกว่าแล้ว เอ้ หลิว เรา ก็เลยไปกันก่อน
ตู่ก็โทร.มาอีก ถามว่าเราอยู่ไหนแล้ว “แล้วมึงล่ะอยู่ไหน” มันบอกว่า “กูอยู่บ้านกีต้าร์” เราเลยถามมันไปว่า “กีต้าร์นี่ใช่ญาติกูมั้ย” มันบอก “กวนตีนแล้วนะมึง” คุยกับมันทีไรเป็นอย่างงี้ทุกที แหม...ไม่ค่อยกวนตีนเลยนะมึงน่ะ แม่งเกิดมาไม่เคยเห็นกันซักครั้ง กูจะรู้มั้ยว่าใครคือกีต้าร์ กะอายุยังไม่ถูกเลย วางสายมันไปอย่างไม่ได้สนใจอะไร บอกแต่ว่า เดี๋ยวเจอกัน
พอไปถึงงานก็เจอเปี๊ยก ไฝ จอย เราก็เขียนอวยพรปุ้ยในสมุด ลืมคิดมุขไป เลยเขียนไม่ค่อยไหลลื่น นึกไม่ออก เพราะโดนไซโค มีคนรอต่อคิวกดดัน เหมือนอยากขี้ แต่มีคนรอเข้าห้องน้ำต่อ ขี้จะหดได้โดยอัตโนมัติ อย่างงั้นเลย รู้สึกเก้อๆเขินๆ แล้วก็ได้ไปถ่ายรูปกับบ่าว-สาว วันนี้ปุ้ยสวยสมกับเป็นเจ้าสาว ผอมเพรียวด้วย แต่งชุดเจ้าสาวออกมาสวยดี แฟนปุ้ยชื่อพี่ปอ ไม่หล่อ แต่เป็นคนดี ทำงานอยู่ที่คายาบ้าเหมือนกัน เป็นผู้จัดการคนละแผนก ปุ้ยเป็นไก่วัดกินสมภาร ถ่ายรูปได้แค่ 2 แชะ พอเป็นพิธี แล้วก็ไปหาโต๊ะนั่ง
แล้วติ๊ก-ปุยก็มา ปุยใส่ถุงน่องสีดำ โดนเอ้ล้อว่าขาดำ สกปรก ไม่ล้างขา บักตู่ไม่มาซักที โทร.มาอย่างเดียว ตอนนี้ที่โต๊ะมี เอ้ หลิว ติ๊ก ปุย จอย ไฝ เปี๊ยก และเรา ก็คิดว่าถ้าเรานั่งกันโต๊ะเดียวจะพอมั้ย รอเท่าไหร่บักตู่ก็ไม่มา ทุกคนลงความเห็นว่า เราโดนมันหลอกแน่ เราบอกว่า รอเดี๋ยวก่อน ถ้ามึงลงทุนโทร.มาอำกูได้ทั้งวัน โดยที่ไม่โผล่หัวมาจริงๆนะมึ้ง จะโทร.ไปฟ้องแม่มัน เริ่มด่าบักตู่ในใจ เพราะแรงยุและหัวเราะเยาะของเพื่อนๆ แล้วมันก็โทร.มาอีก
ตู่: “กูอยู่หน้างานแล้ว”
เรา: “งานไหนของมึง”
ตู่: “ก็งานแต่งปุ้ยไง”
เราเริ่มอยากเช็คให้แน่ใจ: “ที่หนายยย”
ตู่: “ก็ที่แปซิฟิคฮอลล์ โรบินสัน”
เรา: “ข้างๆงานมีอะไร”
ตู่: ..................
