วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

ในวันที่คิดถึงย่า...

ไม่ได้ Update เรื่องราวมา 1 อาทิตย์ เพราะเจออุปสรรคชีวิตไม่คาดฝัน

          ไม่นานมานี้ได้อ่านเจอประโยคดีๆ ประโยคหนึ่ง...And this too, shall pass. และสิ่งนี้ก็จะผ่านพ้นไป...ช่างเหมาะกับชีวิตอาทิตย์นี้ซะจริงๆ งานที่เราคิดว่าอยู่สุขสบาย อุตส่าห์ไม่สนใจใครแล้วเชียว อยู่ๆ ก็มีแสงออร่าเปล่งไปกระทบใครบางคนเข้า คราวนี้ข้าพเจ้าถึงกับโดนหมัดเด็ด Technical knockout หงายหลังตึง นอนนับดาวกันไปเลย ครั้งแรกในรอบ 11 ปี รูปการณ์ก็ออกมาเหมือนเราจะเป็นคนผิดซะด้วย ซวยอะไรเช่นนี้หนอ กลับสุรินทร์ไปเจอหน้าพ่อ-แม่ เอาฤกษ์เอาชัยดีกว่า

          คิดได้ดังนั้น วันศุกร์ก็เลยหลั่นล้ากลับบ้านกับน้องชาย โดยพาน้องสะใภ้ไปส่งให้กับพ่อตาแม่ยายมันที่โคราชก่อน แล้วเราสองคนก็ร่อนเร่พเนจรกลับสุรินทร์ไป พอไปถึง ปรากฎว่าพ่อบอก ย่าไม่ค่อยสบาย วันเสาร์จะนิมนต์พระมาเทศน์เพื่อเป็นสิริมงคล ให้ย่าสบายใจ เราก็พากันขนขโยงไปบ้านย่า รวมพลคนรักย่าครั้งนี้ ก็ได้เจอญาติๆ ทั้งป้า อา ลุง ที่มาจากทั่วสารทิศแบบครบทีม พี่น้องพ่อนี่ พอแก่กันไป อารมณ์ดีกันทุกคนเลย ก็ดีเนาะ คนเราเครียดมากไปก็ใช่จะมีประโยชน์

          มีการถ่ายรูปหมู่แต่ละครอบครัวกับย่าเพื่อเป็นที่ระลึก และพี่น้องพ่อรวมพ่อแล้วก็สนน 6 คนด้วยกัน ถ่ายรูปร่วมกับย่าก่อนที่พระจะมาถึง ได้รูปที่มีราคาแพงมาก คือ 4 ล้านด้วยกัน พ่อ อา ลุง หัวล้านกันหมด คนที่รอดจากการมีหัวล้าน คือป้าและอาผู้หญิงเท่านั้น สามารถใช้เป็นตัวอย่างแบบเรียนหัวล้านชนิดต่างๆได้เลย อาคนหนึ่งเคยบ่นเรื่องนี้ว่า เข้าไปตัดผมแล้วอาโกรธช่างตัดผมมาก เพราะเค้าคิดราคาเต็ม ทั้งๆที่หัวแกมีผมไม่ถึงครึ่ง เป็นมุขหนึ่งที่ฟังแล้วขำกลิ้ง

          หลวงพ่อที่นิมนต์มา ท่านเป็นพระจากวัดแถวนั้นแหล่ะ เคยเป็นพระอุปัชฌาย์ให้น้องชายตอนบวชด้วย พ่อเราก็ใส่บาตรท่านทุกวัน พอสวดมนต์เสร็จท่านก็เริ่มเทศน์ ว่าวันนี้มาเทศน์ให้คุณแม่บิน (ย่าเรา) ฟัง เพื่อจะได้อายุยืนยาว เพื่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกหลาน ท่านก็บรรยายไปสัก 2-3 paragragh แล้วทีนี้พี่น้องพ่อก็มองหน้ากันเลิกลั่ก

