อย่างที่รู้และไม่รู้กัน ว่าเราใช้ชีวิตปกติ ทำงานและอาศัยอยู่ที่สมุทรปราการ นานๆครั้งถึงจะได้เข้าไปหาเพื่อนเพื่อสัมผัสกรุงเทพชั้นใน เพื่ออัพเกรดความศิวิไลซ์ในสมอง แต่ด้วยความที่ไม่ค่อยจะรู้จักมักจี่กับสถานที่ต่างๆ ในเมืองหลวง ทุกครั้งที่เพื่อนๆนัดเรา เราจึงจำกัดจุดนัดพบเฉพาะเส้นทางที่รถไฟฟ้าแล่นผ่านเท่านั้น ถ้าเป็นที่อื่นที่มันซับซ้อนซ่อนเงื่อนล่ะก็ ฮ่ะๆๆ...ฝันไปเถอะว่ากูจะไปถูก...
ทุกครั้งที่ขึ้นรถไฟฟ้า เราก็จะมีโอกาสได้เจอผู้คนมากมาย แน่นอน...เราไม่รู้จักพวกเค้าหรอก แต่เราก็จะได้เห็น เห็นเค้าคนนั้นทุกครั้งไปสิน่า ไม่พลาดแม้สักครั้งเดียวเลย และเมื่อวานเป็นครั้งล่าสุดที่ได้มีโอกาสเจอ คืออย่างงี้ ท้องเรื่องมันมีอยู่ว่า
เมื่อเราขึ้นรถไฟฟ้า เราจะได้เริ่มที่สถานีแรกเสมอ เมื่อก่อนที่อ่อนนุช ตอนนี้ก็คือแบริ่ง ซึ่งประชากรก็จะเยอะเป็นธรรมดา เราก็ไม่รีบร้อนอะไร ก็รอเข้าท้ายๆตลอด วันไหนฟลุ้คๆได้เข้าก่อน ที่ประจำของเราก็คือ ฝาผนังห้องคนขับ ด้วยความที่ไม่ค่อยอยากนั่งเท่าไหร่ เพราะที่นั่งมีน้อย คนส่วนใหญ่ได้ยืน ชอบที่จะเป็นคนส่วนใหญ่ ชอบมีพรรคมีพวก
เราสังเกตมานานแล้ว เมื่อที่นั่งและตามฝาผนังเต็ม ตัวเลือกในการยืนของคน มักจะเป็นไอ้บริเวณเสาที่ตั้งอยู่กลางลำตัวรถ ที่เรียงกันเป็นแนวยาว เมื่อไหร่ที่เราไม่ได้ที่พิงแปะตามผนัง เราก็จะมาใช้ทำเลนี้เหมือนกัน คือตูมันเตี้ย ยืนจับเสาไว้จะง่ายกว่ายกแขนยื่นขึ้นไปจับไอ้ยางที่เป็นหูจับเสียงเอี๊ยด อ๊าดๆ (อยากรู้เหมือนกันว่าใครมันดีไซน์วะ เสียงเสนาะบาดหูเหลือเกิน)
แล้วทุกครั้ง ใครคนที่เราเอ่ยอ้างถึงว่าประทับใจในตัวเค้า ก็จะก้าวเข้ามา หน้าตาเค้าจะเปลี่ยนไปนะ (ถึงจะเจอคนเดิม เราก็คงจำไม่ได้หรอก) แต่ว่าเปลี่ยนเฉพาะหน้าตาแหล่ะ พฤติกรรมนี่เหมือนเดิมเด๊ะ ไม่อยากจะเชื่อ คิดๆอยู่ว่า มันคือพฤติกรรมเลียนแบบรึเปล่า