เงียบ...ไม่มีเสียงตอบ ตัดสายทิ้ง เหี้ยละไงมึง เล่นเหี้ยอะไรเนี่ย ขณะที่กำลังรู้สึกเสียหน้าและโกรธมันที่กล้ามากวนตีนเราอยู่นั้น หันไปดูที่ประตู มีชายคนหนึ่ง ปรากฏเงาดำขึ้นที่ประตู เหมือนโดเรม่อนหน้าแก่ ตัวอ้วนมากกลิ้งมาเลย มีหนวดเคราเฟิ้มด้วย บักตู่...เย่...บักตู่มาจริงๆด้วย ไม่น่าแตกแล้ว เพื่อนๆกำลังจะเตรียมล้อกูอยู่แล้ว
ตู่มันกลัวมาก ว่าเพื่อนจะบอกเวลาผิด เพราะตอนงานบักอ้วน เค้าเลี้ยงกลางวัน มันไปถึงตอนบ่าย ชาวบ้านเค้ากำลังจะกลับ เพื่อนๆคงจำกันได้ คนที่ไม่มีวันลืมจริงๆ ก็คงเป็นมันนั่นแหล่ะ ขับรถ 600 กิโล เพื่อไปงานแต่งเพื่อน พอไปถึง เค้าแต่งกันเสร็จแล้ว แถมตอนโทร.มาถาม คิดว่าเราอำอีกต่างหาก โคตรสงสารมันเลย ขำก็ขำ สงสารก็สงสาร พูดก็ไม่ออก มันโทษว่าเราไม่ยอมบอกมัน ยอมรับผิดก็ได้วะ ทั้งๆที่จริง ก็ไม่รู้ว่ากูผิดตรงไหน มันไม่ถามเราซักคำ งานก็ไม่ใช่งานกูซักหน่อย ที่สำคัญไม่ถามบักอ้วนซึ่งเป็นเจ้าบ่าวด้วย หลังจากนั้น มันก็เลยหลอนมั้ง
ครั้งนี้บักตู่พาเพื่อนมาด้วย 2 คน คือเกียรติ ที่เป็นผู้พิพากษาอยู่ที่มหาสารคามบ้านเดียวกับมัน และกีตาร์...เปิดร้านทำป้ายอยู่ที่ชลบุรีนี่แหล่ะ บักตู่จะพยายามถามทุกคนว่าจำกีต้าร์ได้มั้ย เป็นคำถามที่หน้ามึนมาก เพราะไม่มีใครเลยที่เคยเจอกีต้าร์เพื่อนมันมาก่อน ตอนแรกคิดด้วยซ้ำว่า กีตาร์นี่มันเด็กสองขวบรึเปล่าวะ เพิ่งรู้ว่าเป็นเพื่อนมันและเห็นหน้าครั้งแรกก็ในงานนี่แหล่ะ บอกมันว่า “จำได้แต่พ่อกีตาร์ นู่น...เชลโล่ไง อยู่บนเวที ลูกกีตาร์ก็จำได้นะ อูกูเลเล่...แต่วันนี้ไม่มา” เวลาโดนเถียง ตู่มันจะแบะหน้าใส่เรา เพราะไปต่อไม่ได้ สะใจชะมัด...แต่คุ้นๆหน้าเกียรติเพราะเคยเจอในงานศพพ่อมัน บอกทั้งสองคนว่ายินดีที่ได้รู้จัก อาจมีประโยชน์ในอนาคตนะ ขอบคุณที่เดินมาให้รู้จัก กูอาจโชคดี เค้าอาจโชคร้ายที่ได้มารู้จักกู๊
บักตู่มากระซิบบอกว่าไม่อยากเจอหน้าบักติ๊กเลย รู้สึกผิดที่ไม่ได้มางานแต่งติ๊ก-ปุย เราเลยบอกว่า นั่นสิมึง! แม่งทำไมไม่มาวะ...แล้วมึงมาเหรอนุ้ย...เปล่า กูก็ไม่ได้มา แต่กูไม่รู้สึกผิดเลยนะ...จำไม่ได้แล้วด้วยว่าทำไมไม่มา แต่มันก็ต้องเป็นเพราะติดธุระอะไรล่ะน่า เพราะปกติ ก็ไม่นิยมพลาดอยู่แล้ว พอติ๊กมานั่งที่โต๊ะ แล้วพูดถึงงานแต่งตัวเอง เรารีบตะโกนชี้ก่อนเลยว่า บักตู่แม่งไม่ได้มาว่ะติ๊ก เจอบักห่าตู่ด่าทั้งทางกายคือสายตา และทำหน้าเหยียดหยามสุดๆ วาจาคือคำด่า ที่ฟังแล้วจำไม่ได้ ในใจมันคงด่ากูจนชินแล้วล่ะ ก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอก คนบาปหนา... เกียรติเล่าให้ฟังว่ามีวันหนึ่ง มันกอดขวดไฮเนเก้น เมากลับบ้านตอนตีสาม เจี๊ยบจับได้คาหนังคาเขา ด่ากระจาย สมน้ำหน้ามัน ภรรยาที่เคารพมันยังกล้าลบหลู่เล้ย เอาอะไรกับเพื่อนอย่างเรา..ไอ้เวร...
