ที่บริษัทมีน้องคนหนึ่งเป็นผู้หญิง แต่ไม่อยากเป็นผู้หญิง แต่ก็ไม่สามารถเป็นผู้ชายได้ มันก็เลยเป็นทอม เป็นทอมมานานแล้ว ก่อนที่เราจะรู้จักมัน คงนานมาก มันชื่อว่า มี่ แต่เรียกว่าอีมี่ดีกว่า ดูไม่หยาบคายนะ เหมือนอีมี่มือถือไง อีมี่มีความเตี้ยประมาณ 150 cm แต่น้ำหนักก่อนขึ้นชก 87 กิโลกรัม บอกเพื่อให้นึกหุ่นออก ผมสั้นใส่เจลตั้งๆ เป็นวิศวะ อยู่แผนก R&D
ตอนนี้พนักงานที่บริษัทเราเค้ากำลังฮิตไปฝังเข็มลดน้ำหนักที่สำโรง ลือกันว่าเป็นหมอจากจุฬาฯ แต่เราก็ไม่ค่อยเชื่อหรอก เพราะถามๆดู ก็ไม่เห็นมีใครรู้จริงๆ หรือเคยเห็นหลักฐานอะไรเลย ถึงกระนั้นทุกคนที่ไปก็ยืนยันเสียงแข็งเลยนะ จุฬาๆ พี่... จุฬาแน่ๆ! ...มีแต่พวก ‘เขาเล่าว่า’ ทั้งนั้น ผลก็คือทุกคนที่ไปก็น้ำหนักลด มีคนมาชวนเราไปหลายคน แต่ไม่ไป คิดว่าพอหยุดอาจเจอโยโย่เอ็ฟเฟ็กต์ รู้จักมั้ย คือแดกหนักกว่าเดิม จะอ้วนกว่าเดิมแหล่ะ
ทีนี้อีมี่ก็อยากผอมบ้างไง ถ้านึกถึงหุ่นมันนะ ก็โก๊ะตี๋ดีๆนี่แหล่ะ เวลาเราคุยด้วย แล้วนึกว่าคุยกับโก๊ะตี๋จูเนียร์ เราก็จะอารมณ์ดี แต่มันก็อยากผอม อยากหล่อ อีมี่เป็นเด็กบ้านมีตังค์ มีรถหลายคัน ชอบเลี้ยงกิ๊ก เหมือนป๋าต๊อป (รู้จักมั้ยหว่า) พ่อมี่เป็นเจ้าของโรงงานที่อื่น มันเรียนจบเกียรตินิยม ที่พระนครเหนือ เราก็งงๆว่ามันมาทำงานที่นี่ทำไม เคยถาม...มันบอกว่าแวะมารอไปเรียนต่ออเมริกา ตอนนี้แวะมาหาประสบการณ์ ชีวิตช่างเลือกได้ แต่เป็นทอม...เป็นทอมแบบเอาผ้ารัดหน้าอกไว้เลยนะ...เป็นทอมตั้งใจจริง...ไม่ ใช่ไก่กา...ใช้เวลา ใช้ความเพียรสูง...
กลับมาที่อีมี่อยากผอม มันก็เลยไปคลินิคฝังเข็มนี้กะเค้าด้วย กาลเวลาเนิ่นนานผ่านไป น้ำหนักลดลงจาก 87 เหลือเพียง 78 และทั้งหมดที่เล่ามาคือความเดิมตอนที่แล้ว มาถึงเรื่องราวปัจจุบัน...วันศุกร์ที่ผ่านมา อีมี่ไปคลินิคตามปกติ ปกติการฝังเข็มจะใช้เข็มประมาณ 25-26 อันเนี่ยแหล่ะ ปักเข้าไปตามที่ต่างๆบนร่างกาย บนส่วนที่เราต้องการจะลด ในกรณีของอีมี่นี่ปักไว้ที่พุงทั้งกระจุกเลย แล้วเค้าก็ปล่อยไฟฟ้าเข้าไปกระตุ้นให้มันสั่นๆ อีมี่ก็นอนแอ้งแม้งดูความเจ็บปวดของตัวเองตามปกติ มี่บอกว่าพยาบาลก็อัธยาศัยใจคอดี ทำไปคุยไป ตาเตอนี่ก็ไม่ค่อยได้ดูอะไรหรอก ถนัดโม้มากกว่า ทำมาเป็นสิบๆปี ปักเข็มดึงเข็มเหมือนเล่นโต๋เล่นเปียโน พลิ้ว ไม่มีพลาด ชำนาญ...