          เรานั่งพื้นอยู่ข้างๆย่าซึ่งนั่งบนเก้าอี้ เราก็งง ว่าเค้างงอะไรกัน คือคนอื่นทำหน้ายังไง กูก็ทำด้วย แล้วอยู่ๆ อาคนหนึ่งก็ยกมือขึ้น พูดกับหลวงพ่อ เป็นภาษาเขมร หลวงพ่อก็หัวเราะ แล้วหลังจากนั้น หลวงพ่อก็เริ่มใหม่หมดอีกครั้ง...ในเวอร์ชั่นเขมร เออว่ะ...ลืมไป คือย่าเราเนี่ยมีเชื้อสายเขมร แกฟังภาษาไทยไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ Speak ขะแมร์ปร๋อเลย ก็เลยออกลูกออกหลานที่บางคนก็หน้าตาค่อนไปทางเขมรอยู่บ้าง ปู่เราเป็นคนจีน ลูกหลานบางคนก็เลยหน้าตามีเค้าอาตี๋นิดโหน่ย ส่วนเรารักย่า หน้าตาก็เลยทิ่มไปทางเขมรชัดเจน

          ถึงหน้าเราจะให้ แต่ว่าใจไม่รัก ทำให้ความรู้ขะแมร์มีแบบกระปริดกระปรอย เด็กขะแมร์เห็นเราคงจะบอกเซาะกราววว ส่วนเด็กไทยเห็นคงบอก..ไอ้บ้านนอก คิดแล้วก็อยากให้ย่าเป็นอเมริกันบ้างจังวุ้ย ป่านฉะนี้อาจเดินเฉิดฉายลอยหน้าอยู่แกรมมี่ไปแล้วก็ไม่รู้

          พอหลวงพ่อท่านเทศน์เป็นภาษาต่างประเทศ ทีนี้สถานการณ์เปลี่ยน เหลือแต่เราที่คงหน้างงๆเอาไว้ มองไปรอบๆ มีอีน้องเราอีกคนหนึ่งที่นั่งทำเป็นนิ่ง ทั้งๆที่มันก็ไม่รู้เรื่อง เล็งไปฝั่งซ้าย เจอลูกอาที่เกิดและโตที่กทม. มันคงจะรู้หรอกว่าอะไรเป็นอะไร เห็นแต่นั่งมองหน้าหมาน้อย แล้วทำตาปริบๆ บุคคลผู้อยู่บนเก้าอี้ ที่เจอคาถานะจังงังนี้เข้า ก็มีแม่เรา (แต่ด้วยความช่ำชอง น่าจะพอ Translate ได้ซัก 50% แหล่ะ) มีอาสะใภ้อีก 2 คนที่ฟังไม่ออก ได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อน

          นั่งๆอยู่ได้อีกประมาณ 10 นาที ฟังออก 1 คำ คือ ‘กำลังเจิ๊ด’ แปลว่า กำลังใจ... เราก็รู้สึกว่าใจกูไม่บริสุทธิ์ซะแล้ว หนีไปก่อนจะดีกว่าที่จิตมารจะแสดงตัว ก็เลยคลานเข่า ผ่านหน้าทุกคนออกไปนอกบ้าน เซ็งตัวเองที่ดันเลือกที่นั่งซะข้างในเลย แถมเวลาออก ต้องคลานตัดหน้าพระด้วย เอาเข้าไป...

          เราไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐยอดนิยม ที่แคร่นอกบ้าน หลบมุมเงียบๆ อยู่คนเดียว ซักพักอาสะใภ้ก็ตามมาคุยด้วย พอดีว่าเสื้อแกเป็นสีเหลือง ที่แกแสนจะเชิดชู อย่าหวังว่าใครจะไปเปลี่ยนความคิดแกได้ แกเกษียณแล้ว อีกนัยหนึ่งก็คือแก่แล้ว แต่ยังชอบคิดนู่นคิดนี่อยู่ แกเชื่อว่าเสื้อเหลืองดี เสื้อแดงไม่ดี อยากจะบอกว่า เมื่อคืนก่อน เจอแม่ของน้องสะใภ้ อันนี้กลับกัน เป็นสีแดงแจ๊ด ใครอย่าได้มาแตะต้องของรัก เราได้แต่ฟังและหัวเราะกลบเกลื่อนอย่างเศร้าใจ คิดว่าคนอื่นๆที่เสื้อมีสี ก็คงเป็นคล้ายๆอย่างงี้แหล่ะมั้ง ส่วนเรา...รู้สึกว่าใครแม่งโกงบ้านกินเมือง หลอกใช้ความเป็นประชาธิปไตยในทางวิบัติ กูเป็นด่าหมด ไม่เลือกรูป รส กลิ่น สี...