ในการ์ดเขียนว่า งานเริ่ม 6 โมง แต่เริ่มงานจริง คือมีพิธีกรขึ้นเวทีมานำเสนอหน้าบ่าว-สาวตอนเกือบ 2 ทุ่ม พิธีกรเป็นคนของออร์กาไนเซอร์ ขาวสวย นุ่งสั้น ชุดตอนไฟสาดเหมือนกำมะหยี่สีเขียวหัวเป็ดสว่างตา ขึ้นเวทีแล้วเด่นมาก เสียงก็เป็นเสียงของดีเจชัดๆ เสียงเพราะมาก ไม่มีเอ่ออ่าอ้ำอึ้งให้รำคาญหูเลย น่าจะไปเป็นโฆษกให้เจ๊นายก แล้วตาลมันก็เยื้องย่างมาตอนช่วงประมาณนี้แหล่ะ เอาน้องมาเป็นบังเกอร์ด้วย น้องตาลชื่อโอ๋ก็มีฟัน แต่ไม่ยักกะเหมือนกันแฮะ หนีบเอาน้องมาเป็นข้ออ้างในการรีบกลับล่ะมั้ง มุขพื้นที่สุด ชิ...ยังกล้าเอามาเล่น เจอมุขบักตู่เด็ดกว่า ถามว่า “ตาลจำกีต้าร์ได้มั้ย” ตาลได้แต่หัวเราะ เอาฟันเฉาะหน้าบักตู่ที่ถามไม่ดูกาลเทศะเป็นการสั่งสอน เอ้บอกว่าวันนี้ตาลแต่งตัวสวย เกือบจำไม่ได้ ดีนะที่จำฟันได้ ตาลหันหน้าไปหาบักเอ้ เอาฟันเฉาะมันหนึ่งทีเป็นการทักทาย
เปิด VTR บ่าว-สาว present ตามมาตรฐานสากล เจ้าบ่าวยังเล็ก เจ้าบ่าวโตขึ้นมา เจ้าบ่าวมีเพื่อน เจ้าบ่าวเรียน เจ้าบ่าวไปเที่ยว ทุกรูปต้องวงกลมหรือมีลูกศรชี้หน้าเจ้าบ่าวด้วย เจ้าสาวยังเล็ก สาวเจ้าโตขึ้นมา สาวเจ้ามีเพื่อน เจ้าสาวเรียน และเจ้าสาวไปเที่ยว ทุกรูปก็ต้องวงหน้าเจ้าสาวไว้ด้วย เพราะ VTR มันเปิดแป๊บเดียว ห้ามพิจารณานาน เดี๋ยวจะเดาผิดคน ให้ดูผ่านๆได้เท่านั้น หลังจากนั้นก็จะเป็นรูปคู่เมื่อพรหมลิขิตบันดาลชักพา ดลให้มาพบกันทันใด ก่อนนี้อยู่กันแสนไกล พรหมลิขิตดลจิตใจ ฉันจึงได้มาใกล้กับเธอ ก็จะมีรูปไปเที่ยวด้วยกัน จับมือกัน จูงมือกัน ทำกิจกรรมกลางแจ้งด้วยกัน รักนะ จุ๊บๆ Happy Ending…
งานนี้ประหลาดอยู่อย่าง ปุ้ยเจ้าสาวของงานก็อาจจะยังไม่รู้ และให้ไฝดูไว้ อย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ก็ตอนฉาย VTR คนจะดู VTR ต้องแบ่งสายตาไปดูเด็กเสิร์ฟ มันจะเอาอาหารมาเสิร์ฟอะไรตอนนี้วะ ไฟแม่งก็ปิดมืดมิดสนิทบอด เค้าเจตนาจะให้แขกเหรื่อชมความรักความภักดีของบ่าวสาวในจอให้เต็มลูกกะตา เพราะมันสว่างอยู่ที่เดียว