ตอนเด็กๆ ที่ขายังสั้นกว่าไม้บรรทัด (นับจากส้นเท้าถึงเข่า) ตอนที่เรียนชั้นประถม เรามักได้ไปบ้านปู่ย่าบ่อยๆ บ้านนี้มีทุ่งนากว้างขวางอยู่หลังบ้าน ทุ่งนาก็เอาไว้ปลูกข้าว เมื่อไหร่ที่มันไม่มีต้นข้าว มันก็จะกลายเป็นที่วิ่งเล่นของพวกหลานๆจอมทะโมนทั้งหลายนี่แหล่ะ ห่างบ้านย่าออกไป ประมาณ 100 กว่าเมตร ก็จะมีบ้านป้าอยู่ พวกเราก็จะชอบวิ่งเล่นไปมา ระหว่างบ้านสองหลังนี้แหล่ะ แล้วแต่อารมณ์ว่าวันไหน ใครจะชวนไปเล่นที่ไหน
ตอนเด็ก รายการทีวีรายการโปรดของเราอย่างหนึ่ง คือมิติมืด ละครผีล้วน ดูเพื่อเอาไว้ไปโม้กับเพื่อนๆที่โรงเรียน และเพื่อให้ผีมีดีกรีความน่ากลัวขนหัวลุกเพิ่มขึ้น วิธีการดูของเราคือพาแม่มานั่งหน้าทีวีด้วย แล้วก็ดูโดยโผล่หน้าออกมาจากหลังแม่ ต้องเกาะเอาไว้ให้อุ่นใจอยู่เสมอ ตอนนั้นอย่าว่าแต่เรื่องเชื่อเลย กลัวถึงขั้นว่า เดี๋ยวอาจจะโผล่ออกมาให้เห็นเมื่อไหร่ก็ได้ ทั้งปอบ ทั้งกระสือ นกแสก...ที่บินผ่านบ้านใครจะมีคนตาย ผีตายโหง และอีกสารพัดผีเต็มไปหมด
และแล้วอาคนหนึ่ง เค้าก็เป็นผู้นำกุมารทองเข้าสู่ชีวิต จำได้ว่าเป็นตอนกลางคืน หน้าหนาว พวกผู้ใหญ่จะก่อไฟบนพื้นดินให้เรานั่งผิงนอกตัวบ้าน เค้าก็ชอบมีเรื่องมาเล่า แล้วทีนี้อาก็เล่าเรื่องที่บ้านที่อยู่สิงห์บุรีให้ฟัง อาบอกว่าบ้านเค้าเลี้ยงกุมารทองด้วย คือเป็นเด็กที่ตายแล้วแต่ไม่ได้ไปเกิดใหม่ ก็เอามาเลี้ยงไว้ กุมารทองหรือคิดง่ายๆก็คือเด็กผี หรือผีเด็กนั่นแหล่ะ เค้าเล่าเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะ มีชื่อด้วย อาให้พวกเราเรียกว่า พี่ศรชัย พูดราวกับว่าพี่เค้านั่งอยู่กับพวกเราด้วย อาจมีโอกาสเห็นนะ ถ้าดื้อ...ไม่หรอก เราไม่ใช่คนดื้อ ใครพูดอะไร เชื่อหมดเลย หัวอ่อน
พอได้ฟังเรื่องของพี่เค้าเยอะๆเข้า เราก็เริ่มรู้สึกว่าพี่เค้ามีจริงนะ ชอบของเล่น ใจดี...แต่ถึงใจดีก็เป็นผีแหล่ะวะ ใครจะไปอยากเจอ เวลาไปเล่นบ้านป้า ยังไงก็ต้องกลับมานอนบ้านย่า ทีนี้ถ้ามันกลายเป็นเวลากลางคืนแล้ว ทุ่งนานี่น่ากลัวมาก ในความคิดเราคือน่าจะมีผีอย่างน้อย 1 ตัวแน่นอน และ 1 ตัวเริ่มต้นนี้ก็จะเป็นพี่ศรชัยเสมอ กลัวไว้ก่อนจะดีกว่า
พอจะกลับบ้านย่ากัน ขามันพาลก้าวยากๆซะอย่างงั้น ต้องมีพี่ๆที่ตัวโตกว่า หรือผู้ใหญ่นำทาง มันขำก็อีตอนแข่งกันวิ่งเพราะกลัวผี กลางทุ่งนาจะมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เปลือกไม้เป็นลายเต็มไปหมด พอวิ่งผ่านแล้วส่องไฟฉายไปมอง จะเหมือนกับมีผีมองกลับมา ก็แข่งกันสับขาวิ่งให้เร็วขึ้นไปอีก เพื่อหนีผีให้พ้น กลัวลนลานกันไปหมด พอกลับมาบ้านย่าได้ ก็หัวเราะสนุกสนาน ไฟสว่าง ผีไม่มาแล้ว