          อาเล่าให้ฟังว่า แกไปเชียงใหม่ แล้วเจอกะเหรี่ยงชื่อลูลู่ที่สนามบิน เค้ามาทำงานปั๊มน้ำมันที่กรุงเทพ และบินกลับเชียงใหม่ทุกอาทิตย์ ถ้าอาไม่หูฝาดไป เพาะ-กะเหรี่ย-พู่-ม่า-ชะ ก็แสดงว่าเป็นกะเหรี่ยงระดับเทพ นั่งเครื่องบินกลับบ้านทุกอาทิตย์ อาบอกไม่กล้าถามว่าขายยาเสพติดรึเปล่า แต่ลูลู่เล่าว่า ลูลู่-เป-สี-แด และ ทะ-สี-ดี-นะ-มี-บ่อ-น้า-มา-ที่-ฝา-โด้ (เดี๋ยวจะลำบากกันไปใหญ่ เค้าว่า ‘ทักษิณดีนะ มีบ่อน้ำมันที่ฝางด้วย’) เรื่องจริงมั้ยไม่รู้ รู้แต่ว่าอาเชื่อเต็มร้อยไปแล้ว

          อาบอกลูลู่ไปว่า อย่า-มา-น่า-ก้า-พี่-สา-น้า, พี่-สา-เป-สี-เหลือ, เดี๋ย-สี-โต่-ส่า-กา, กา-เป-สี-น้า-น่า (อย่ามานั่งใกล้พี่สาวนะ พี่สาวเป็นสีเหลือง เดี๋ยวสีตกใส่กัน กลายเป็นสีน้ำเน่า) โถ...ลูลู่ มันเกือบจะดีแล้วเชียว อุตส่าห์เรียกคนแก่หัวหงอกว่าพี่สาว ไม่วายถูกเหน็บเข้าจนได้ แต่ว่าแล้วอาเราก็ชวนเค้าหัวเราะคิกคักกัน หนึ่งไทยเสื้อเหลืองกับหนึ่งกะเหรี่ยงเสื้อแดง ดี๊ด๊าขำขันกันไปน่าเอ็นดูดีมั้ยเนี่ย ดีนะที่ไม่โดนตำรวจจับซะก่อน ยังสงสัยอยู่เลยว่าลูลู่เป็นเด็กปั๊มอย่างเดียวแน่เหรอ...

          กลับมาเล่าเรื่องย่าต่อดีกว่า ถึงย่าจะพูดไทยไม่ค่อยได้ แต่ก็เป็นคนใจดีมาก ปู่ซึ่งเราเรียกว่าก๋งเป็นครูบ้านนอก ขยันมาก แต่เลือกการทำนาและเป็นครูแทนการค้าขาย อยู่กับย่ามาตั้งแต่ปีมะโว้ ก๋ง-ย่าไม่เอาเปรียบใคร มีแต่ให้ อาคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนมีที่นาเยอะมาก ใครมาขอก็ให้เค้าไป ให้กันเป็นร้อยๆไร่เลย อยากจะกัดฟันทึ่งในความดีของก๋ง-ย่าจริงๆ ด้วยความที่ก๋งเป็นคนโผงผาง ปากร้าย เฮี๊ยบๆ แบบครูสมัยดึกดำบรรพ์ พอมีย่าที่เป็นคนใจเย็นมากๆอยู่ด้วย โลกก็เลยสงบสุขได้