แล้วมึงจะเอาอาหารมาเสิร์ฟตอนนี้เนี่ยนะ มืดๆอยู่ อาหารแม่งก็เต็มโต๊ะอยู่ จัดสรรพื้นที่ก็ลำบาก เพราะมองไม่เห็น จะไม่เอา หลิวแม่งก็กลัวพลาดเมนู ก็ไม่ได้อีก หลายอันเลยนะ ที่แม่งเอามาเสิร์ฟช่วงนี้เนี่ย ที่ตลกคือมันเอาหม้อไฟมาเสิร์ฟตอนนี้ด้วย ร้องเฮ้อกันเป็นแถว
บ่าว-สาวขึ้นเวที สปอร์ตไลท์สาดกระจาย สว่างใสเป็นโอโม่กันไปเลย ปุ้ยใส่ชุดเจ้าสาวสีขาวเกาะอกตรงกระโปรงเป็นสุ่มระพื้นเสี่ยงสะดุด สวยจ้าท่ามกลางแสงสปอร์ตไลท์ พ่อแม่เจ้าสาวขึ้นเวที พ่อเจ้าบ่าวขึ้นเวที...แม่พี่ปอ (เจ้าบ่าว) เค้าเสียแล้วเลยไม่ได้ถูกเชิญขึ้นเวที ประธานคนที่ 1 คล้องมาลัย ให้พร ยกแก้วพร้อมแขกเหรื่อลุกขึ้น นึง...ซอง...ซั่ม ยกแก้ว ไช-โยๆๆ ประธานคนที่ 2 ให้พร ประธานคนที่ 3 ให้พร พิธีกรเล่าประวัติความเป็นมาของบ่าวสาว เรียนอะไร อยู่ที่ไหน เจอกันที่ไหน ทำงานอะไร อนาคตประเทศชาติบ้านเมือง ก็เล่ากันไป ถามความประทับใจ พี่ปอประทับใจอะไรปุ้ย ปุ้ยเป็นคนเก่งครับ มีความรับผิดชอบครับ ปุ้ยล่ะประทับใจอะไรพี่ปอ พี่ปอก็เก่งค่ะ มีความรับผิดชอบ ดูแลดี ทำงานบ้านได้ เย็บปักถักร้อยได้ (ฮ้า...มันจะดีเหรอ) ทำอาหารได้ ทำงานก็เก่ง สรุปคือดูแลปุ้ยได้ทุกกระเบียดนิ้ว ไอ้ปุ้ยอาจลำบากแค่กระดิกนิ้วนอนกินก็ได้นะงานนี้ จบสวยๆด้วยการให้เจ้าบ่าวจูบเจ้าสาว เจ้าสาวจูบเจ้าบ่าว Happy Ending ด้วยตัวแสดงจริง
พวกเราก็นั่งที่โต๊ะ โม้กันไป ลุ้นเด็กเสิร์ฟอาหารกันไป แต่ขึ้นชื่อว่าโต๊ะจีนทีไร ทำไมต้องมีหูฉลามด้วยวะ ดูมงคล ดูแพง แสดงฐานะหรืออะไร อันนี้ขอแสดงความเห็นส่วนตัวเล็กน้อย การฆ่าอะไรที่มันตัวใหญ่ๆเช่น ฆ่าช้างเอาแค่งา ฆ่าฉลามเอาแค่ครีบ แล้วก็โยนมันลงไปให้ตายในทะเลด้วยตัวเอง คิดแล้วมันเศร้า เมื่อก่อนก็กิน คือไม่ได้คิดอะไร แต่พอดีมีเพื่อนพูดถึงให้ฟัง แล้วได้อ่านหนังสือด้วย รู้สึกเศร้าเลย ที่มีส่วนในการทำร้ายมัน ที่พูดนี่ไม่ใช่เพราะกระแดะแต่อย่างใด แต่มันทำใจยากอยู่นะ ถ้าคิดว่ายักษ์แม่งฆ่าเรา เพราะอยากแทะเล็บมือเรา แล้วโยนที่เหลือทิ้งหมด