คือพอพี่แกก้าวเข้ามาแล้ว แกก็จะเอาหลังพิงเสาทันที เพื่อสกัดมิให้ใครมาจับเสาได้อีก คือเสานี้กูจอง พวกมึงที่เหลือก็ไปจับหูจับนู่นเลยไป๊ เค้าไม่พูดหรอก แต่การกระทำมันฟ้องชัดเจน พิงแล้วก็จะหากิจกรรมทำกลบเกลื่อนกันไป ปกติถ้าเราได้เจออย่างงี้ เราก็จะเดินไปทดสอบความหน้ามึนของตัวเอง และไอ้คนพิง ว่าใครจะมึนกว่ากัน เราจะทำด้วยการเดินไปที่เสาต้นนั้นแหล่ะ แล้วบอกว่า “ขอโทษนะคะ ไม่พิงเสาได้มั้ย ขออนุญาตจับเสาหน่อย” พูดเพราะมาก...ผลตอบรับร้อยทั้งร้อยที่ได้มาตลอดคือ เราก็จะได้เสามาเป็นของส่วนรวมอีกครั้งเสมอ
แต่เมื่อวานนึกสนุก ว่าแล้วว่าต้องเจอ แล้วก็เจอจริงๆ สงสัยอยู่ว่าใครมันจะโดนแจ็คพ็อตที่เราจะมอบให้วะ อ๊ะ...เราไม่ได้จะแกล้งเค้าหรอกนะ ก็เคยบอกแล้วว่าเป็นคนตัวเล็กๆ ไม่ก้าวร้าว ไม่ชอบหาเรื่องใคร เราแค่อยากดูพฤติกรรมของสังคมมวลรวม ว่ามันจะเป็นยังไงแค่นั้น แค่คิดเล่นๆ
และแล้วก็เจอน้องผู้หญิงคนหนึ่ง ประมาณจากสายตาแล้วน่าจะอยู่ม.ปลาย หรือไม่ก็มหา’ลัย แหล่ะ ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์รองเท้าคัทชู fashionable ตามประสาวัยรุ่นปกติทั่วไป เค้าเดินมาเข้าคนเดียว ทำหน้าเซ็งๆ เข้ามาแล้วก็จองเสาเป็นของตัวเองหนึ่งต้น แล้วก็พิงตามระเบียบ ส่วนคนอื่นที่ตามเข้ามายืนรอบๆ ก็เรื่องของมึ้ง ใครจะสน กูจะ BB ล่ะนะ
ว่าแล้วอีน้องก็หยิบ BlackBerry อาวุธคู่กายออกมา แล้วก็เข้าสังคมแชทในโลกไซเบอร์ของมันทันที คงเริ่มต้นด้วย “เออๆ...ขอโทษทีว่ะ ที่ต้องหยุดไปแป๊บนึง พอดีต้องเดินเข้ารถไฟฟ้าน่ะ อีรถนี้ก็แปลกเนาะ เมื่อไหร่จะมีระบบอุ้มกูขึ้นมาซักทีวะ ดูซิ ต้องเดินขึ้นมาเอง เสียเวล่ำเวลาจริงจริ๊ง...เออนี่ ตอนนี้ก็จองเสาได้ต้นหนึ่งล่ะ อ๋อ...ก็นี่ไง กำลังพิงอยู่ ฮาเนาะ...คนอื่นแม่ง...ไม่มีที่จับว่ะ.............”