          ถึงย่าจะฟังไทยไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ย่าก็ใจดี ตอนเด็กให้เงินเราบ่อยๆ ตอนอยู่มหาลัย เค้าเคยกำตังค์มายื่นให้ แล้วบอกว่า เอาไปไว้โรงเรียนนะ ยังจำได้ ย่าเคยก้มหาของ เราถามว่าหาอะไร แกดันบอกเป็นภาษาเขมร เราเกาหัวแล้วก็ช่วยหา โดยที่ก็ไม่รู้ว่าแกหาอะไรเหมือนกัน ก็เราอยากช่วยเฉยๆ หลานๆที่ฟังเขมรไม่ออก จะแอบหัวเราะกันบ่อยๆ เพราะไม่เข้าใจ ว่าย่าแกต้องการอะไรแน่

          เวลามาที่บ้านก๋ง-ย่าตอนเด็ก สิ่งที่ได้ทำเป็นประจำ คือ ไปดูเค้าดำนา ไม่มีโอกาสได้ทำ เพราะตัวเล็ก เกะกะคนอื่น สมัยก่อนทุกคนจะมาช่วยกันดำนา บ้านเราทำเค้าก็มาช่วย บ้านเค้าทำเราก็ไปช่วย ไถนาก็ใช้ควาย พอคลองที่นามีน้ำ พวกเราก็กระโดดเล่นได้ ลึกสุดอยูที่คอเรา ยังไงก็ไม่จม พี่ชายที่เป็นลูกป้า จะชอบไปวางเบ็ด พี่เราที่เป็นผู้ชายก็จะได้รับโอกาสติดตามด้วย ส่วนเราทำได้แค่ยืนตาละห้อย และดีใจตอนเค้าได้ปลามาแล้ว ถ้าเค้ามีตัดไม้ในนา ก็จะได้ไปช่วยกันยก

          พอฤดูเกี่ยวข้าว ทุกคนก็จะมาช่วยกันเกี่ยว ต้องทำอะไรเลี้ยงกันเป็นน้ำใจ มีกองฟาง เด็กๆอย่างพวกเราก็จะได้เล่นมุดกองฟาง ซ่อนหา สารพัดที่จะคิดขึ้นมาได้ มีหมาของป้าคอยพัวพันเล่นด้วย เวลากลับบ้านที ก็มีตุ่มที่โดนหมัดหมากัดเต็มตัวไปหมด แม่ด่าก็ไม่สะทกสะท้าน เวลาเค้าวิดบ่อปลากัน เราก็จะได้ลงไปเล่นด้วย สนุกมาก เราดีใจที่ได้มีโอกาสผ่านชีวิตธรรมดาๆ ผ่านความสุขที่ไม่เห็นจะต้องใช้เงิน

          ทุกวันนี้ เกือบ 30 ปีผ่านไป กลายเป็นยุควัตถุนิยม อะไรที่พูดมาไม่มีอีกแล้ว ไม่มีควายไถนา มีแต่ควายเหล็ก คนที่มาช่วยกันดำนาก็ต้องจ้าง ขนาดจ้างยังไม่ค่อยอยากจะมา น้ำในนาอย่าหวังว่าจะเล่นได้ เพราะมีแต่สารเคมี ไม่มีควายให้เห็นซักตัว ไม่มีการมาช่วยเกี่ยวข้าว เพราะมีรถเกี่ยวข้าวรับจ้าง มีกองฟาง แต่เด็กๆบ้านนอกก็ไม่เล่นหัวมุดไปมุดมาในกองฟางแล้ว

          เด็กๆเห็นโทรศัพท์มือถือ เห็นมอเตอร์ไซด์ อยากมีโอกาสแว้นกับเค้าบ้าง ไม่ได้คิดว่านั่นคือหนี้สิน แต่มันคือสิ่งดีๆที่รัฐบาลหยิบยื่นให้ ให้ความฟุ้งเฟ้อ ไม่ให้มีความรู้ความสามารถอย่างยั่งยืน ให้หนี้ที่รอไปรอมาอาจไม่ต้องใช้คืน เรียนรู้ที่จะไม่ต้องรับผิดชอบก็ได้ เราไม่ได้เกลียดการเมืองหรอก แต่เราเกลียดที่เห็นใครๆหลอกใช้คำว่าประชาธิปไตย ถ้าหวังดีทำไมไม่ให้ความรู้ ที่แสดงให้เห็นว่าเค้าจะสามารถใช้ชีวิตอยู่กับภูมิปัญญาของปู่ย่าตายายอย่าง มีความสุขและไม่มีวันยากจนทางจิตใจ ให้เค้ารู้จักเลือกคนที่มีประโยชน์กับตัวเองและบ้านเมืองอย่างแท้จริง ถ้าเป็นอย่างงี้ ประชาธิปไตยมันถึงจะเบ่งบานจริง     