ตายอย่างไร้คุณค่าจริงๆ วัวหรือหมูที่เรากินอยู่ทุกๆวัน มันพลีชีพที กินได้เกือบทุกอย่าง กระดูกยังมีประโยชน์กับหมาเลย แต่ฉลามมันไม่ใช่ โดนฆ่าร้อยเพื่อโดนแดกแค่ 0.1 กูว่าสงสัยไดโนเสาร์มันสูญพันธุ์ได้ เพราะเจอมนุษย์ถ้ำหาวิธีล่าไปแดกกระดูกก้นกบหมด มนุษย์เก่งที่สุด และก็ใจร้ายที่สุดด้วย ใครเชิญกูไปงานหน้า ถ้าทำได้...ขอร้อง เลี่ยงเมนูเหี้ยนี้เถอะนะ ถ้ามันจะต้องแสดงความมั่งคั่งกันจริงๆก็ไม่เป็นไร กูทำใจเองก็ได้ เอ้า...จบความคิดเห็นเครียดๆได้
เด็กเสิร์ฟน้ำจะไม่ค่อยอยากมาโต๊ะเรา เพราะมาเจอบักตู่ทีไร เหล้าในถาดมีเท่าไหร่มันขอหมด บอกว่าขอเก็บเป็นสต็อก ตอนแรกเด็กงง หลายครั้งเข้าเค้าก็ชิน มีแต่มันและเพื่อนๆ และติ๊ก และเปี๊ยกที่กินเหล้า บักเอ้ก็กินโค้ก เพราะไม่มีใครช่วยขับรถให้ แล้วก็มาถึงตอนที่เจ้าบ่าว เจ้าสาวลงมาจากเวที ไปตัดเค้ก แล้วก็เดินถ่ายรูปเพื่อขอบคุณแขกที่นั่งชะเง้อคอรอคอยอยู่ทั้งฮอลล์ กว่าจะมาถึงเราก็ท้ายๆแล้ว หลังจากนั้น การถ่ายรูปก็ลามปาม เตลิดเปิดเปิง ใครที่แต่งตัวมาสวยๆ ก็ขอเชิญพวกคุณมึงไปทัศนาเอาใน facebook นะ เค้าก็ถ่ายกันเต็มที่เลย งานนี้พวกเราไม่มีใครเอากล้องมากันเอง เพราะคิดว่าคนอื่นจะเอามาเหมือนกัน หวังน้ำบ่อหน้า ไอ้ที่ถ่ายมาได้ เลยกลายเป็นกล้องมือถือทั้งนั้น ภาพผลลัพธ์ก็ออกมาตามมีตามเกิดอ่ะนะ
และแล้วงานเลิก แขกพากันกลับ ป้าใส่ชุดผ้าไหมสวยหรูที่อยู่โต๊ะหน้าเรา เปิดกระเป๋าแล้วควักถุงร้อนออกมาปึกใหญ่ เห็นแล้วก็ฮา แกตักอาหารเหลือลงถุงหมด ความจริงคิดว่าเป็นวิธีการที่ถูกต้องนะ...ถ้าไม่อาย ซึ่งอายไปก็อด ถ้าไม่อายก็ยังมีอาหารดีๆกินในมื้อต่อไปด้วย เห็นอาหารที่เหลือแล้วก็ยังเสียดายแทน มันเหลือบานเบอะเยอะจริงๆ เหลือทุกโต๊ะ ไม่มีโต๊ะไหนกินหมดเลย ไม่เว้นแม้กระทั่งโต๊ะเรา ถึงจะมีหลิวกระเพาะไดโว่จอมเขมือบอยู่ หลิวยังบ่นเสียดายเลย เราก็เสียดาย ถ้าอาหารพวกนี้มันจะต้องถูกทิ้ง เห็นป้าโต๊ะหน้าและลูกหลานช่วยกันตักใหญ่ อยากเดินไปยกนิ้วให้ ป้าหาญกล้ามาก...