และพอได้ไปเห็นบ้านอาที่สิงห์บุรีจริงๆ ก็เห็นว่า ที่โต๊ะหมู่บูชา จะมีตุ๊กตาเด็กซึ่งคาดว่าเป็นพี่ศรชัยวางอยู่ มีของเล่นเด็กผู้ชายเต็มไปหมด อาบอกว่า พี่เค้าจะมาเล่นตอนกลางคืน พี่เค้าตลกนะ ชอบอำด้วย บางทีก็เอาของไปซ่อน ให้หากันไม่เจอ พออยากจะคืน ก็ให้มองเห็นง่ายๆซะอย่างงั้นเลย ใจดีมากด้วย...มีขโมยมาขโมยของ ก็เปิดประตูบ้านให้ พอเค้ากลับก็ปิดประตูให้ เอ่อ...อันนี้ใจดีเกินไปมั้ย เราก็ไหว้แสดงความเคารพ และไม่ขออะไรมาก ขอแค่ไม่ต้องมาให้เห็น แยกกันอยู่ก็ขอบคุณมากแล้ว แล้วเราก็โตมาโดยลืมๆเรื่องนี้ไป จะได้เห็นกุมารทองแค่ในละครทีวีเป็นครั้งคราวเท่านั้น
จนกระทั่งชีวิตรู้จักการดูดวง ทั้งๆที่ไม่ได้ชอบดูดวงเท่าไหร่ แต่มักจะได้ไป เพราะเหตุผลแห่งความอยากรู้ อยากสนุก ไปเป็นเพื่อนเพื่อน ทำหน้าที่ให้ความมั่นใจ เออ..แม่นว่ะ เหรอ...ไม่แม่นนะแก ก็ว่ากันไป พอไปทีไร เราก็ต้องนึกสนุกอยากดูด้วยทุกที มีครั้งหนึ่งไปดูไพ่ยิปซี ที่ใครๆว่าแม่นกันนักหนา พอเราเลือกไพ่ เค้าบอกว่าเราเคยทำแท้ง...ฮ้า...ข้อหาร้ายแรงไปรึเปล่าว้า
คือเราเนี่ยนะ ถ้ามีผู้ชายหล่อ รวย โง่ หลงเข้ามาในวงจรชีวิตได้นะ อย่าหวังว่ามันจะได้ออกไป อิอิ...(แอบฉายแววตาอันชั่วร้าย) และเราจะทำมันให้เราท้องเอง เราจะไปทำแท้งหานรกทำม้ายยย แต่เค้ายังยืนยันว่า เรามีเด็กตามมาด้วย เอ้า..เอาเข้าไป แบกมาแต่เป้เนี่ย เด็กเดิ่กที่ไหนกัน ลึกๆ เราก็คิดไปว่า เป็นมุขของคุณหมอ (ดู) เค้าแหล่ะ...สมมติว่าทักไปซักสิบ มันอาจจะเจอสักหนึ่งรายนะ ดูแนวโน้มการเพิ่มปริมาณประชากรในปัจจุบันเอา แต่วันนั้นไปกันประมาณ 5 คน มีกูคนเดียวที่เป็นเหยื่อ...เฮ้อ...อะไรว้า
พอเราอธิบายความโสดให้ฟัง หมอดูเอาใหม่บอกว่า เด็กที่ตามเรามา อาจมาจากชาติก่อน ทำให้เราไม่มีคู่ในชาตินี้ เออ...ดูซิ...ดูเป็นเหตุเป็นผลขึ้นมาเลย วันนั้นจึงจบลงด้วยการให้เราไปสะเดาะเคราะห์ โดยให้ไหว้พระอะไร ที่ไหน จุดธูปกี่ดอก ถวายอะไร ปล่อยปลาอะไร กี่ตัวๆ ที่ไหน ที่พอเดินออกมาก็จำอะไรไม่ได้แล้ว
แต่จะว่าไป การโดนทักในเคหะสถานอย่างงี้ ก็ยังดีกว่าเพื่อนอีกคน ตอนม.ต้น โดนทักกลางงานช้าง งานประจำปีจังหวัดสุรินทร์ มันเดินผ่านซุ้มหมอดู คนเดินเยอะแยะ อยู่ๆเค้าก็ตะโกนออกมาพร้อมทั้งชี้ว่า “น้องคนนั้นน่ะ น้องมีไฝในที่ลับนะ” มันเล่าว่ารู้สึกอายมากเลย เหมือนโดนชี้หน้าด่า แต่ก็ไม่มีคำหยาบ เถียงก็ไม่ได้ เพราะก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีรึเปล่า ต้องรีบๆ เดินหนีไป โดนทักท่ามกลางสาธารณชน เพิ่มความอายอีกหลายเท่าตัว นึกแล้วยังตลกอยู่เลย
เรื่องอย่างงี้ มันเป็นเรื่องที่มองไม่เห็น (เรื่องกุมารทองนะ ไม่ใช่เรื่องไฝในที่ลับ) ไม่เคยเห็นก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีจริง แต่เราคิดว่า ใคร “ทัก” อะไร ก็ไม่สำคัญเท่ากับเรา “ทำ” อะไรหรอก เรื่องที่เราทำ ใครไม่เห็น เราก็เห็น...เนอะ...
เดี๋ยวจะยาวเกินไป ไว้ต่อตอน 2 ดีกว่า...
It’s me
คนนะ...ไม่ใช่กุมาร...
18 ธันวาคม 2554

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น