เราคิดแทนมันแล้วก็แอบยิ้ม ยืนตลกร้ายอยู่คนเดียว มือก็จับเสาร่วมกับมือที่ไม่รู้จักอีก 4-5 มือ พอรถเริ่มแน่น คนเริ่มเยอะ มันก็มีปฏิกิริยาตอบโต้จากคนอื่นๆที่ยืนอยู่รอบๆ แหม...สนุกจริงๆ เราเห็นหน้าคนอื่นแอบเซ็งอีน้องนี่ แล้วก็มีมือผู้หาญกล้าคนหนึ่ง เห็นช่องที่เปิดอยู่ เนื่องจากอีน้องมันคงไม่รู้ตัว ว่าร่างกายคนเรา ส่วนหลังแถวๆเอว มันจะมีช่วงที่เว้าอยู่ ทำให้การจองเสาของมันไม่สมบูรณ์ มันจองได้ระยะจากหัว ถึงส่วนคอก็มีผมยาวๆจองไว้ได้ แล้วก็หลัง ข้ามส่วนเอว ไปที่ตูดเลย
พี่ผู้หญิงที่กล้าหาญคนนั้น เค้าก็เอามือเสียบเข้าไปในช่องว่าง ทำให้มือไปโดนหลังมันด้วย พี่คนนั้นก็ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ ตอนนี้อีน้องก็ BB ต่อไป “แม่ง...มีอีคนนึง หน้ามึนจังว่ะแก เอามือมาเสียบแย่งเสาชั้น จะโดนตูดอยู่แล้วเนี่ย รำคาญคอดๆ” อีน้องก็เสียอำนาจอธิปไตยไปแล้วส่วนหนึ่ง อีน้องทนรำคาญไม่ไหว ก็เลยสละพื้นที่ส่วนตูดเพิ่ม ก็มีคนมาจับเสาเพิ่มเป็น 3 แล้ว ก็รถมันคนเยอะ....
แม้ว่าอีน้องจะคิดว่าตัวเองมีน้ำใจแล้ว แต่ผู้คนก็อย่างเงี้ยแหล่ะ ได้คืบจะเอาศอก จบไม่รู้จักจบ ให้แค่นั้นจะเอาแค่นี้ มันก็มีคนอยากได้พื้นที่ช่วงหลังตอนบนด้วย ทีนี้แกก็เอามือสอดเข้าไปดื้อๆเลย แหม...ยังจำสีหน้าน้องคนนี้ได้อยู่เลย มันหันมาทำหน้าจิกใส่มือๆเหล่านั้น แบบว่า ‘พวกมึงไม่มีมารยาทกันเลยรึไงวะเนี่ย เกรงใจกันบ้างสิวะ เสานี้กูจองก่อนนะโว้ย’ แต่ไม่ได้ทำใส่หน้าเจ้าของมือตรงๆหรอกนะ เพราะอาจได้เจอตีนเป็นของแถม ไม่เยอะ แค่ 8 ตีนเอง เจ้าของมือพวกนั้นไม่เห็นสายตาจิกของมัน แต่กูเห็น เหมือนดูละครสั้นนะ สนุกดี...
อยากจะบอกว่าตอนนี้ท่ายืนของมันตลกมาก คือคนอะไรวะ ยืนได้เหมือนนอนสระผม พิงเสาเฉพาะหัวมึงก็ทำ ตอนนี้พิงได้แต่หัว เพราะโดนกระชับพื้นที่ไปหมดแล้ว และยังเดินหน้า BB ต่อไป อ๊ะ...น่าสนใจ เป็นวัยรุ่นที่มีจุดยืนอย่างมาก อนาคตของชาติ...