แล้วเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวก็แยกย้ายกันต้อนรับ ‘แขกเหลือ’ ของตัวเอง ปุ้ยก็มานั่งคุยกับพวกเราที่หน้างาน ช่างภาพตามมาถ่ายรูปต่อให้อีกหน่อย ในแฐแนะที่ไอ้พวกนี้มันไม่ยอมกลับซักที มีรูปกระโดดด้วยแต่กระโดดไม่ค่อยขึ้นแล้ว ไม่รู้จะโดดกันทำไม ดีไม่ชวนแพล้งกิ้ง พวกเรามายืนแทะโลมจิกตีกันเหมือนตอนเป็นเด็กๆนั่นแหล่ะ ไฝบอกว่างานไฝเดือนพฤษภาคมนี้ ขอให้นุ้ยกับหลิวใส่กระโปรงได้มั้ย กูรีบขานรับนโยบายทันที “ใส่กระโปรงก็ด้ายยย แต่ไม่ใส่ซองนะเว้ย” พร้อมกับตีมือกับหลิวเป็นคำมั่นสัญญา ไฝยิ้มหน้าเจื่อน กลบเกลื่อนความกวนตีนของพวกเรา
ปุ้ยบอกว่าหลังจากงานแต่ง ทั้งปุ้ยและพี่ปอกลับไปทำงานต้องไปรับตำแหน่งผู้ช่วย GM คือได้โปรโมทกันทั้งคู่เลย ก็น่ายินดีด้วยเป็นอย่างยิ่ง เจริญๆเข้าไว้นะ ในอนาคตจะได้มีประโยชน์ ปุ้ยบอกว่า เดือนมีนาคมจะขึ้นบ้านใหม่ ก็เลยคุยกันคร่าวๆ ว่าพวกเรามารวมตัวกันที่ชลบุรีดีมั้ย ปีที่แล้วไปอีสานแล้ว ปีนี้ก็มาทางนี้บ้าง แล้วพวกเราก็อาจจะข้ามฟากไปเกาะสีชังหรือเกาะล้านกัน...แล้วแต่หลิว...เพราะหลิวเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางการท่องเที่ยวมากที่สุด
ติ๊กถามว่า “นุ้ย...มึงมีพุงเหรอ” ใจอยากจะบอกมันเหลือเกินว่า ‘เปล่า...กูท้องน่ะ’ แต่ทำได้แค่คิด ชีวิตจริง คือลูบเสื้อติดพุงให้มันดู แล้วบอกว่า “เออ...ก็มีตั้งนานแล้ว” โอ้ววว! อยากมีโอกาสได้หันมาทำหน้าเท่ๆ ตะโกนกรอกหูเพื่อนๆจริงๆเลยว่า ‘It’s my turn...ตากูแต่งบ้างละน้า...’ แต่ชาตินี้สงสัยจะไม่ทันซะแร้ววววว....
ตำนานงานแต่งงานปุ้ยขอจบลง ณ ตรงนี้แหล่ะ...
ปล. หลังงานแต่งปุ้ย...
1. เมื่อวันจันทร์ตอนกลางคืน ได้รับโทรศัพท์กอรี่...ช้าไปแล้วต๋อย มันบอกว่าไม่รู้เรื่องงานแต่งงานปุ้ยเพราะไม่ได้อ่าน mail เลย...ความจริง เราได้ message ไปบอกมันนานแล้วว่าให้อ่าน mail ด้วย แต่เมื่อเพื่อนแก้ตัวมา ก็ต้องตามน้ำไป เฮ้อ... แล้วกอรี่ก็ไม่ได้ติดต่อกับตู่ด้วย เพราะกลัวว่าตู่จะโกรธตั้งแต่ครั้งที่ไปสร้างเรื่องในงานแต่งตู่ ก็เลยคงไม่อยากชวนไปด้วย เราก็ไม่เข้าใจว่าตู่มันจะโกรธเพื่อนได้ยังไง หลังงานบักตู่ เราได้เจอกันทั้งตอนที่ไปงานศพพ่อตู่ และไปบ้านหลิวปีที่แล้ว น่าจะรู้ได้ว่าเพื่อนไม่ได้โกรธ จะคิดมากให้มันหัวล้านกบาลถลอกทำไมวะ ได้โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อเพื่อนเลย เพื่อนดีเหี้ยๆ...หรือเพื่อนเหี้ยดีๆ ในชีวิตน่ะ มันหากันไม่ได้ง่ายๆหรอกนะ จะ reset ชีวิตบ่อยๆทำไมวะ มีเพื่อนก็รักษาๆไว้เถอะ สู้อุตส่าห์คบกันมาแล้ว ถ้าทำเบอร์เพื่อนหายจริงๆ ก็ถามกูได้ อย่างมากถูกด่านิดหน่อย ก็ต้องให้ไปอยู่แล้วแหล่ะ
2. Schedule เดือนมีนาที่บอกว่าจะนัดน่ะ เป็นยังไงเดี๋ยวจะแจ้งอีกทีเร็วๆนี้ เนื่องจากเมื่อวานโทร.ไปหาปุ้ย แล้วมันดันไม่รับสาย...หนอย...
It’s me…
เพื่อนพวกมึงคนเดิมเด๊ะ...
11 มกราคม 2555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น