          กลับมาที่ก๋งดีกว่า ก๋งชอบสวดมนต์ ตั้งแต่เด็กถ้ามาอยู่บ้านก๋ง-ย่า เช้ากับกลางคืน ต้องนั่งขาชา สวดมนต์ไหว้พระ ต้องตื่นแต่เช้า และต้องไม่ขี้เกียจ เรารู้สึกได้ว่า ที่โตมาแล้วไม่ทะเยอทะยาน ที่มีจิตคิดดีอยู่บ้าง ต้องเป็นเพราะอิทธิพลจากสองคนนี้ไม่น้อยเลย เค้าไม่ได้มานั่งสอนปากเปียกปากแฉะหรอกนะ แต่การกระทำ การใช้ชีวิตของเค้า มันมากกว่าการพูดสอนเยอะเลย ย่ากับก๋งเป็นตัวอย่างที่ดีของความพอเพียง ไม่อยากได้อยากมีอะไรทั้งนั้น ย่าเราใช้มือกินข้าว ยกเว้นตักน้ำแกงถึงจะใช้ช้อน เป็นตาแก่ ยายแก่ธรรมดาที่ดีมาก เค้าทำนาจนไม่มีแรงแล้วถึงเลิก

          แต่ถึงก๋งจะเป็นคนดีแค่ไหน ก๋งก็ชิ่งตายก่อนย่าไปจนได้เมื่อหลายปีก่อน ย่าอยู่ต่อมาได้แต่ก็เจ็บป่วยเพราะโรคชรามาเรื่อย ดูเหมือนจะอยากอยู่ ดูเหมือนจะคิดถึงก๋ง ดูเหมือนจะทรมาน สลับสับกันไป ย่ากินยาเยอะจนชิน จนวันหนึ่ง หมอไม่อยากจะจ่ายยาแล้ว เหลือแค่ยาความดัน วันละ 1 เม็ด แต่ด้วยความชินของย่า ลูกๆก็เลยไปหาวิตามินมาให้กิน แล้วหลอกว่าเป็นยา พ่อคอยชงชาไปให้ แล้วก็บอกว่าเป็นยา ย่าก็ตายใจที่ตัวเองได้กินยาเยอะเหมือนเดิม

          หลังจากหลวงพ่อมาเทศน์เมื่อวันเสาร์ ทุกคนก็ดูจะวางใจ วันอาทิตย์เรากับน้องชายกลับมากรุงเทพ โดยแวะรับน้องสะใภ้ที่โคราช แวะกินสารพัดเมนูเห็ดที่วังน้ำเขียว แล้วกลับมาใช้ชีวิตในโลกวัตถุนิยมอีกครั้งหนึ่ง ใครที่ได้อ่าน คงจะพอเดาได้...ใช่แล้ว ย่าเราเสียเมื่อคืนนี้ คืนวันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน 2554 ด้วยโรคชรา เราได้แต่หวังว่าบุญที่ย่าสั่งสมมาทั้งหมด จะทำให้ย่าสุขสบายในภพใดๆก็ตามที่ย่าได้ไปอยู่ ยังไงก็ตาม เรายังเชื่อว่าคนทำดีก็ควรจะได้ดี หากการได้ดีคงไม่ได้หมายถึงความร่ำรวยเสมอไป...

          หวังว่าท่านจะหลับสบาย...อ้อ...ลืมบอกไป ย่าเราอายุ 97 ปี....

It’s me...
หลานคนหนึ่งซึ่งยังหาทางกลับบ้านไม่เจอ...
28 พฤศจิกายน 2554


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น