อีน้องคนนี้ขึ้นรถที่สถานีแบริ่ง มันยืนใจดำผ่านบางนา อุดมสุข ปุณณวิถี บางจาก อ่อนนุช พระโขนง เอกมัย ท่องหล่อ พร้อมพงษ์ อโศก นานา เพลินจิต ชิดลม ใจดำไปสุดที่ Station สยาม แล้วก็ลง ไม่รู้ตั้งกี่กิโลเมตร แต่ไม่รู้ว่าจะไม่รู้ตัวไปจนตลอดชีวิตเลยมั้ย
บางคนอาจเห็นว่า เรื่องแค่นี้เอง ทำไมต้องเอามาประจานกันด้วย เรื่องเล็กๆ นิดๆหน่อยๆ ทำอย่างกับเค้าโกงชาติบ้านเมือง เราไม่ได้เขียนเพื่อที่จะทำให้ใครได้อายนะ แต่เป็นเพราะว่า แค่พื้นฐานนิดหน่อยนี่แหล่ะ ที่มันจะรวมๆเป็นเรื่องใหญ่ เป็นพื้นฐานชีวิต เป็นพื้นฐานความคิด และส่งต่อให้ให้ลูกหลานรุ่นถัดๆไป ถ้าเรามีพื้นความคิดที่ดี มีน้ำใจแม้เพียงเล็กๆน้อยๆ เราก็จะทำเรื่องดีใหญ่ๆต่อไปเองได้ไม่ยาก
คนส่วนใหญ่ มักจะไม่บอกหรอก เพราะถือว่าไม่ใช่เรื่องของตัว กูเจอมันแค่แป๊บเดียวเอง เดี๋ยวก็ผ่านไป สังเกตมั้ยว่าเราเจอคนเห็นแก่ตัวบ่อยจะตาย และบ่อยครั้งที่เค้าเป็นเด็กเป็นเยาวชน ถ้าเค้ามีคนคอยบอก คอยเตือน เค้าก็จะรู้ได้ว่าสิ่งที่เค้าทำ มันไม่ควร อย่างน้อยก็จะอายที่จะทำ
ถ้าเราทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่ ต่างก็มองแล้วผ่านๆไป มันไม่ใช่หน้าที่ ต้องไปสนใจทำไม เดี๋ยวมันโตก็คิดได้เอง เด็กจะรู้จักคิดได้ยังไง ถ้าไม่มีใครคอยสอนให้คิด หรือบอกให้มันคิดแล้วไม่ทำให้มันดูเป็นตัวอย่าง คนเราถ้ามันมีพื้นฐานดี มันจะคิดเองได้โดยอัตโนมัติ อีกหน่อยชาติก็เจริญ มันเหมือนระบบ Pay it forward เราให้คน 3 คน คน 3 คน ให้คนอีก 9 คน คน 9 คนให้คนอีก 27 คน อย่างงี้ไปเรื่อยๆ ประเทศชาติไม่พัฒนายังไงไหว
นี่ยังไม่นับเรื่องการศึกษาที่มันไปไม่ทั่วถึง เราไม่ได้สอนให้คนรู้จักคิดถึงส่วนรวม และหัดทำดีตั้งแต่เด็ก พอโตมา จะตักน้ำรดหัวตอที่ไหนดอกไม้มันจะงอกเงย บางคนกินชาติบ้านเมืองอยู่ ยังไม่รู้เลยว่ามันผิด ทุกวันนี้บางคนคิดด้วยซ้ำไปว่าการทำดี มันก็แค่กระแส เราฟังแล้วอึ้ง ตอนเด็กๆ เราเป็นคน บริสุทธิ์ สดใส สวยงาม พอโตขึ้นมา กลายเป็นควายกันซะอย่างงั้นเลย อาจเก่ง อาจเฮง แต่เห็นแก่ตัว เราคิดว่า เราทุกคนคงไม่ได้เกิดมาแค่เพื่อตัวเองและครอบครัวหรอก เราน่าจะถูกส่งมาให้ทำหน้าที่ถ่ายทอดอะไรซักอย่าง เพื่อให้โลกมันจรรโลงขึ้นหรือจัญไรลงต่อไป
กลับมาที่อารมณ์ปกติ...ทีนี้ ‘ทุกภาคส่วน’ ก็คงต้องคิดล่ะค่ะว่า จะทำยังไง ให้ลูกหลานโตแล้วมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่เก่งอย่างเดียว หรือสวย/ หล่อ แค่เฉพาะกาย วาจา ใจไม่เกี่ยว หรืออย่างน้อยมันไม่สวย ไม่หล่อ แต่เป็นคนดีที่รู้จักมีน้ำใจ รู้จักรับผิดชอบต่อสังคมก็ยังดีเนาะ...
It’s me
ก็แค่เด็กบ้านนอก ตัวเล็กๆคนหนึ่ง...
19 พฤศจิกาคม 2554
Overcome (Welcome???) to my world!

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น