พอเสร็จ...มี่ก็ขับรถกลับบ้านฝั่งพระประแดงตามปกติสุข พออาบน้ำ บิดตัวไปมาเท่านั้นแหล่ะ เอ๊ะ..ทำไมเจ็บๆ ตามสัณชาตญาณก็บีบๆดู ปรากฎว่ามีรอยไหม้อยู่ 1 รอย พอเล็งดูดีๆ ก็เจอรอยยาวๆ นูนๆ ยาวเท่านิ้วอยู่ในพุงมัน เฮ้ย...นี่มันเข็มนี่หว่า ด้วยความช็อค วิ่งไปบอกพ่อ พ่อมันบอกว่า เจ็บมากมั้ย ถ้าทนได้ ให้ทนไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยกลับไปที่คลินิค เพื่อเอาไปให้มันดูว่ามันลืมอะไรไว้รึเปล่า อีมี่ตัดพ้อพ่อว่า...ดูซิ ว่าพ่อหนูคิดได้ยังไง...(เรียกตัวเองว่าหนู เหมือนโก๊ะตี๋อีกแล้ว)...และแล้วอีมี่ก็ทน (พ่อ) ไม่ไหว เลยขับรถไปหาหมอที่โรงพยายาบาลด้วยตัวเอง
หมอตรวจดู...ปรากฎว่ามีเข็มคาอยู่จริงๆ แต่มันดิ้นไปมาในพุงนะ ไม่ได้อยู่ที่เดิมเหมือนเหล็กไนของผึ้งที่จะเอาลูกกุญแจมาบ่งออกได้ หมอฉีดยาชา ที่ตำแหน่งใกล้ๆไส้ติ่ง เพื่อจะผ่าเอาออก มันบอกว่าครั้งแรกที่ผ่า เข็มมันก็ดิ้น หมอต้องผ่าใหม่ เอานิ้วไปช่วยล้วงจับไว้ ฟังแล้วรู้สึกเหมือนหมอจะผ่าหมูมากกว่าผ่ามัน เมื่อหมอเอาเข็มออกมาแล้ว พบว่าเข็มนั้นหักจากยานแม่มันออกมา ความยาวที่เข้าไปคาพุงอีมี่ครั้งนี้ 5 เซนติเมตรถ้วน
ผ่าตัดวันศุกร์กลางคืน เสาร์-อาทิตย์ ก็หยุดนอนอยู่บ้าน วันจันทร์ก็สามารถมาทำงานได้ตามปกติ บริษัทสมควรมอบรางวัลอะไรซักอย่างให้กับความขยันของมัน เราเพิ่งรู้เรื่องเมื่อเช้า เลยเปิดสัมภาษณ์มันซะเลย มันบอกว่าพอไปโวยที่คลินิค เค้าจะไม่ยอมจ่ายค่ารักษาด้วยซ้ำ บอกว่าต้องไปเอากับคนขายเข็ม...กูลบความคิดเรื่องหมอจุฬาฯทิ้งไปทันใด ชุ่ยเกินกว่าที่จะกล่าวคำบรรยาย
แต่ในที่สุดเมื่อจนด้วยหลักฐานทั้งปวง อันได้แก่ใบรับรองแพทย์ เข็มเจ้าปัญหา ฟิล์มเอ็กซ์เรย์...และพิจารณาดูแล้ว...ก็ไม่มีเหตุผลที่ทอมอ้วนๆตัวหนึ่งจะ เอาเข็มมาแทงเข้าพุงตัวเองเล่นๆ เพื่อหาเรื่องคลินิก ก็เลยยอมจ่ายให้ เราคิดว่าอาจจะเป็นเพราะวิ่งกลับไปเช็คชุดเข็มหลังร้านแล้ว มีอันนึงที่มันหักอยู่จริงๆด้วย ก็เลย...ยอมก็ได้วะ...
เราถามมันว่าแล้วเค้าให้ค่าทำขวัญมั้ย มันบอกว่า “หนูไม่ได้ต้องการอะไร”...เอ๊า!...มึงจะมาแสดงสปิริตอะไรตอนนี้ คือปกติเค้าต้องให้ อย่างงี้นะ มันเรียกง่ายๆว่า ค่าปิดปากน่ะ มันบอกว่าเค้าไม่ได้ให้นะ อีคลินิคนี้แม่งโคตรกล้าเลย ไม่มีค่าปิดปากด้วย แถมยังบอกมันอีกว่า ตั้งแต่เปิดกิจการมา “ไม่เคยพลาดเลยนะ” เราบอกมันว่า...ไม่เคยบอกใครว่าพลาดเลยต่างหากล่ะมั้ง
เสร็จจากงานนี้ รับรองพยาบาลคงไม่กล้าพูดระหว่างทำงาน อาจมีการทำมาตรฐานความยาวเข็ม แล้วมีการเทียบทุกครั้งที่ดึงออกมา มันจะทำให้ความเร็วของการถอนเข็มลดลงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว หมายถึงรายได้อาจลดลงจากความเร็วนี้ ข่าวว่าเป็นคลินิคที่คนเข้าเยอะมาก อาจเป็นเพราะว่าเป็นหมอจุฬา (???) ...เราถามมันว่า “แล้วคุณโก๊ะตี๋จะไปฝังอีกมั้ยฮะ” มันบอกว่า “พ่อด่า ไม่ให้ไปแล้ว...”
คิดว่าอีมี่คงมีเคราะห์ ถึงคราวซวยอย่างแท้จริง เพราะเดือนก่อน เพิ่งเจอเหตุสยองมา คือฝนตก รถติดอยู่บนทางด่วน จอดรถจ่อตูดชาวบ้านอยู่ดีๆ มองไปทางกระจก ก็เห็นรถคันนึงสไลด์มาด้วยความเร็ว อีมี่ไม่รู้จะหนีไปไหน ได้แต่นั่งทำใจ โคร่มมมม!!!...รถคันนั้นชนตูดรถมัน...โคร่มมมม!!!...อีกครั้ง รถมันไปอัดก๊อปปี้กับรถคันหน้า เพื่อเผื่อแผ่ความซวยออกไป Altis ที่เพิ่งออกใหม่มาไม่กี่เดือน เป็นอันต้องเข้าอู่ไป ดีที่มันไม่เป็นอะไร
วันพฤหัสเพิ่งได้รถออกมาจากอู่ งดงามอีกครั้ง เอารถไปจอดแถวเกษตร-นวมินทร์ ร้านอาหารอย่างหรู พอออกมาจากร้าน เห็นรถเป็นรอยยุบที่ด้านหน้า มีคนมาเจิมให้โดยไม่ต้องร้องขอ ไม่มีการทิ้งนามบัตร หรือหลักฐานให้ตามหาตัวคนชนได้ อีมี่รับรู้ได้แค่ว่า รถที่ชนรถมันเป็นสีแดง เพราะเค้าทิ้งสีไว้ให้ที่รอยนั่นแหล่ะ...
เมื่อเช้าอีมี่มายืนเล่าเรื่องให้เราฟัง แล้วคนนู้น คนนี้เริ่มสนใจก็เข้ามารุมโต๊ะ ทีนี้แหล่ะ พี่ในแผนกคนหนึ่งเค้ามองเห็นอะไรบางอย่างที่ตัวอีมี่ เค้าเห็นว่ามันไม่มีนม...มหัศจรรย์...นมมันหายไปไหน...สงสัยแล้วแทนที่จะถาม มือไวกว่าความคิด เอื้อมไปจิ้มดูเลย...เรามองอยู่ก็ได้แต่อึ้งไป... “เอ่อ! นี่พี่จะไม่ขออนุญาตมันก่อนหน่อยรึ จับเลยเหรอ” มันมาเล่าเรื่องเศร้า แต่ทุกคนสนุกสนานกันมาก พอทุกคนเสพพอแล้วก็แยกย้ายกลับโต๊ะกันไป นี่แหล่ะเอกลักษณ์ความเป็นไทยอีกอย่างที่ค้นพบ...
เรื่องที่เล่ามานี่ ถึงตอนนี้เราก็ได้ไปขออนุญาตมันแล้ว ด้วยการไปถามตอนที่มันกำลังยืนซื้อขนมอยู่ บอกมันไปว่า “พี่ขอนะมี่” มันถามว่า “ขออะไรพี่” เราบอกว่า “เอาเป็นว่ากูขอ...และมึงอนุญาตแล้วนะ” เกิดวันใด มี่ได้มีโอกาสมาอ่านเรื่องของตัวเองเข้า พี่ก็ขอให้รู้ว่า พี่มีความตั้งใจเต็มเปี่ยม และไม่อยากให้โกรธ แค่เอาเรื่องมาแบ่งกันฮาๆ หากวันใดที่พี่กระทำการใดพลาด อนุญาตให้เอาคืนได้ตามสมควร...แต่วันนี้ พี่ขอนำไปก่อนก้าวหนึ่งนะ...
It’s me...
พี่ที่เอ็นดูน้องทุกคน...อิๆๆ...
11 พฤศจิกายน 2554

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น